ตอนที่ 217-1 เมืองหลีแห่งซีเป่ย

ชายาเคียงหทัย

“ฮ่องเต้แห่งต้าฉู่สังหารบิดาและพี่ชายของข้า หมิ่นเกียรติแห่งวีรบุรุษของข้า ข้าขอตัดขาดกับราชวงศ์ต้าฉู่ตั้งแต่บัดนี้ไป ไม่มีอันใดเกี่ยวข้องกันอีก!”

 

 

น้ำเสียงเด็ดขาดของม่อซิวเหยา เป็นการแสดงให้รู้ว่า ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป ทหารม้าเหล็กของกองทัพตระกูลม่อที่ปกป้องคุ้มครองต้าฉู่มากว่าร้อยปี ไม่มีอันใดเกี่ยวข้องกับต้าฉู่อีกแล้วนับแต่บัดนี้ เขตซีเป่ยของต้าฉู่ ถึงแม้จะมีกองทัพตระกูลม่อเป็นฉากกั้นขวางเส้นทางของซีหลิงไว้ แต่ทางชายแดนฝั่งหนานจ้าวและเป่ยหรงจะไม่มีเงาดำที่ไม่มีวันถอยหนีมาตลอดร้อยปีให้ได้เห็นอีกแล้ว

 

 

กองทัพตระกูลม่อปกป้องคุ้มครองต้าฉู่มาเป็นร้อยปี ในที่สุดก็ได้ประกาศยุติบทบาทนั้นอย่างเป็นทางการในค่ำคืนนี้ ไม่มีผู้ใดสามารถพูดอันใดได้ แม้กระทั่งม่อจิ่งหลีและขุนนางของต้าฉู่ก็มิอาจตำหนิติเตียนอันใดได้เลย

 

 

บรรยากาศทั่วทั้งกำแพงเมืองเงียบกริบ สายตาทุกคู่ต่างมองตรงไปยังคู่หนุ่มสาวชายหญิงที่ยืนจับมืออยู่เคียงข้างกันบนตำแหน่งประธานด้วยความเคารพโดยมิได้นัดหมาย ในใจทุกคนมีเสียงหนึ่งดังก้องขึ้นว่า ความวุ่นวายของใต้หล้า มาถึงจริงๆ เสียแล้ว

 

 

งานเลี้ยงหลังจากนั้น ยังคงมีเสียงดนตรีและการร่ายรำตามธรรมเนียมปกติ แต่ผู้ที่อยู่ในงานทุกคนกลับไม่มีผู้ใดมีกระจิตกระใจจะเพลิดเพลินไปกับนางรำที่ร่ายรำอยู่ตรงกลางลานและเสียงดนตรีที่ไพเราะจับใจเลยแม้แต่น้อย หลังจากม่อซิวเหยาและเยี่ยหลีออกจากงานไป แขกเหรื่อในงานทั้งหมดก็ตามกันออกไปแทบจะทันที เพื่อกลับไปปรึกษาหารือในเรื่องสำคัญนี้ ในยามนี้ไม่มีผู้ใดมีแต่ใจมานั่งลิ้มรสสุรารสเลิศ และเพลิดเพลินไปกับการร่ายรำอีกแล้ว

 

 

เช้าวันต่อมา เรื่องที่ติ้งอ๋องประกาศบนกำแพงเมืองเมื่อคืน ก็แพร่ออกไปยังคนของทุกฝ่ายโดยช่องทางต่างๆ จนเป็นที่รู้กันไปทั่ว เพียงแต่ ตกใจก็ส่วนตกใจ แต่คณะทูตของซีหลิง เป่ยหรง หนานจ้าว และต้าฉู่ ต่างไม่มีผู้ใดมาขอตัวเดินทางกลับในเช้าวันต่อมาโดยทันที

 

 

ภายในตำหนักติ้งอ๋อง ภายในห้องโถงใหญ่สำหรับหารือเรื่องการงาน มีคนนั่งอยู่แน่นขนัดไปหมดตั้งแต่เช้าตรู่ มีคนจำนวนไม่น้อยที่ใต้ตามีรอยคล้ำ เพียงแค่ดูก็รู้แล้วว่าเมื่อคืนคงนอนหลับไม่สนิท

 

 

ม่อซิวเหยาและเยี่ยหลีเดินเคียงคู่กันเข้ามาให้ห้องโถงใหญ่ ทุกคนรีบลุกยืนขึ้นทำความเคารพ “คารวะท่านอ๋อง พระชายา”

 

 

ทั้งสองนั่งลง แล้วม่อซิวเหยาจึงเอ่ยพร้อมยิ้มเรียบๆ ว่า “ไม่ต้องมากพิธี ทุกท่านเชิญนั่งตามสบายเถิด แม่ทัพจาง เฟิ่งซาน นี่เกิดอันใดขึ้น เมื่อคืนนอนไม่หลับหรือ”

 

 

เฟิ่งจือเหยาถึงกับกรอกตาบน เรื่องเมื่อคืน อย่าคิดว่าจะมีเพียงคณะทูตจากทั้งสี่แคว้นกับประชาชนชาวบ้านที่ตกใจกับคำพูดของท่านอ๋องเลย คนที่ตกใจจริงๆ คือเขา เฟิ่งซานต่างหาก ก่อนเกิดเรื่องท่านอ๋องไม่เคยบอกให้รู้ระแคะระคายเลยแม้แต่น้อยจนเมื่อเขาได้รับม้วนกระดาษมากางออกอ่าน หากมิใช่เพราะเขาพยายามรักษาท่าทีให้สงบนิ่งอย่างเต็มที่แล้ว ก็เกือบจะโยนของที่อยู่ในมือออกไปแล้วเหมือนกัน

 

 

เมื่อฝืนอ่านข้อความบนนั้นจนจบ ไม่มีผู้ใดรู้ว่า เมื่อเฟิ่งจือเหยากลับไปนั่งที่ มือทั้งสองข้างยังสั่นน้อยๆ อยู่เลย เฟิ่งจือเหยารู้สึกว่าตนเองถูกกระทบกระเทือนทางจิตใจอย่างหนักหน่วง

 

 

ม่อซิวเหยาระบายยิ้มกว้างมองผู้ใต้บังคับบัญชาที่นั่งอยู่ด้วยสีหน้าต่างกันออกไป แล้วเอ่ยยิ้มๆ ว่า “ทำไมหรือ ตกใจกันหมดเลย? กลัวหรือ”

 

 

“ท่านอ๋องควรทำเช่นนี้เสียนานแล้ว พวกเรามีอันใดต้องกลัวกันพ่ะย่ะค่ะ” หลี่ว์จิ้นเสียนเอ่ยเสียงก้อง คนอื่นๆ ก็พากันเอ่ยสนับสนุน แล้วภายในห้องโถงใหญ่ก็เกิดเสียงอื้ออึงขึ้นทันที บรรยากาศเต็มไปด้วยความเผ็ดร้อน

 

 

“ท่านอ๋อง ยามนี้ในเมื่อตัดสินใจที่จะแตกหักกับต้าฉู่แล้ว ก็คงสามารถแก้ไขความเข้าใจผิดของประชาชนในเขตซีเป่ยหรือแม้กระทั่งของต้าฉู่ได้เสียที” สวีหงอวี่เอ่ยขึ้นเรียบๆ

 

 

ม่อซิวเหยาพยักหน้า “ท่านมีความคิดเช่นไรหรือ”

 

 

สวีหงอวี่เอ่ยว่า “เริ่มจากส่งคนออกไป ประกาศให้ทั่วทั้งใต้หล้าได้รู้ถึงบุญคุณและความแค้นระหว่างราชวงศ์ต้าฉู่กับตำหนักติ้งอ๋องโดยละเอียด ถึงแม้ชาวบ้านโดยมากจะไม่รู้หนังสือ แต่ก็ใช่ว่าจะไม่เข้าใจถึงเหตุผล จะถูกจะผิดอย่างไรย่อมมีวิจารณญาณเป็นของตนเอง”

 

 

เฟิ่งจือเหยาเอ่ยอย่างเห็นด้วย “ท่านหงอวี่กล่าวได้ถูกต้องนัก ยามนี้เมื่อพวกเราประกาศให้ใต้หล้าได้รับรู้ รอให้ข่าวเมื่อคืนแพร่ไปถึงเมืองหลวงของต้าฉู่ เรื่องชั่วๆ ที่ม่อจิ่งฉีได้กระทำเอาไว้ คงเป็นที่รู้กันไปทั่วใต้หล้าแล้ว ข้าอยากจะรอดูนักว่าเขาจะแก้ไขสถานการณ์นี้อย่างไร”

 

 

ทุกคนต่างพากันแสดงความคิดเห็น สนับสนุนสิ่งที่สวีหงอวี่เอ่ย

 

 

เดิมทีที่ม่อจิ่งฉีพยายามป้ายสีความผิดให้กับตำหนักติ้งอ๋องนั้น ตำหนักติ้งอ๋องไม่เคยตอบโต้เลยแม้สักนิด ที่รอมาทั้งหมดก็เพื่อวันนี้ ยิ่งก่อนหน้านี้ชาวบ้านมีความโกรธแค้นจากการเข้าใจตำหนักติ้งอ๋องผิดมากเท่าไร เมื่อพวกเขาได้รู้ความจริงก็จะยิ่งโกรธเกลียด และแน่นอนว่าความโกรธเกลียดนั้น เป็นความโกรธเกลียดที่มีต่อม่อจิ่งฉี

 

 

แน่นอนว่า ม่อซิวเหยาและเยี่ยหลีต่างไม่มีความเห็นเป็นอื่น ม่อซิวเหยาหันไปเอ่ยกับสวีหงอวี่ว่า “เรื่องนี้คงต้องรบกวนท่านหงอวี่แล้ว”

 

 

เดิมทีสวีหงอวี่เป็นยอดบัณฑิตขงจื้อที่มีชื่อเสียงไปทั่วใต้หล้าอยู่แล้ว หากมอบหมายเรื่องนี้ให้เขาไปจัดการย่อมเสียแรงเพียงครึ่ง แต่ได้ผลลัพธ์เป็นทวีคูณ

 

 

สวีหงอวี่พยักหน้าเป็นการตอบรับ

 

 

 

 

เมื่อให้ผู้บัญชาการและเจ้าพนักงานน้อยใหญ่ที่เข้าตำหนักมากันตั้งแต่เช้ากลับออกไป เหลือเพียงบุคคลที่ไว้ใจสามสี่คนและผู้ว่าการโจวอวี้ที่รับผิดชอบดูแลงานทั้งเมืองหรู่หยาง

 

 

ถึงแม้โจวอวี้จะอายุค่อนข้างน้อย แต่หลายวันนี้ไม่ต้องพูดถึงว่าเขาจัดการงานต่างๆ ได้อย่างดีเลิศเพียงใด แต่ทุกอย่างยังเป็นไปตามกฎระเบียบไม่มีข้อผิดพลาดแม้สักนิดเดียวอีกด้วย ด้วยอายุอานามและประสบการณ์อย่างเขา ถือได้ว่าเก่งกาจมากแล้วจิรงๆ อีกทั้งเขายังเป็นคนเคร่งครัดและจริงจัง จนทำให้ม่อซิวเหยาและเยี่ยหลีพึงพอใจเป็นอย่างยิ่ง

 

 

“ใต้เท้าโจว คณะทูตจากแคว้นต่างๆ ทั้งซีหลิงและเป่ยหรงจะมาลากลับกันวันนี้ใช่หรือไม่” เยี่ยหลีเอ่ยถาม

 

 

โจวอวี้ลุกขึ้นเอ่ยตอบด้วยความเคารพว่า “เรียนพระชายา ยามนี้ยังมิได้รับหนังสือขอตัวลากลับจากคณะทูตของแต่ละแคว้นเลยพ่ะย่ะค่ะ เพียงแต่เช้าวันนี้เจิ้นหนานอ๋องซื่อจื่อแห่งซีหลิง องค์ชายเจ็ดแห่งเป่ยหรง และหลีอ๋องแห่งต้าฉู่ได้เดินทางออกนอกเมืองไปตั้งแต่เช้าพ่ะย่ะค่ะ เห็นว่าอยากจะไปชื่นชมวิวทิวทัศน์ของซีเป่ยสักหน่อยพ่ะย่ะค่ะ”

 

 

เยี่ยหลีระบายยิ้ม เอ่ยว่า “แล้วแต่พวกเขาเถิด คณะทูตจากแต่ละแคว้นที่มาถือเป็นแขก พวกเขาจะต้องทำให้แขกที่มารู้สึกเหมือนอยู่บ้านตนเอง เรื่องเหล่านี้คงต้องรบกวนให้ใต้เท้าโจวช่วยดูแลสักหน่อย หากมีปัญหาอันใด ส่งคนมารายงานที่ตำหนักก็แล้วกัน แน่นอนว่า หากมีผู้ใดไม่รักษากฎเกณฑ์ คิดอยากสร้างความวุ่นวายในซีเป่ย ใต้เท้าโจวก็ไม่ต้องเกรงใจเช่นกัน หน่วยอินทรีย์กองก. ของกองทัพตระกูลม่อที่ประจำการอยู่นอกเมืองทั้งหมดสองพันห้าร้อยคน พร้อมเคลื่อนพลตามคำสั่งเจ้าตลอดเวลา”

 

 

เมื่อพูดชื่อหน่วยเฮยอวิ๋นฉีขึ้นมา เยี่ยหลีก็อดขมวดคิ้วขึ้นมาไม่ได้ ก่อนหน้านี้นางคุ้นชินกับการใช้ตัวเลขเป็นชื่อเรียก ชื่อเรียกสารพัดชื่อของแต่ละหน่วยนี้ ช่างทำให้น่าปวดหัวไม่น้อย

 

 

หน่วยเฮยอวิ๋นฉีมีทั้งหมดประมาณห้าหมื่นนาย แบ่งออกเป็นหน่วยสามหน่วยคือ อินทรีย์ ราชสีห์ และสิงห์ ทุกหน่วยมีจำนวนทหารประมาณหนึ่งหมื่นหกพันหนึ่งหมื่นเจ็ดพันนาย และทุกหน่วยยังแบ่งออกเป็นห้ากอง หนึ่งกองมีทหารประมาณสามพันนาย และหน่วยที่ประจำกายอยู่ใกล้เมืองหรู่หยางที่สุดก็คือหน่วยอินทรีย์

 

 

โจวอวี้รู้สึกซาบซึ้งใจ ด้วยอายุและประสบการณ์ของตน ไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่าจะได้รับความสำคัญและความไว้ใจจากท่านอ๋องและพระชายามากมายเช่นนี้ จึงรีบเอ่ยตอบกว่า “ท่านอ๋องและพระชายาโปรดวางใจ ข้าน้อยจะไม่ทรยศความไว้ใจของท่านอ๋องและพระชายาพ่ะย่ะค่ะ”

 

 

เห็นได้ชัดว่าม่อซิวเหยามองความในใจของเขาออก จึงพยักหน้าเอ่ยว่า “เดิมทีข้าไม่ชอบการใช้คนโดยดูจากประสบการณ์และอายุอยู่แล้ว ก่อนหน้านี้ เจ้าสามารถดูแลความเป็นอยู่ของประชาชนในหรู่หยางได้ ข้ากับพระชายาจึงฝากฝังเมืองหรู่หยางไว้กับเจ้า เจ้าจัดการเรื่องต่างๆ ให้สบายใจก็พอแล้ว”

 

 

โจวอวี้เก็บกดคลื่นอารมณ์ที่เกิดขึ้นในจิตใจลง ก่อนเอ่ยด้วยความเคารพว่า “ข้าน้อยรับบัญชา ข้าน้อยขอตัวพ่ะย่ะค่ะ”

 

 

เมื่อเห็นโจวอวี้หมุนตัวเดินออกไป สวีชิงเฉินจึงเอ่ยยิ้มๆ ว่า “ฝ่าบาทสั่งการทุกอย่างได้ดีนัก ไม่แปลกใจเหตุใดกองทัพตระกูลม่อทั้งผู้ใหญ่และผู้น้อยถึงได้สมัครสมานสามัคคีกันนัก”

 

 

ม่อซิวเหยาเอ่ยกลั้วหัวเราะว่า “คุณชายชิงเฉิน เกรงใจแล้ว ลูกน้องข้ามีแต่พวกหยาบกระด้าง เอาเข้าจริง ขุนนางสายบุ๋นก็มีอยู่เพียงไม่กี่คน เดิมทีที่เลือกโจวอวี้ขึ้นมานั้นก็ด้วยเพราะไม่มีทางเลือก โชคดีที่เขาเป็นขยันขันแข็งและเคร่งครัด ก็ถือว่าไม่เลวทีเดียว ต่อให้หวังว่าคุณชายชิงเฉินและท่านทั้งจะสองช่วยดูแลเขาด้วย”

 

 

สวีชิงเฉินเลิกคิ้ว ระบายยิ้มราบเรียบและสงบนิ่ง “ท่านอ๋องเชื่อใจตระกูลสวีหรือ?”

 

 

ม่อซิวเหยาเลิกคิ้ว “หากไม่เชื่อใจ แล้วข้าจะทำเช่นนี้ไปด้วยเหตุใด ยิ่งไปกว่านั้น…หากข้ายังเชื่อใจตระกูลสวีไม่ได้ แล้วจะมีผู้ใดที่เชื่อใจได้อีก อย่างไรข้าก็มิอาจไปจัดการทุกเรื่องด้วยตนเองได้หรอกกระมัง พวกทหารในกองทัพตระกูลม่อเหล่านี้ ให้พวกเขานำทหารไปทำศึกนั้นไม่มีปัญหา แต่หากจะให้พวกเขาไปจัดการงานบริการ เกรงว่าคงยากเสียยิ่งกว่าเอาชีวิตพวกเขา”

 

 

หลี่ว์จิ้นเสียนที่นั่งอยู่อีกด้านพยักหน้าดิกอย่างเห็นด้วย ก่อนหน้านี้ที่เพิ่งยึดครองพื้นที่ทางซีเป่ยใหม่ๆ ได้มีการเปลี่ยนตัวขุนนางซีเป่ยกันขนานใหญ่ พวกเขาที่เป็นแม่ทัพเอง ก็เคยรับผิดชอบเรื่องการบริหารงานในพื้นที่กันมาระยะหนึ่ง ช่วงเวลานั้นช่างเป็นช่วงเวลาที่ไม่อยากหวนกลับไปนึกถึงเอาเสียเลย

 

 

เมื่อเอ่ยล้อเล่นกันพักหนึ่งแล้ว สีหน้าทุกคนก็กลับมาเคร่งขรึมอีกครั้งเมื่อต้องเอ่ยเรื่องที่เป็นการเป็นงาน สวีหงอวี่เอ่ยถามว่า “ยามนี้ถือได้ว่าซีเป่ยได้แยกตัวออกจากต้าฉู่อย่างแท้จริงแล้ว ท่านอ๋องได้มีวางแผนไว้ก่อนหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ”

 

 

ม่อซิวเหยาเอ่ยด้วยความเคารพว่า “ขอท่านได้โปรดชี้แนะ”

 

 

สวีหงอวี่ส่ายหน้า เอ่ยว่า “ท่านอ๋องไม่จำเป็นต้องเกรงใจ เชื่อว่าในใจท่านอ๋องคงคิดสิ่งใดเอาไว้เรียบร้อยแล้ว เหตุใดจะต้องให้ข้าชี้แนะด้วยเล่า ความเห็นของข้าคือ เรื่องแรกเกรงว่าคงจะต้องรวบรวมตำแหน่งเจ้าพนักงานแต่ละท้องที่กันใหม่ทั้งหมด รวมถึง…ฐานะที่แท้จริงของกองทัพตระกูลม่อในซีเป่ยที่ท่านวางเอาไว้ด้วยเช่นกัน”

 

 

ม่อซิวเหยานิ่งเงียบไปพักหนึ่ง แล้วเอ่ยว่า “การรวบรวมตำแหน่งเจ้าพนักงานใหม่ทั้งหมดนั้นเป็นเรื่องที่ต้องกระทำ เพียงแต่ที่ท่านพูดถึงเรื่องฐานะของกองทัพตระกูลม่อในซีเป่ยนั้น ข้าไม่ค่อยเข้าใจนัก”

 

 

สวีหงอวี่หันไปเอ่ยกับเขาว่า “ยามนี้ซีเป่ยและต้าฉู่ไม่มีสิ่งใดเกี่ยวข้องกันอีกแล้ว จึงไม่มีสัมพันธ์เยี่ยงขุนนางและผู้ใต้บังคับบัญชาอีก เช่นนั้นท่านอ๋องเห็นว่าซีเป่ยและกองทัพตระกูลม่อจะเป็นอย่างไรต่อไปในอนาคน ต่างฝ่ายต่างอยู่ รักษาสถานการณ์เช่นนี้ไว้? หรือจะขยายอาณาเขต…รวบรวมการปกครอง?”

 

 

ประโยคท้ายที่ว่ารวบรวมการปกครองนั้น สวีหงอวี่พูดด้วยเสียงอันเบายิ่งนัก แต่กลับดังก้องอยู่ในหูของทุกคนที่ได้ยิน ปานประหนึ่งเสียงฟ้าคำรามที่ก้องไปทั่วหล้า

 

 

บางทีการพูดเรื่องนี้ทั้งๆ ที่เพิ่งแยกตัวออกจากต้าฉู่นั้น ออกจะไม่เหมาะสมเท่าไรนัก แต่นี่กลับเป็นคำถามที่เหมาะกับสถานการณ์จริงในยามนี้มากที่สุด

 

 

กองทัพตระกูลม่อใช้กำลังทหารแบ่งแยกพื้นที่เขตซีเป่ยออกมา รอบด้านรายล้อมไปด้วยศัตรู หากม่อซิวเหยาไม่ขยายอาณาเขตความยิ่งใหญ่ออกไป ไม่วันใดก็วันหนึ่งซีเป่ยจะต้องเลือกเข้าไปรวมอยู่กับแคว้นที่แข็งแกร่งแคว้นใดแคว้นหนึ่ง หากเป็นเช่นนั้นจริง ก็เท่ากับว่า เดินกลับไปทางเก่าที่ตำหนักติ้งอ๋องเคยผ่านมา หรืออาจย่ำแย่กว่าก่อนหน้านี้อีกด้วย ดังนั้น กองทัพตระกูลม่อจึงทำได้เพียงเดินหน้าต่อไป มิอาจถอยหลังกลับได้

 

 

ก่อนหน้านี้ การขยายอาณาเขตและรวบรวมการปกครอง เป็นความตั้งใจของกองทัพตระกูลม่อ ท่านอ๋องรุ่นก่อนๆ และบรรดานายทหารทุกคน แต่เมื่อถูกควบคุมโดยราชวงศ์มานานหลายปี จึงพ่ายแพ้ในช่วงสุดท้ายมาเสมอ แต่เช่นเดียวกัน หากยามนี้ม่อซิวเหยาสถาปนตนเองขึ้นเป็นประมุข ไม่ว่าเขาจะมีเหตุผลมากน้อยเพียงใด ก็ไม่อาจหลีหนีการเป็นคนกบฏในสายตาของคนทั้งใต้หล้าไปได้

 

 

ตำหนักติ้งอ๋องมีความแค้นในการสังหารบิดาและพี่ชายกับทั้งอดีตฮ่องเต้และฮ่องเต้องค์ปัจจุบัน หากจะแตกหักกับต้าฉู่ จะมีผู้ใดพูดอันใดได้ แต่หากหันกลับมาทำลายต้าฉู่ให้ล่มสลาย เช่นนั้นก็ยากที่จะหลีกหนีการได้ชื่อว่าเป็นกบฏไปได้

 

 

สวีหงอวี่มองม่อซิวเหยาด้วยสายตานิ่งสงบ ติ้งอ๋องที่อายุยังน้อยผู้นี้ ประสบพบเจอกับเรื่องร้ายๆ มานับไม่ถ้วน แต่ในขณะเดียวกับเขาก็ยังต้องแบกรับภาระ เกียรติยศและชื่อเสียงของตำหนักติ้งอ๋องที่มีมาตลอดเกือบร้อยปีไว้ เขาจะทนรับคำด่าและผลที่จะตามมาเช่นนี้ได้หรือไม่

 

 

จู่ๆ ม่อซิวเหยาก็หัวเราะเสียงต่ำๆ ขึ้น สายตาที่มองสวีหงอวี่มีความสงบนิ่งและเด็ดเดี่ยว ม่อซิวเหยายิ้มแล้วเอ่ยเรียบๆ ว่า “ท่านหงอวี่ไม่จำเป็นต้องทดสอบข้า ในเมื่อข้ายอมที่จะแตกหักกับต้าฉู่ ไฉนเลยจะมาเสียดายกับชื่อเสียงจอมปลอมเช่นนั้น ความแค้นที่พวกมันสังหารบิดาและพี่ชายข้า ข้าจะต้องเอาคืนจากม่อจิ่งฉีให้จงได้!”

 

 

สวีหงอวี่นิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง ลุกขึ้นประสานมือให้ม่อซิวเหยา “เช่นนั้น ท่านอ๋องได้โปรดมีคำสั่งมาเถิดพ่ะย่ะค่ะ”

 

 

ม่อซิวเหยานิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง แล้วเอ่ยปากพูดว่า “เปลี่ยนชื่อเมืองหรู่หยางเป็นเมืองหลี ชื่อรัชสมัยหย่งติ้ง”

 

 

ทุกคนต่างอึ้งไป เฟิ่งจือเหยาเอ่ยเตือนว่า “ท่านอ๋อง ชื่อราชวงศ์ล่ะพ่ะย่ะค่ะ”

 

 

ม่อซิวเหยาปรายตามองเขา เลิกคิ้วพร้อมเอ่ยยิ้มๆ ว่า “ผู้ใดบอกว่าจะตั้งชื่อราชวงศ์เล่า”

 

 

ทุกคนต่างนิ่งเงียบไป เปลี่ยนชื่อรัชสมัยแต่ไม่มีชื่อราชวงศ์ นี่หมายความเช่นไรกัน

 

 

สวีชิงเฉินที่นั่งเงียบอยู่อีกด้านหนึ่งเงยหน้าขึ้นเอ่ยถามว่า “ความหมายของท่านอ๋องคือจะยังไม่ขึ้นครองราชย์หรือพ่ะย่ะค่ะ”

 

 

ม่อซิวเหยาโบกมืออย่างไม่ใส่ใจว่า “ซีเป่ยมีพื้นที่อยู่เพียงเท่านี้ การสถานปนาตนเองขึ้นเป็นประมุข ก็เป็นเพียงความเพลิดเพลินส่วนตัวเท่านั้น การได้ชื่อว่าเป็นฮ่องเต้ เป็นเพียงเรื่องไร้สาระ เหตุใดข้าจะต้องทำเช่นนั้น สิ่งที่อยู่ภายใต้การปกครองของข้าทั้งหมด ข้าบอกว่าเป็นอ๋องก็คืออ๋อง หากบอกว่าเป็นฮ่องเต้ก็คือฮ่องเต้!”

 

 

ทุกคนต่างกระจ่างแจ้งแก่ใจทันที ปีรัชสมัยนั้น ก็เป็นเพียงการนับปีแยกจากต้าฉู่เท่านั้น เมื่อไม่มีฮ่องเต้ก็ย่อมไม่มีราชวงศ์

 

 

แต่เมื่อทุกคนยังมีสีหน้าลังเล ม่อซิวเหยาจึงเอ่ยยิ้มๆ ว่า “ต่อให้ข้าอยากสถาปนาแคว้นก็มิอาจสถาปนาอย่างน่าเศร้าเช่นนี้กระมัง พิธีการสถานปนาใหญ่ก็จำเป็นต้องใช้เงินจำนวนไม่น้อย วังหลวงอยู่ที่ใด พระราชวังอยู่ที่ใด กับพื้นที่เล็กๆ เช่นนี้ในซีเป่ย ข้าคงไม่มีหน้าไปจัดพิธีสถาปนาหรอก ทุกท่านถือเสียว่าเป็นการประหยัดเงินก็แล้วกัน”

 

 

จะต้องให้เขาเอาอย่างพวกหน้าโง่ที่คิดอยากตั้งตนเป็นฮ่องเต้หรือ พอได้ครอบครองพื้นที่เล็กๆ ก็จะสถาปนาแคว้น เรียกตนเองว่าฮ่องเต้? หากมิอาจรวบรวมการปกครองได้ เขา ม่อซิวเหยา จะกล้าเรียกตนเองว่าฮ่องเต้ผู้สถานปนาแคว้นได้อย่างไร

 

 

สวีหงอวี่ถอนใจทีหนึ่ง แล้วพยักหน้าเอ่ยว่า “ท่านอ๋องมีความตั้งใจเช่นนี้ถือเป็นเรื่องดี จัดการตามที่ท่านอ๋องว่าก็แล้วกันพ่ะย่ะค่ะ”