ตอนที่ 90 แต่งเข้า (บ้านเจ้าสาว)

เกิดใหม่เป็นสาวน้อยชนบท [特工狂妃:农妇山权有点田

ตอนที่ 90 แต่งเข้า (บ้านเจ้าสาว)

“เมื่อหลอกข้าไม่ได้ จึงมาโน้มน้าวท่านพ่อกับท่านแม่ข้าให้หูเบาเชื่อท่านอย่างงั้นหรือ?” ซูหวานหว่านหัวเราะเยาะ

ทุกคนต่างตกตะลึง เหตุใดเรื่องมันถึงกลับตาลปัตรเช่นนี้ ตกลงแล้วมันเกิดสิ่งใดขึ้นกันแน่!

แม่เจิ้นตกใจ มือของนางสั่นไหว “หวานหว่าน ที่เจ้าพูดมาหมายความอย่างไร?”

“ท่านแม่ หากท่านจะมาถามข้า มิสู้ท่านเปิดม่านดูเอาเองเถิดว่าเป็นผู้ใดที่นั่งอยู่ในเกี้ยวนั้น หากข้าเดาไม่ผิดคนที่นั่งอยู่บนเกี้ยวคงจะเป็นชายที่มีอายุประมาณห้าหกสิบปี อีกทั้งพี่รองที่รักของท่านพ่อยังต้องการให้ข้าแต่งงานกับชายชราและให้ข้าไปเป็นเมียรองคนที่สิบสามของเขา!” ซูหวานหว่านเอ่ยออกมาพร้อมชำเลืองมองซูต้าคังด้วยสายตาเย็นชา ส่งผลให้ซูต้าคังถอยหลังอย่างไม่รู้ตัว

“ซูหวานหว่าน เจ้ากำลังพูดจาไร้สาระอันใด! ข้าจะทำเช่นนั้นกับเจ้าได้อย่างไร!” หลังจากพูดจบเสียงซูต้าคังก็ลดต่ำลง

แม่เจิ้นและซูต้าคังมองหน้ากัน นางก้าวเดินไปทางเกี้ยว ซูต้าคังจึงรีบเข้าไปขวางไว้และพูดว่า “พวกเจ้าจะทำอะไร! นายท่านซูเป็นคนร่ำรวยมาก พวกเจ้าจะมาทำตามใจคิดได้อย่างไรกัน…!”

ก่อนคำพูดของเขาจะขาดหาย จู่ ๆ ก็มีลมกระโชกแรงขึ้นที่ด้านหลังและเข่าของเขาก็รู้สึกเจ็บขึ้นมา จากนั้นก็ล้มลงบนพื้นทันที

ซูต้าคังพยายามลุกขึ้นอย่างรวดเร็ว ทว่าเมื่อเห็นซูต้าเฉียงได้เปิดม่านเกี้ยวแล้ว ทุกคนก็พากันชะโงกดูในเกี้ยวด้วยความสงสัย เมื่อเขามองเข้าไปก็พบกับชายชราอายุราว 50-60 ปี อีกทั้งยังมีเด็กสาวอายุ 13 ปีนั่งอยู่ในเกี้ยวด้วย

ทุกคนตกใจมากเพราะคำพูดของซูหวานหว่านนั้นถูกต้องทุกอย่าง ส่วนซูหยวนหยวนที่นั่งอยู่ในเกี้ยวก็ตกใจเช่นกัน เพราะนางกำลังนั่งอยู่บนตักของชายชราและมือของนางสอดอยู่ในเป้ากางเกงของชายชราเผยให้เห็นส่วนลับของเขา

ช่างน่ารังเกียจ!

ทุกคนเบิกตากว้างด้วยความตกใจพลางถอนหายใจออกมา “บัดสีบัดเถลิงเสียจริง ๆ!”

ซูต้าคังวิ่งปราดมาทันที พร้อมทั้งอธิบายว่า “นั่นคือลูกสาวของข้า! นายท่านซูคือลูกเขยของข้า ข้าทำเช่นนี้ก็เพราะเห็นว่าซูหยวนหยวนและซูหวานหว่านเป็นพี่น้องกันไม่ใช่หรือ? แน่นอนว่าพวกเขาจะต้องมีสายใยรักแห่งสายเลือดที่ลึกซึ้งต่อกัน ดังนั้นเหตุใดถึงจะใช้สามีร่วมกันไม่ได้!”

‘แปะ’ ‘แปะ’ ‘แปะ’ ซูหวานหว่านปรบมือตัวเองดัง ๆ แล้วพูดว่า “หากท่านไม่หน้าด้านก็คงไม่สามารถพูดเช่นนี้ออกมาได้ ท่านไม่เพียงแต่ขายลูกสาวของตนให้กับคนอื่นราวกับสิ่งของ ทว่ายังจะพยายามสอดมือเข้ามายุ่งเรื่องของบ้านข้า อีกทั้งยังต้องการขายข้าอีก ข้าคิดว่าป่านนี้บรรพบุรุษโคตรเหง้าของเราที่สิบแปดชั่วอายุคนจะต้องขอบคุณท่านแล้วกระมัง!”

วาจาของซูหวานหว่านถึงจะดูก้าวร้าวทว่ามันเป็นความจริงทุกประการ เหล่าชาวบ้านมองไปที่ซูต้าคัง พลันสีหน้าของเขาก็เปลี่ยนไปก่อนจะหันไปขยิบตาให้ซูหยวนหยวน

ซูหยวนหยวนที่นั่งใบหน้าแดงก่ำรีบดึงมือของตัวเองออกมาจากเป้ากางเกงของพ่อเฒ่าซูและวิ่งเข้าไปหาซูหวานหว่าน พยายามคว้าแขนของนางเอาไว้ แต่นางสามารถหลบได้ทัน

“อยู่ให้ห่างจากข้า มันสกปรก” ซูหวานหว่านกล่าว

“ท่านพี่! ท่าน!” ซูหยวนหยวนกัดฟันแน่นพยายามระงับอารมณ์ ก่อนจะปรับอารมณ์ให้เป็นปกติในชั่วพริบตา “ท่านพี่ พ่อเฒ่าซูสามารถทำอะไรได้มากกว่าที่คิด และข้ารู้ดีว่าท่าน…”

ทำอะไรได้มากกว่าที่คิด? เข้าใจอย่างงั้นหรือ? ซูหวานหว่านเอ่ยขัดขึ้นมา “ซูหยวนหยวน เจ้าเงียบเสียดีกว่า เจ้าป่วยเป็นอะไรข้าย่อมรู้ดี เจ้าอย่ามาทำร้ายข้า ไม่เช่นนั้นแล้วข้าไม่รับปากว่าข้าจะปากสว่างเผยความลับออกมาเมื่อใด หากข้าบอกออกไปมันคงจะไม่ดีแน่ ๆ”

“ท่านพี่…” ซูหยวนหยวนหลุบตาและเงียบไป ซูต้าคังมองไปที่ลูกสาวของตนเองด้วยความโกรธ ก่อนจะถ่มน้ำลายใส่ซูหวานหว่าน “ซูหวานหว่าน! เจ้าจะเลือกหรือไม่เลือก! หากเจ้าเลือก เจ้าจะได้เงินสินสอดถึง 30 ตำลึง! เจ้าควรคิดให้ดี ๆ นะ”

“ข้าบอกท่านชัดเจนแล้ว ไสหัวไปซะ!” ซูหวานหว่านจ้องเขม็ง นางเดินไปหยิบไม้กวาดและมุ่งตรงไปหาซูต้าคัง ทำให้คนที่อยู่รอบข้างหลบทางให้นางทีละคน

แต่พลันใดก็มีเสียงชายคนหนึ่งเอ่ยขึ้นมาอย่างร่าเริง “ซูหวานหว่าน! ข้าเห็นทุกอย่างแล้ว ในเมื่อเจ้าโดนถอนหมั้นไปแล้ว ดังนั้นเจ้าก็แต่งงานกับพ่อเฒ่าซูเสียเถอะ! หลังจากแต่งงานแล้ว เจ้าจะอยู่กินอย่างสุขสบาย ไม่แน่พ่อเฒ่าซูอาจจะรู้จักคนใหญ่คนโตทำให้พี่ชายและน้องชายของเจ้าเจริญก้าวหน้าในอนาคตก็ได้!”

ซูหวานหว่านเหลือบมองชายที่นางรู้จักและคุ้นเคยดี และพบว่าเขากำลังทุกข์ทรมานจากอาการปวดก้นของตนเอง ใบหน้าของเขาเป็นสีเหลืองราวกับเป็นโรคไต นางจึงพูดจาถากถางออกมา “เหมี่ยวอี้เซิง เจ้าจะให้ข้าตาต่ำแบบเจ้าอย่างงั้นหรือ? ทัศนคติและคำพูดของเจ้าดูไม่เหมือนกับครั้งสุดท้ายที่ได้คุยกัน เพราะเหตุใดล่ะ? ซื่อต้าฟู่กลับมาโปรดปรานเจ้าแล้วหรือ? สงสัยลีลาของเจ้าคงทำให้เขาพอใจล่ะสิ?”

“ฮ่า ฮ่า ฮ่า” ทุกคนต่างหัวเราะออกมา

“เจ้า เจ้า…” ใบหน้าของเหมี่ยวอี้เซิงแปรเปลี่ยนเป็นอึมครึม ซูหวานหว่านนังผู้หญิงสารเลว โชคดีแล้วที่เขาไม่ได้แต่งงานกับนาง!

จากนั้นเสียงฮัมเบา ๆ ก็ดังออกมาจากเกี้ยวและพ่อเฒ่าซูก็ปรากฏออกมา เขายังคงกลัวจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อวาน เท้าของเขายังคงสั่นเทา ร่างกายของเขายังยืนได้ไม่มั่นคงและเสียงของก็ดูสั่นเล็กน้อย “ซูหวานหว่าน ข้าจะให้เงินกับเจ้าเพิ่มเป็น 100 ตำลึง! เจ้าจะว่าอย่างไร?”

100 ตำลึงอย่างงั้นหรือ!? เมื่อได้ยินเช่นนี้พวกชาวบ้านก็อยากจะขายลูกสาวของตนขึ้นมา

“นี่เจ้าคิดว่าลูกสาวของข้าเป็นอะไร? แม้ว่าครอบครัวของข้าจะไม่มีเงิน แต่ข้าไม่มีวันทำร้ายนางเด็ดขาด!” แม่เจิ้นกล่าวอย่างโกรธเคือง นางรีบวิ่งไปหาไม้กวาดและเดินกลับมายืนคู่กับซูหวานหว่าน ส่งผลให้พ่อเฒ่าซูถอยหลังหนีโดยไม่รู้ตัว

“ได้โปรดกลับไปเสีย” ซูต้าเฉียงพูดขึ้น มองไปที่คนเหล่านั้นแล้วพูดต่อว่า “ลูกสาวของข้าเป็นคนสวย บ้านใหม่ของพวกเรากำลังจะสร้างเสร็จแล้ว นั่นก็เหมือนกับว่าครอบครัวของเรามีฐานะปานกลางประมาณหนึ่ง ส่วนใหญ่จะมีชายหนุ่มที่เต็มใจจะมาสู่ขอลูกสาวของข้าไปแต่งงาน! แต่หากพวกเขาไม่เต็มใจ ข้าก็จะไปตามหาชายหนุ่มดี ๆ สักคนแต่งเข้าบ้าน และไม่ต้องการให้ลูกสาวตกเป็นขี้ปากใคร”

พ่อของนางพูดได้ยอดเยี่ยมจริง ๆ

ซูหวานหว่านรู้สึกตื้นตันใจ นางและพ่อสบตาสื่อสารกัน ซูต้าเฉียงเอ่ยออกมาอย่างมั่นใจ “ลูกสาวของข้าเป็นคนที่ฉลาดและมีความสามารถ ข้าจะกล่าวเอาไว้ตรงนี้ เงินที่นำมาสร้างบ้านเป็นเงินที่นางหามาได้เองทั้งนั้น แน่นอนนางเป็นคนที่ฉลาดมาก ต้องไม่ใช่คนธรรมดาที่จะสามารถแต่งงานกับนางได้! ชายชราก็อย่าหวัง ช่างน่าขยะแขยง! และก็อย่าแม้แต่จะคิด!”

เหล่าชาวบ้านตกอยู่ในความโกลาหล พวกเขามองไปที่ซูหวานหว่านด้วยแววตาเป็นประกาย แท้จริงแล้วซูหวานหว่านเป็นคนหาเงินเอง!

เมื่อมองไปที่เหมี่ยวอี้เซิงและพ่อเฒ่าซู ใบหน้าของพวกเขาก็พลันเปลี่ยนสี เหมี่ยวอี้เซิงพูดออกมาว่า “พวกเจ้ากำลังจะโกหกใคร! ถามคนแถวนี้ดูเสียมีใครอยากจะแต่งเข้าบ้าง!”

ไม่มีผู้ใดปริปากส่งเสียง แม้ว่าตระกูลซูจะร่ำรวยเงินทอง แต่หากแต่งเข้าบ้านเจ้าสาวก็ดูเหมือนจะขายหน้าเกินไป! และคงจะต้องรู้สึกผิดกับบรรพบุรุษตระกูลตนเองไปชั่วชีวิต

“เห็นหรือยัง! ไม่มีผู้ใดอยากแต่งงานเข้าบ้านกับซูหวานหว่าน หากเจ้าไม่ต้องการแต่งงานกับพ่อเฒ่าซู ข้าจะให้เงินเจ้าสองถึงสามตำลึงเพื่อมาสู่ขอเจ้าแต่งงาน เจ้าจะว่าอย่างไร?” เหมี่ยวอี้เซิงเอ่ยอย่างไม่ยอมแพ้

ซูหวานหว่านรู้สึกรังเกียจใบหน้าของเหมี่ยวอี้เซิง นางกำลังจะเอ่ยบางสิ่งออกมา

ทว่าทันใดนั้นก็มีเสียงฆ้องและกล้อง เสียงกกแตรดังขึ้น ผู้คนจำนวนมากในชุดอาภรณ์สีแดงเดินหามสิ่งของเข้ามา ดูท่าทางแล้วคนเหล่านี้น่าจะเป็นคนต่างถิ่น

ทุกคนอยู่ในอาการตกใจและมีคนในชุดแดงถามขึ้นมาว่า “นี่คือบ้านของซูหวานหว่านใช่หรือไม่?”

“ใช่” ซูหวานหว่านพยักหน้า

คนเหล่านั้นนำของมาวางไว้ในลานบ้าน

มันเป็นกล่องไม้มากมาย ไม่รู้ว่าด้านในคือของสิ่งใดแต่ดูแล้วคงหนักพอควร บนกล่องมีปมสีแดงผูกเอาไว้ เหมือนการสู่ขอแต่งงาน ทำให้ชาวบ้านต่างเริ่มส่งเสียงกระซิบกระซาบ

“หากไม่มีใครอยากจะแต่งเข้า ข้ายินดีแต่งเข้า”

ขณะที่เสียงพูดนั้นดังขึ้น ชายในชุดคลุมลึกลับก็เดินเข้ามาอย่างไม่ลังเล เมื่อเห็นการปักใบไผ่บนหมวกสีดำของเขา ซูหวานหว่านก็จำชายคนนั้นได้ทันที พลันใดหัวใจของนางก็เต้นเร็วขึ้น