บทที่ 173 ถูกเนรเทศไปยังยอดเขามังกรอเวจี

บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน [符皇]

บทที่ 173 ถูกเนรเทศไปยังยอดเขามังกรอเวจี

บทที่ 173 ถูกเนรเทศไปยังยอดเขามังกรอเวจี

ในบรรดาการทดสอบทั้งสี่ในการทดสอบเข้านิกายกระบี่เมฆาพเนจร การทดสอบอายุกระดูกและโครงสร้างร่างกายต้องการเพียงสิ่งเดียวคือให้ได้ระดับที่กำหนดก่อน ถึงจะสามารถผ่านการทดสอบได้ เนื่องจากสองสิ่งนี้มีมาแต่กำเนิดและไม่มีใครเปลี่ยนแปลงได้ อัตราของผู้ไม่ผ่านจึงไม่สูงนัก

ด้วยเพราะเหตุนี้ ถึงแม้ว่าจะมีศิษย์รุ่นเยาว์นับหมื่นคนจากเมืองต่าง ๆ ของดินแดนทางใต้ มาร่วมในการสอบเข้านิกายกระบี่เมฆาพเนจร แต่มีผู้เข้าร่วมที่ผ่านการทดสอบอายุกระดูกและโครงสร้างร่างกายประมาณเจ็ดส่วน

การทดสอบทั้งสองนี้เป็นเพียงเงื่อนไขเบื้องต้นสำหรับการเข้าสู่นิกาย

การทดสอบเจตจำนงที่เหลือและการทดสอบความเข้าใจเป็นที่สิ่งสำคัญที่สุด และเป็นการทดสอบที่มีอัตราการตัดสิทธิ์สูงสุด ศิษย์ที่ผ่านทั้งการทดสอบเจตจำนงและการทดสอบความเข้าใจจะมีเพียงหนึ่งร้อยคนที่โดดเด่นที่สุดเท่านั้น และมีเพียงพวกเขาที่จะสามารถเป็นศิษย์สายในและแม้แต่ศิษย์ชั้นยอดของนิกายกระบี่เมฆาพเนจร ส่วนคนอื่น ๆ ก็เริ่มต้นด้วยการเป็นศิษย์สายนอกเท่านั้น

แต่จะมีผู้ใดที่จะเต็มใจเริ่มต้นจากการเป็นศิษย์สายนอกและไต่เต้าขึ้นมา?

บรรดาอัจฉริยะรุ่นเยาว์ทั้งหมดที่หลั่งไหลมาจากทั่วทั้งดินแดนทางใต้ ก็หวังที่จะได้รับตำแหน่งศิษย์สายใน และพวกเขาอาจจะถูกตัดสิทธิ์ไปตั้งแต่เริ่มต้น จนต้องกลายเป็นศิษย์สายนอกที่อยู่ในระดับต่ำสุด และไต่เต้าขึ้นไป

หากเปรียบเทียบการทดสอบเจตจำนงและความเข้าใจ การทดสอบเจตจำนงนั้นผ่านยากที่สุด เพราะมหาค่ายกลมารพสุธามนต์ลวงตาจะทดสอบทั้งร่างกายและสภาพจิตใจของผู้บ่มเพาะเหล่านั้นอย่างโหดเหี้ยม และไม่ใช่ทุกคนที่จะทนได้ ในขณะที่การทดสอบความเข้าใจนั้นแตกต่างออกไป เพราะมันคล้ายกับการทดสอบพรสวรรค์และการทดสอบเช่นนี้ยังแยกแยะได้ง่ายดายและชัดเจนกว่า

ตัวอย่างเช่น ผู้คนนับพันคนที่ได้เข้าสู่มหาค่ายกลมารพสุธามนต์ลวงตาก่อนหน้านี้ แต่หลังจากผ่านไปหนึ่งก้านธูป มีเพียงสิบสามคนเท่านั้นที่ผ่านไปได้ ดังนั้นจึงเห็นได้ชัดว่าการทดสอบนี้รุนแรงอย่างสิ้นเชิง

การทดสอบเจตจำนงนั้นสำคัญเป็นอย่างมาก แม้แต่ฮวาหงก็ยังต้องมาเป็นผู้อาวุโสที่คอยจัดการทดสอบ สิ่งนี้พิสูจน์ได้ว่า คนผู้นี้น่าเกรงขามและสูงส่งในหมู่ผู้อาวุโสของนิกายกระบี่เมฆาพเนจร

แต่ขณะนี้ ทุกคนต่างก็ตกตะลึงเมื่อได้ยินเสียงระเบิดดังสนั่นหวั่นไหวราวกับเสียงฟ้าร้องไปทั้งสวรรค์และโลก “ให้ตายสิ… มีคนกล้าเรียกผู้อาวุโสฮวาหงว่า ‘โง่’ จริงหรือ?”

อย่างไรก็ตาม ฉากที่ทำให้ทุกคนต้องประหลาดใจมากยิ่งขึ้นก็ได้ปรากฏขึ้น

ฮวาหงโจมตีอย่างโจ่งแจ้งด้วยกลิ่นอายที่องอาจดั่งมังกร และการฟาดฝ่ามือของเขาอยู่ห่างจากศีรษะของเฉินซีเพียงสิบสองชุ่น หากการโจมตีครั้งนี้ต่ำลงกว่านี้ ศีรษะของชายหนุ่มก็คงจะถูกผ่าแยกเหมือนแตงโมอย่างแน่นอน แต่เมื่อเขาได้ยินเสียงตะโกนดังขึ้นอย่างฉับพลัน สีหน้าของฮวาหงก็ซีดลงในทันที และรีบถอนกำลังบนฝ่ามือออก ในขณะที่ร่างกายของเขาพลิกตัวอย่างไม่น่าเชื่ออยู่กลางอากาศ ราวกับอสรพิษถอนวัชพืชหรือเหยี่ยวนกกระจอกที่พลิกตัวก่อนจะกลับคืนสู่ตำแหน่งเดิม ทุกการเคลื่อนไหวของเขารวดเร็วราวกับสายฟ้าแลบ และเป็นการเคลื่อนไหวที่หมดจดงดงามเป็นอย่างมาก ทำให้เขาดูเหมือนกับว่าไม่ได้เคลื่อนไหวใด ๆ อย่างสิ้นเชิง เห็นได้ชัดว่าการควบคุมพลังของเขานั้น ได้บรรลุถึงระดับที่สูงมากจนสามารถควบคุมมันได้อย่างอิสระ

แต่ใบหน้าของฮวาหงในตอนนี้กลับเต็มไปด้วยความกังวลและสงสัย ดูเหมือนว่าจะเขาหวาดเกรงต่อเสียงที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้ ซึ่งเปี่ยมไปด้วยพลังและอำนาจ จนทำให้เขาเหม่อลอยอย่างว่างเปล่า และพลังมหาศาลบนร่างกายของเขาได้หายไปอย่างไร้ร่องรอย

ในทำนองเดียวกัน ความสงบของเฉินซีก็ได้ดึงดูดความสนใจจากหลาย ๆ คน เพราะพวกเขาสังเกตเห็นว่า ตั้งแต่ที่ฮวาหงโจมตีจนถึงช่วงเวลาที่เขากลับคืนสู่ตำแหน่งเดิมนั้น จริง ๆ แล้วท่าทางของเฉินซีไม่ได้เปลี่ยนไปเลยแม้แต่น้อย แสงเหมือนเมฆและสงบเหมือนทะเลสาบ ราวกับว่าเขาคาดการณ์มานานแล้วว่าเหตุการณ์ที่ไม่คาดฝันจะปรากฏขึ้นในตอนนี้

เมื่อเปรียบเทียบการแสดงออกของพวกเขา มันทำให้คนรอบข้างตระหนักได้ในทันทีว่า เรื่องทั้งหมดนี้น่าจะเกิดจากเสียงอันทรงพลังและอำนาจก่อนหน้านั้นใช่หรือไม่?

คนผู้นั้นคือใครกัน?

ซึ่งคำตอบนั้นก็ชัดเจนอยู่ในตัว มีเพียงไม่กี่คนในนิกายกระบี่เมฆาพเนจรเท่านั้น ที่จะสามารถสยบฮวาหงได้อย่างสมบูรณ์ เช่น บรรพจารย์หลิงตู้ ท่านประมุขหลิงคงจื่อ บรรพจารย์ใหญ่เหวินเสวี่ยน…

เมื่อพวกเขาคิดมาถึงจุดนี้ สายตาของผู้คนรอบข้างที่มองมายังเฉินซีก็เปลี่ยนไปในทันที ปรากฏว่าเด็กคนนี้มีภูมิหลังที่ดีอยู่เช่นกัน ไม่แปลกใจเลยที่เขากล้ายืนหยัดต่อสู้กับผู้อาวุโสฮวาหงเช่นนี้

เฉินซีสังเกตเห็นถึงสิ่งที่เกิดขึ้นทั้งหมด อีกทั้งยังรู้ว่าใครเป็นผู้ที่กล่าวก่อนหน้านี้ แต่เขากลับไม่ได้เปิดเผยและเพียงจดจ้องฮวาหงอย่างเงียบ ๆ

“ฮึ่ม! ข้าไม่เคยคาดคิดมาก่อนว่าคนเยี่ยงเจ้าจะมีคนหนุนหลังอยู่เหมือนกัน แต่อย่าได้หยิ่งยโสเกินไป ช่างมันเถอะ ข้าไม่เอาสิทธิ์ของหญิงสาวคนนั้นก็ได้” เซี่ยชีเฉี่ยวก็กล่าวออกมาท่ามกลางความเงียบงัน

“โอ้ เจ้ากำลังเตรียมรับสิทธิ์ของใครนะ?” เฉินซีถามอย่างสบาย ๆ

“เจ้าไม่จำเป็นต้องสนใจเรื่องนั้น ข้าจะรอชุดต่อไป หรือหากไม่มีในชุดนั้น ข้าจะรับชุดต่อไปอีก อย่างไรก็ตาม ยังมีอีกหลายหมื่นคนที่ยังไม่ได้เข้าร่วมการทดสอบเจตจำนง ข้าจะสามารถเลือกได้ในที่สุดอยู่ดี” เซี่ยชีเฉี่ยวรู้สึกว่าตัวเองนั้นฉลาดมากในขณะที่นางตอบ

นางไม่เคยคาดคิดเลยว่าทันทีที่คำกล่าวเหล่านี้ได้เข้าหูผู้คนรอบข้าง มันทำให้พวกเขาโกรธเคืองในทันที ในบรรดาคนเหล่านี้มีทั้งชายหนุ่มและหญิงสาวที่กำลังจะเข้าร่วมการทดสอบเจตจำนง และยังมีผู้อาวุโสและองครักษ์ที่ติดตามพวกเขามา… หากเป็นสถานที่อื่น พวกเขาเป็นบุคคลที่ได้รับการนับถือ ดังนั้นพวกเขาจะทนต่อความรู้สึกที่เกิดขึ้นเช่นนี้ได้อย่างไร?

“สาวน้อย เวรกรรมนั้นตามทันเสมอ และปัญหาจะไม่มีวันมาหาเจ้า เว้นแต่ว่าเจ้าจะแส่หาปัญหาเสียเอง อีกทั้งคนที่ชอบแส่หาปัญหามักจะต้องตายอย่างแน่นอน!”

“เจ้ารังแกกันเกินไปแล้ว! เราจะไม่ยอมแพ้โดยที่ยังไม่ได้สู้! ไม่ว่าเจ้าจะเป็นบุตรสาวของใคร ในเมื่อเจ้ากล้ากล่าวคำไร้ยางอายเหล่านี้ต่อหน้าพวกเราทุกคน เรื่องของวันนี้จะไม่มีวันจบ!”

“โง่เขลาจริง ๆ คำกล่าวเหล่านี้ควรเก็บซ่อนไว้ในใจของเจ้าเท่านั้น เหตุใดถึงต้องกล่าวออกมาดัง ๆ เช่นนี้เล่า?”

เสียงโห่ร้องและคำสาปแช่งที่หลากหลายได้พรั่งพรูออกมาอย่างพร้อมเพรียง และทั้งหมดต่างก็พุ่งตรงไปที่เซี่ยชีเฉี่ยว ทันใดนั้นเด็กสาวผู้มีอายุประมาณสิบสี่หรือสิบห้าปีคนนี้ก็ตกอยู่ในความตะลึง คนเช่นนางได้รับการเอาอกเอาใจมาตั้งแต่เด็กและมักได้รับความกรุณาจากผู้คนรอบข้าง ทำให้นางเป็นเหมือนดอกไม้ที่บานในเรือนกระจก ดังนั้น นางจะเคยประสบกับเหตุการณ์เช่นนี้ได้อย่างไร?

“เจ้า… พวกเจ้าทุกคน เบื่อที่จะมีชีวิตอยู่แล้วหรือ?! พวกเจ้ารู้ไหมว่าข้าเป็นใคร” ใบหน้าที่สวยงามของเซี่ยชีเฉี่ยวโมโหจนหน้าซีด และความโกรธเกรี้ยวของนางก็เอาชนะเหตุผลทุกอย่าง ทำให้นางไม่อาจที่จะควบคุมตนเองได้

ปัง!

ทันใดนั้นจู่ ๆ ใบหน้าของฮวาหงที่อยู่ใกล้เคียงได้กระตุกอย่างรุนแรงราวกับเพิ่งมีใครกระซิบบอกบางสิ่งให้เขาฟังผ่านกระแสปราณจนเขาได้เข้าใจว่าขณะนี้เขากำลังเผชิญกับเรื่องใหญ่แค่ไหน จากนั้นเขาไม่ลังเลเลยที่จะก้าวออกมาข้างหน้าทันทีด้วยใบหน้าที่มืดหม่น ก่อนที่จะยกมือขึ้นเพื่อผลักเซี่ยชีเฉี่ยวออกไป จากนั้นเขาก็หันกลับมาและกล่าวกับศิษย์สายในว่า “จงส่งนางกลับไปหาตระกูลเซี่ยให้อบรมระเบียบวินัยอย่างถูกต้อง บอกพ่อของนางว่าครั้งนี้ข้าได้ช่วยชีวิตนางไว้ และหนี้เมื่อหลายปีก่อนก็ได้รับการชำระคืนหมดแล้ว ดังนั้นเราจะไม่ติดค้างอะไรกันอีกต่อไป!”

ศิษย์หญิงสองคนรับเซี่ยชีเฉี่ยวจากเขาทันทีก่อนที่จะรับคำสั่งและรีบจากไป

หลังจากที่ฮวาหงทำทั้งหมดนี้เสร็จแล้ว เขาก็ประสานมือให้แก่เฉินซีด้วยใบหน้าเศร้าหมอง และกล่าวผ่านกระแสปราณว่า “ข้าไม่รู้ว่าเป็นท่านบรรพจารย์อาจะมาที่นี่ การกระทำของข้าสมควรตายเป็นพันครั้ง และข้าหวังว่าท่านบรรพจารย์อาจะยกโทษให้แก่ข้า”

ท่าทางของเฉินซียังคงนิ่งเฉย

เมื่อฮวาหงเห็นสิ่งนี้ ก็รู้ว่าตัวเองกำลังจะชนเข้ากับกำแพงแล้ว ซึ่งมันเป็นไปไม่ได้เลยที่จะชดเชยต่อทุกสิ่งที่เกิดขึ้น ดังนั้นใบหน้าที่แก่ชราของเขาจึงหมองมัวลงในทันที และเขากำลังหันหลังกลับเพื่อจะจากไปอย่างเศร้าโศก

“เจ้ากำลังคิดจะไปไหน?” เฉินซีขมวดคิ้วขณะกล่าวออกมา

ร่างของฮวาหงแข็งทื่ออย่างกะทันหัน ก่อนจะหันกลับมาและกล่าวด้วยความประหลาดใจว่า “ท่านบรรพจารย์อา ท่านยกโทษให้แก่ข้าแล้วหรือ?”

เฉินซีส่ายศีรษะ “ไม่ ข้าอยากถามว่าใครจะเป็นผู้แลการทดสอบเจตจำนงนี้หลังจากที่เจ้าจากไป”

ร่องรอยแห่งความหวังที่เพิ่งก่อขึ้นในหัวใจของฮวาหง กลับถูกทำลายอีกครั้งในทันที และความรู้สึกของเขาก็เหมือนกับการตกลงไปในเหวลึก ขณะที่เขากล่าวอย่างขมขื่นว่า “ท่านบรรพจารย์สูงสุดได้จัดเตรียมไว้ให้แล้ว ส่วนข้านั้น… ข้านั้นถูกปลดออกจากหน้าที่ทั้งหมดและต้องถูกเนรเทศไปยังยอดเขามังกรอเวจี เพื่อสำนึกผิดและไตร่ตรองถึงความผิดของข้า”

เฉินซีไม่ได้กล่าวอะไรอีก เพราะเขารังเกียจคนนี้ถึงขีดสุดแล้ว ‘ภายใต้สายตาของทุกคน คนผู้นี้กลับกล้าที่จะละเมิดและดูถูกกฎของนิกาย ยิ่งไปกว่านั้น เพราะการที่ข้าไม่เห็นด้วยเพียงครั้งเดียว เขากลับเลือกที่จะโจมตี ดูเหมือนว่าเขาจะคุ้นเคยกับการใช้อำนาจในทางที่ผิด อีกทั้งยังเย่อหยิ่งและกระทำตามอำเภอใจอย่างยิ่ง หากคนเช่นนี้ไม่ได้ความทุกข์ทรมานก็คงไม่มีวันรู้จักความเคารพ’

การสนทนาระหว่างพวกเขาทั้งสองได้กระทำผ่านกระแสปราณ และผู้คนรอบข้างเพียงเห็นฮวาหงกล่าวบางอย่างอย่างนอบน้อมก่อนที่สีหน้าของเขาจะผันผวนไปมา บางครั้งก็รู้สึกหดหู่และดีใจในบางครั้ง แต่ท้ายที่สุด เขาก็หันกลับไปอย่างเศร้าสร้อยก่อนที่จะจากไป ทุกคนต่างก็สังเกตเห็นสิ่งนี้และตกตะลึงอีกครั้ง ซึ่งทำให้พวกเขาเริ่มคาดเดาตัวตนของเฉินซี

“น้องเฉิน เจ้าอยู่ที่นี่จริง ๆ ด้วย” ในขณะนี้ เกิดเสียงหัวเราะอย่างอิ่มเอมใจ ชายวัยกลางคนผู้มีดวงตาราวดอกท้อและรูปลักษณ์หล่อเหลา กำลังก้าวเดินช้า ๆ จากท้องฟ้าอันไกลโพ้น ทุกก้าวที่เขาก้าวย่างเป็นระยะทางถึงร้อยยี่สิบจั้ง และเสียงของเขาก็เพิ่งจะมาถึง หลังจากที่เขามายืนที่เบื้องหน้าของเฉินซี คนผู้นี้คือราชาจิ้งจอกเก้าหางนั่นเอง!

น้องเฉิน?

เฉินซีหรือ??

เมื่อพวกเขาได้ยินเสียงหัวเราะที่อิ่มเอมของชิงชิว ผู้คนรอบข้างก็เดาตัวตนของเฉินซีได้ทันที และต่างก็อ้าปากค้าง อีกทั้งยังแอบตกใจอย่างไม่มีที่สิ้นสุด

เป็นเขานี่เอง!

ใช่ มีเพียงพี่ใหญ่อย่างเป่ยเหิงซึ่งเป็นบรรพจารย์สูงสุดแห่งนิกายกระบี่เมฆาพเนจรเท่านั้นที่มีอำนาจอิทธิพลขนาดนี้ ไม่เช่นนั้นต่อให้ประมุขนิกายหลิงคงจื่อมาด้วยตัวเองก็อาจไม่สามารถขับไล่ฮวาหงออกไปได้

เมื่อพวกเขาคิดมาถึงจุดนี้ ทุกคนก็เข้าใจในทันที ว่าผู้ที่เรียกฮวาหงว่า ‘โง่’ นั้น ย่อมเป็นเป่ยเหิงอย่างแน่นอน

แต่ว่าชายวัยกลางคนผู้หล่อเหลาคนนี้คือผู้ใด? นิกายกระบี่เมฆาพเนจรมีผู้อาวุโสเช่นนี้ตั้งแต่เมื่อใด ยิ่งไปกว่านั้น เขากลับกล้าเรียกเฉินซีว่าน้องเล็กจริง ๆ นี่มันไม่ใช่การกระทำที่ขัดต่อลำดับอาวุโสในนิกายหรือ!

สายตาของผู้คนจับจ้องไปยังชิงชิว และพวกเขาก็รู้สึกงุนงงเป็นอย่างมาก

เฉินซีไม่ได้สนใจกับการจ้องมองและการถกเถียงรอบข้าง และอดไม่ได้ที่จะกล่าวด้วยความประหลาดใจเมื่อเห็นชิงชิวมาถึง “พี่ใหญ่ชิงชิว หรือว่าท่านได้รับมอบหมายให้มาดูแลการทดสอบเจตจำนง?”

ชิงชิวหัวเราะเสียงดัง “มันเป็นเช่นนั้นจริง ๆ ไม่เพียงแต่ข้าจะต้องดูแลการทดสอบเจตจำนงเท่านั้น ข้ายังได้รับหน้าที่ทั้งหมดของผู้อาวุโสฮวาหงและได้เป็นหัวหน้าผู้ดูแลด้านขนส่งอีกด้วย ฮ่า ๆ!”

เฉินซียิ้ม “ถ้าอย่างนั้นข้าต้องขอแสดงความยินดีกับพี่รองแล้ว”

“น้องเฉิน เจ้ากำลังกล่าวถึงอะไร? ถ้าไม่ใช่เพราะเจ้า ข้าคงไม่ได้รับมอบหมายหน้าที่ทั้งหมดหลังจากที่เพิ่งเข้าสู่นิกายกระบี่เมฆาพเนจร ท่านประมุขหลิงคงจื่อทำสิ่งนี้เพื่อบรรเทาความโกรธในใจเจ้า ท้ายที่สุดแล้ว ฮวาหงนั้นน่ารังเกียจเกินไปจริง ๆ และเขายังทำให้บรรพจารย์สูงสุดเป่ยเหิงโกรธเป็นอย่างมาก” ชิงชิวกล่าวชมเชย

เฉินซีถูจมูกของเขาและกล่าวว่า “ศิษย์พี่หลิงคงจื่อสุภาพเกินไปแล้ว”

ชิงชิวยิ้มก่อนจะหันไปมองมู่เหยาและกล่าวพร้อมกับโบกมือว่า “คุณหนูมู่เหยา การแสดงออกของเจ้าในวันนี้ไม่เลวเลย มานี่ ตราของการผ่านการทดสอบนี้เป็นของเจ้าแล้ว”

“ข้าก็เหมือนกัน ข้าก็สอบผ่านเหมือนกัน” มู่เหวินเฟยยิ้มขณะที่เขากล่าวและออกมายืนข้างหน้าเช่นกัน

เจ้าเด็กคนนี้สังเกตจากด้านข้างมาตั้งแต่ต้น และแม้แต่ตอนที่เขาเห็นพี่สาวตัวเองถูกรังแก เขาก็ยังคงไม่ขยับเขยื้อนเลยแม้แต่น้อย ซึ่งไม่ใช่เพราะเขาเป็นคนเลือดเย็น แต่เป็นเพราะเขารู้ว่าพี่ใหญ่เฉินซีจะต้องช่วยเหลือนางอย่างแน่นอน ดังนั้นเขาจึงยืนอยู่ด้านข้างและคอยดูว่าเจ้าฮวาหงคนนี้จะประสบเคราะห์ร้ายอย่างไร

แน่นอนว่าการเฝ้าดูด้วยความตื่นเต้นทำให้เขาร้องออกมาอย่างพึงพอใจ เขาปรารถนาในใจว่าสักวันหนึ่ง จะสามารถเติบโตเป็นบุคคลเช่นพี่ใหญ่เฉินซี ที่จำไม่เป็นต้องชี้นิ้วก็มีผู้คนช่วยดูแลทุกอย่าง!

“เจ้าเด็กน้อย เจ้าสนุกกับการเฝ้าดูการแสดงใช่หรือไม่?” เฉินซีตำหนิมู่เหวินเฟยอย่างหยอกล้อ จากนั้นเขาก็ประสานมือไปทางเหยียนชิงหนี่ “ข้าต้องขอบคุณแม่นางเหยียนที่ให้การช่วยเหลือ ขอขอบคุณยิ่งนัก”

เหยียนชิงหนี่กะพริบตาที่กระจ่างของนางและยิ้มอย่างมีเสน่ห์ “ท่านบรรพจารย์อา นี่เป็นหน้าที่ของข้า และข้าไม่อาจรับคำขอบคุณจากท่านได้” เสียงของนางนุ่มนวลและมีเสน่ห์ราวกับเสียงร้องของนกขมิ้น และมันได้ทำให้ใจผู้คนต้องรู้สึกหวั่นไหวอย่างช่วยไม่ได้

เฉินซีรู้สึกประหลาดใจอยู่ภายในใจของเขา ในสายตาของคนอื่น ๆ เรื่องตลกที่ผู้หญิงคนนี้กล่าวทำให้นางดูเหมือนจะค่อนข้างคุ้นเคยกับเฉินซี สิ่งนี้ควรเรียกว่าอะไรน่ะหรือ มันเรียกว่า ‘การใช้ประโยชน์จากสถานการณ์’! แต่มันก็ไม่ดีสำหรับเฉินซีที่จะกล่าวอะไรออกไป เพราะนางเองก็ช่วยเขาก่อนหน้านี้

‘ถ้านางจะใช้ข้าก็ช่างมันเถอะ อย่างน้อยข้าก็ยังมีค่าพอที่จะให้ใช้…’ เฉินซีเยาะเย้ยตัวเองอย่างไม่รู้จบ และเขาก็นึกถึงเป่ยเหิงขึ้นมาเช่นกัน ‘เป่ยเหิงเองก็ดูแลข้าเป็นอย่างดี แต่นี่คงไม่ใช่การ ‘หลอกใช้’ ข้าในอีกรูปแบบหนึ่งหรือ?’

“ฮืม มีเรื่องเช่นนี้เกิดขึ้นด้วยหรือ” ชิงชิวแย้มยิ้มขณะที่เขามองไปที่เหยียนชิงหนี่ และพยักหน้าพร้อมกับกล่าวว่า “ถ้าเจ้าประสบปัญหาใด ๆ ในภายภาคหน้า เจ้าสามารถมาหาข้าที่ยอดเขาจิ้งจอกเก้าหาง”

เหยียนชิงหนี่รู้สึกยินดีอยู่ในใจเป็นอย่างมาก แต่นางก็กล่าวด้วยความเคารพว่า “ขอบคุณท่านผู้อาวุโสชิงชิวสำหรับความกรุณาของท่าน”

ในปัจจุบัน ชิงชิวได้เข้ามาแทนที่ฮวาหงเพื่อดูแลด้านการขนส่งสิ่งของต่าง ๆ ในนิกายชั้นในซึ่งหน้าที่นี้มีอำนาจสูงมากเช่นกัน การสามารถสร้างความสัมพันธ์กับใครสักคนในตำแหน่งอย่างเขาเป็นสิ่งที่นางใฝ่ฝันถึง

และนี่คือ ‘การใช้ประโยชน์จากสถานการณ์’ ที่ประสบความสำเร็จของนาง นางต้องการใช้ประโยชน์จากเฉินซี เพื่อให้ชิงชิวรับรู้ถึงตัวตนของนาง และเพื่อความก้าวหน้าของสถานะของนางในนิกายในอนาคต มันจะส่งผลประโยชน์เป็นอย่างมาก

“น้องเฉิน ข้าต้องทุ่มเทอย่างเต็มที่เพื่อทำในสิ่งที่ข้าได้รับมอบหมายมา ตอนนี้ข้าต้องดูแลการทดสอบเจตจำนงก่อน ดังนั้นข้าจึงไม่อาจสนทนากับเจ้าได้อีกต่อไป” ชิงชิวกล่าวด้วยรอยยิ้ม “ข้าจะไปที่ยอดเขาใจสัจธรรมเพื่อร่ำสุรากับเจ้าเมื่อข้าว่างแล้ว ตกลงไหม?”

เฉินซีพยักหน้าและกล่าวว่า “เชิญเลยพี่รอง ข้ากำลังพาพี่น้องคู่นี้ไปทดสอบความสามารถในการเข้าใจของพวกเขาเช่นกัน”

เฉินซีกำลังจะจากไป ทันใดนั้นเขาก็เห็นจูซวิ่น ซึ่งเป็นผู้เยาว์จากตระกูลนักล่ายืนอยู่ตรงนั้น มือของเขายังคงกำเสื้อผ้าหนังสัตว์ที่ขาดรุ่งริ่ง ซึ่งดูเหมือนว่าเขาจะทำอะไรไม่ถูกและไม่รู้ว่าจะต้องทำอะไร เมื่อเขาเห็นเฉินซีมองผ่านไป เขาก็รีบเงยหน้าที่มืดมนและเด็ดเดี่ยวขึ้นมา ดวงตาใสบริสุทธิ์ของเขาฉายร่องรอยของการอ้อนวอนและปรารถนา

นี่มันสายตาแบบไหนกันนะ?

ไม่เต็มใจที่จะยากจน?

ไม่เต็มใจที่จะเป็นคนธรรมดา?

หรือบางทีเขาปรารถนาที่จะดิ้นรนให้เป็นอิสระจากโซ่ตรวนแห่งชะตากรรมของเขา อีกทั้งยังไม่ยอมให้ตัวเองและครอบครัวต้องทนทุกข์ทรมานจากการดูถูกเหยียดหยามและการปฏิเสธจากผู้อื่นอีกต่อไป?