“เมืองฉู่ทางนั้น…” หัวใจของฉู่สวินหยางสั่นไหวรุนแรง
ศึกเมืองฉู่เป็นเรื่องใหญ่ ที่ฮ่องเต้สั่งให้ฉู่ฉีเฟิงกับฉู่ฉีเหยียนไปที่นั่นอย่างลับๆ จะต้องมีเรื่องอะไรเกิดขึ้นแน่ แต่ว่าเมืองหลวงช่วงนี้ก็สงบเงียบเชียบ ไม่มีข่าวอะไรหลุดรั่วออกมาสักนิด
เรื่องนี้ต้องไม่ธรรมดา
“รุ่ยชินอ๋องล้มป่วย!” ฉู่อี้อันกล่าว
เพราะฮ่องเต้ทางนี้ไม่ยอมเลือกคนที่เหมาะสมเสียที รุ่ยชินอ๋องจึงต้องรับหน้าที่เป็นแม่ทัพบัญชาการศึกเองจนถึงตอนนี้ ก็นับว่าหลายเดือนแล้ว
ฉู่อี้อันพูดอย่างคลุมเครือ แต่ฉู่สวินหยางเข้าใจทุกอย่างในทันที
“ป่วยจริงๆ หรือเจ้าคะ?” นางถาม แต่น้ำเสียงกลับมั่นอกมั่นใจ
ฉู่อี้อันกระตุกมุมปากแต่กลับไม่ใช่รอยยิ้ม เขาถอนหายใจแล้วเอนตัวพิงพนักเก้าอี้ เอ่ยว่า “หมอหลวงที่ตามไปด้วยก็หมดปัญญา เบื้องต้นสันนิษฐานว่าถูกพลังของเครื่องรางควบคุมไว้”
เครื่องรางอาถรรพ์เป็นสิ่งต้องห้ามของราชวงศ์ ทั้งมีเขียนห้ามในกฎหมายอย่างชัดเจน
รุ่ยชินอ๋องโดนมนต์ดำ?
ตำแหน่งของเขาลึกซึ้งไม่สามัญ พอจะล้มยังล้มอย่างลี้ลับอีก
“มิน่าฮ่องเต้ไม่กล้าออกราชโองการเรียกตัวท่านพี่ไปอย่างเปิดเผย!” ฉู่สวินหยางสูดลมหายใจเย็นเยือก คิดแล้วก็รู้สึกตึงเครียดขึ้นมาทันที “เมืองฉู่ทางนั้นสถานการณ์เป็นอย่างไรบ้างเจ้าคะ?”
“รองแม่ทัพทั้งสองล้วนแต่เป็นมือเก่า ทัพใหญ่ก็ยังประจำการอยู่ในเมืองฉู่ ตอนนี้ข่าวถูกปิดไว้หมดแล้ว คงจะยังไม่เป็นไร” ฉู่อี้อันตอบ สายตาลึกซึ้งจ้องมองไปไกล อารมณ์บนหน้าไม่ได้ผ่อนคลายตาม “ถ้าไม่เกิดเรื่องนี้ขึ้น ฮ่องเต้ก็คงไม่ส่งเด็กสองคนนั้นไป สงครามทางใต้ยังไม่สงบ ชายแดนเหนือก็เพิ่งจะคุมอยู่ ยังไม่พูดถึงสถานการณ์ภายในราชสำนักเอง หากว่าข่าวหลุดรอดออกไป…หนานฮวาทางนั้นย่อมต้องบุกเข้ามาแน่”
แม้ราชสำนักจะมีแม่ทัพรุ่นใหญ่ที่กรำศึกมานานปีอยู่ไม่น้อย และฉู่อี้อันยังเป็นตัวเลือกที่เหมาะสมที่สุด แต่เพราะไม่มีใครกล้าเคลื่อนไหว ด้วยกลัวว่าจะเป็นการตีฆ้องร้องป่าวให้ชาวหนานฮวารู้แล้วฉวยโอกาสโจมตี จนทำให้ทุกอย่างแย่ลงไปอีก
“แต่ใครจะมีเส้นสายถึงเพียงนั้น ถึงขนาดวางคนในไว้ในทัพทหารกลางเมืองฉู่ได้?” ความคิดของฉู่สวินหยางคิดไม่ตก รู้สึกว่าเรื่องนี้เหลวไหลเกินไป
ฉู่อี้อันไม่ได้พูดอะไรต่อ
ก่อนหน้านั้นที่เกิดเรื่องกับหลัวอี้ เพราะรู้ว่าเป็นฝีมือของฉู่ฉีเหยียน เขาถึงไม่ได้รู้สึกอะไร แต่ครั้งนี้เรื่องราวซับซ้อนจับต้องอะไรไม่ได้เลย
เมื่อสงบสติได้แล้ว ฉู่สวินหยางก็อ้อมจากด้านหลังของฉู่อี้อัน จับมือเขาไว้แล้วพูดว่า “ท่านพ่อมีข่าวที่เชื่อถือได้บ้างหรือไม่? พวกท่านที่จะลงใต้ไปเมืองฉู่เมื่อไรล่ะเจ้าคะ?”
“แม่น้ำหมินทางนั้น เจิ้งตั๋วยังไม่หายบาดเจ็บดี อีกอย่างก่อนหน้านี้อำนาจในทัพก็อยู่ในมือของฉู่ฉีเหยียนกับฉู่ฉีเฟิงทั้งหมด ถ้าจะให้เขากระโดดออกมาคุมทัพคนเดียวก็ค่อนข้างอันตราย อย่างน้อย…” ฉู่อี้อันตอบ แล้วค่อยๆ เอ่ยปากอย่างเป็นนัยว่า “แม้จะรอฉู่อี้ไปรับช่วงต่อไม่ไหว อย่างมากก็คงออกเดินทางก่อนเขาไปถึงสักวันสองวัน”
“ชาวหนานฮวาไม่มีความเคลื่อนไหวใดใด มีความเป็นไปได้สูงว่าราชสำนักภายในของเรามีปัญหา” ฉู่สวินหยางพูดต่อ “ทวนเปิดเผยหลบหลีกง่าย เกาทัณฑ์ลับยากระวัง ถ้าเป็นแผนการของชาวหนานฮวาก็ยังพอฟังได้ แต่ตอนนี้…สถานการณ์ทางโน้นทั้งคลุมเครือและซับซ้อน ท่านพี่รีบร้อนตามไปแบบนี้ ท่านพ่อ ข้ากลัวว่า…”
หัวคิ้วของฉู่อี้อันกระตุก พอเข้าใจความหมายที่นางจะสื่อ
เขามุ่นคิ้ว มองดวงหน้าอันเป็นที่รักของบุตรสาวด้วยสายตาที่อ่านไม่ออก แล้วเม้มปากอยู่นานไม่ยอมพูดจา
“ท่านพ่อ…” ฉู่สวินหยางร้อนใจ ออกแรงบีบมือของเขาแน่นขึ้น
ฉู่อี้อันมองนางด้วยสีหน้าเข้มขึ้น พักหนึ่งก็เอ่ยวิธีประนีประนอมออกมาว่า “ข้าให้เจิงจีพาท่านเก๋อล่วงหน้าไปเป็นกำลังเสริมก่อน”
“แต่ว่า…” ฉู่สวินหยางยังไม่วางใจ “ท่านเก๋อก่อนหน้านี้ก็ติดตามพี่ชายไปอยู่เพียงพักเดียว พ่อบ้านเจิงยิ่งไม่เข้าใจสถานการณ์ทางนั้นไปใหญ่ ส่งพวกเขาไปก็ไม่มีประโยชน์ ท่านพ่อ ให้ข้าไปเถอะ อย่างน้อยข้าก็ช่วยเหลืออะไรท่านพี่ได้บ้าง”
ไม่ใช่แค่เมืองฉู่ที่เป็นปัญหา แต่คนที่ร่วมเดินทางไปกับฉู่ฉีเฟิงอย่างฉู่ฉีเหยียนต่างหากที่ทำให้ผู้อื่นไม่วางใจ
“ช่วงนี้สถานการณ์ไม่ปกติ เจ้าห้ามออกจากเมืองหลวง!” จู่ๆ ฉู่อี้อันก็เปลี่ยนอารมณ์ ตอบปฏิเสธอย่างเด็ดขาด
“ท่านพ่อ!” ฉู่สวินหยางจะพูดต่อ แต่เขากลับโบกมือใส่อย่างไม่ยอมอ่อนข้อ “ไม่ต้องพูดแล้ว เจิงจีทางนั้นกำลังเตรียมสัมภาระอยู่ ช่วงนี้เจ้าต้องอยู่ในเมืองหลวง ไม่อนุญาตให้ออกไปไหนทั้งนั้น!”
ตลอดหลายปีที่ผ่านมา นี่เป็นครั้งแรงที่เขาใช้น้ำเสียงเด็ดขาดเช่นนี้กับนาง ทั้งท่าทางยังแสดงออกอย่างชัดเจน
ฉู่สวินหยางไม่อยากยอมแพ้ แต่เพราะนางรู้นิสัยของฉู่อี้อันดี ลังเลอยู่สักพักจึงยอมเลิกราในที่สุด
ในลานมีเสียงพูดคุยของเจิงจีกับลู่หยวนดังแว่วมา ฉู่สวินหยางจนใจ หันไปมองหน้าฉู่อี้อันแล้วกระทืบเท้าทีหนึ่งด้วยความไม่พอใจ ก่อนจะหมุนกายแล้วผลักประตูเดินออกไป
เจิงจีเห็นนางอารมณ์ไม่ดี ในใจรู้ทัน เพียงถอนหายใจเรียกนาง “ท่านหญิง!”
ตอนท้ายอยากจะพูดอะไรต่อ แต่ลังเลอยู่นานกลับไม่รู้จะเริ่มอย่างไรดี
ฉู่สวินหยางเม้มปากแน่น มองผ่านหน้าเขาแล้วก้าวพรวดๆ จากไปทันที
เจิงจีเดินผ่านประตูเข้าไป
ฉู่อี้อันเอนตัวพิงพนักเก้าอี้หลังโต๊ะทำงาน มือข้างหนึ่งเกยอยู่บนหน้าผากไม่รู้ว่ากำลังคิดอะไร
“นายท่าน ท่านหญิงนาง…” เจิงจีเอ่ยปากด้วยความกังวล
“เป็นข้าที่เอาแต่ตามใจนาง!” ฉู่อี้อันเอ่ย ดวงตาสว่างวับมีความลึกลับอยู่ภายใน ทว่าเขาเปลี่ยนอารมณ์ไวนัก จู่ๆ ก็ยืดตัวนั่งหลังตรง เอ่ยด้วยท่าทางจริงจังว่า “มีเรื่องอะไร?”
“เรื่องเกี่ยวกับแผนที่เมื่อครู่น่ะขอรับ ข้าน้อยไปหาท่านเก๋อแล้วลองศึกษาอย่างคร่าวๆ แล้ว เจอปัญหานิดหน่อย” เจิงจีตอบ พูดแล้วก็ควักแผนที่แผ่นนั้นออกมาจากแขนเสื้อ ทว่าใจยังคงติดต้างกับเรื่องอื่นอยู่ ถึงได้มองออกไปด้านนอกบ่อยๆ “ท่านหญิงกับท่านชายรักใคร่กันมาก ต่อให้เป็นคำสั่งของท่านก็ไม่แน่ว่านางจะฟัง”
นิสัยของฉู่สวินหยางมีหรือที่ฉู่อี้อันจะไม่รู้?
จะว่าไปนิสัยของฉู่สวินหยางก็คล้ายคลึงกับเขาหลายส่วน มีความอดทน อดกลั้น แต่กลับไม่ค่อยเข้าใจเรื่องการคบค้าสมาคมกับผู้อื่นนัก
“ช่างเถอะ ยังไม่ต้องสนใจนาง นางรู้จักคิด คงไม่ทำอะไรตามใจชอบ” ฉู่อี้อันเหม่อลอยพักหนึ่งก่อนจะตอบความ
เจิงจีรวบรวมสติ ไม่ถามอะไรเกี่ยวกับเรื่องนั้นอีก นิ้วชี้ไปบนแผนที่แล้วปรึกษาเรื่องสำคัญกับเขา
ฉู่สวินหยางรู้ว่าบิดาของตนเป็นคนพูดจริงทำจริง แต่สถานการณ์ของฉู่ฉีเฟิงทำให้นางไม่อาจวางใจลงได้ นางกลับไปที่เรือนจิ่นฮว่าแล้วเดินวนอยู่รอบหนึ่ง ก่อนจะสั่งคนให้เตรียมรถม้า แล้วไปรอที่ตรอกเล็กๆ ซึ่งค่อนข้างไกลจากประตูฝั่งตะวันตกของวังหลวง
ตอนนั้นเป็นเวลาบ่าย นางรอเกือบชั่วยามประตูวังถึงเปิดออก เหยียนหลิงจวินกับเพื่อนร่วมงานอีกสองคนเดินคุยกันออกมาจากด้านใน
——————————————————