ตอนที่ 436 หลอมประดิษฐ์ร่มไร้กังวล

พันธกานต์ปราณอัคคี

“ชิงเฉิน เหตุใดกระดิ่งดอกไม้ถึงดังขึ้นอีกแล้ว” หู่โถวแลดูงุนงง หยิบกระดิ่งดอกไม้ของตนเองขึ้นมาดู กระดิ่งดอกไม้ยังคงนอนสงบนิ่ง ไม่มีความเคลื่อนไหวแม้แต่น้อย

 

 

แต่สีหน้าของมั่วชิงเฉินกลับยินดี “เป็นศิษย์พี่”

 

 

“ศิษย์พี่?” หู่โถวกะพริบตาปริบ

 

 

ใบหน้าของมั่วชิงเฉินแสดงความยินดีอย่างยากจะปิดบัง “หู่โถว ข้าไม่ได้บอกว่าร่อนเร่มาถึงสิบทวีปบูรพาพร้อมกับสหายเต๋าหลายคนไม่ใช่หรือ หนึ่งในนั้นคือศิษย์พี่ร่วมพรรคเดียวกับข้า พวกข้าแต่เดิมมาถึงพื้นที่หุบเขามังกรด้วยกัน แต่เขาจากไปเพื่อจะตามหาวัตถุดิบชนิดหนึ่ง คิดไม่ถึงว่าจะกลับมาเร็วเช่นนี้”

 

 

พูดถึงตรงนี้สีหน้าก็เปลี่ยนไปเล็กน้อย “แย่แล้ว หู่โถว พวกเรารีบไปเถิด หากศิษย์พี่บังเอิญพบนักบำเพ็ญเพียรระดับก่อแก่นปราณชั้นปลายผู้นั้นจะแย่เอา”

 

 

เห็นมั่วชิงเฉินมีทีท่าร้อนใจ ทันใดนั้นหู่โถวก็ยิ่งรู้สึกสงสัยศิษย์พี่ที่นางพูดถึง แต่กลับไม่รับข้อเสนอของนาง “ไม่ได้ ชิงเฉิน เจ้าได้รับบาดเจ็บแล้ว”

 

 

มั่วชิงเฉินกลับยึดมั่น “ข้าเพียงแต่ไหล่บาดเจ็บเท่านั้น ไม่น่าเป็นกังวล ศิษย์พี่แม้จะอยู่ห่างจากระดับก่อแก่นปราณชั้นปลายเพียงแค่ก้าวเดียว แต่อย่างไรก็ไม่ใช่ระดับก่อแก่นปราณชั้นปลาย อีกอย่างเขาจากไปเพราะตามหาวัตถุดิบ ไม่รู้ว่าได้รับบาดเจ็บหรือไม่ หากว่าบนร่างกายมีบาดแผล แล้วต้องบังเอิญพบกับคนผู้นั้นสถานการณ์จะยิ่งย่ำแย่ไปกันใหญ่”

 

 

พูดเท่านี้ในใจก็รู้สึกหนักอึ้ง หากว่าน้องหกของฝ่ายตรงข้ามมาในเวลานี้พอดี เช่นนั้นจะยิ่งแย่ไปกันใหญ่

 

 

คิดได้เท่านี้มั่วชิงเฉินก็นั่งไม่ติดที่อีกต่อไป ดึงแขนเสื้อของหู่โถว “หู่โถว เจ้ารีบพาข้าออกไปเถิด”

 

 

ท่าทีของหู่โถวแลดูแปลกประหลาด ตบบ่ามั่วชิงเฉินสองสามที “ชิงเฉิน เจ้าเป็นกังวลจนสูญเสียสติไปแล้วหรือ ลืมไปแล้วหรือว่ายังไม่ทันได้ฟื้นฟูพลังพุทธญาณให้กับเมฆทองบัวศักดิ์สิทธิ์ ย่อมยืนหยัดไม่ถึงจนออกไปเป็นแน่

 

 

เมื่อได้ยินคำว่ากังวลจนสูญเสียสติ มั่วชิงเฉินใจสั่นสะท้าน

 

 

ใช่แล้ว ศิษย์พี่ลั่วหยางแม้จะไม่ใช่นักบำเพ็ญเพียรระดับก่อแก่นปราณชั้นปลาย แต่ในยามที่เขาอยู่ระดับก่อแก่นปราณชั้นต้นก็เคยสู้กับนักบำเพ็ญเพียรระดับก่อแก่นปราณชั้นปลายมาก่อน ต่อให้เป็นตนเองในยามที่แข็งแกร่งมากที่สุดหากต้องรับมือกับนักบำเพ็ญเพียรระดับก่อแก่นปราณชั้นปลายก็ยากที่จะเอาตัวรอด อีกทั้งศิษย์พี่ลั่วหยางยังอยู่ห่างจากระดับก่อแก่นปราณชั้นปลายเพียงแค่ก้าวเดียวเล่า

 

 

เมื่อใดกันที่ตัวเขาเองยิ่งมีความสำคัญต่อใจนางมากยิ่งขึ้น

 

 

‘นี่…คือความชอบหรือ?’

 

 

อยู่มาสองโลกก็ยังไม่เคยมีความรักมาก่อน แล้วมั่วชิงเฉินที่ถูกกู้หลีปฏิเสธหลายต่อหลายครั้งเกิดจิตใจวุ่นวายขึ้นมา

 

 

เห็นมั่วชิงเฉินนิ่งเงียบ หู่โถวนั่งลง “ชิงเฉิน ข้าจะรีบใช้เวลาให้เร็วที่สุดฟื้นฟูพลังพุทธญาณให้กับเมฆทองบัวศักดิ์สิทธิ์ ถึงเวลาเจ้ารักษาอาการบาดเจ็บอยู่ที่นี่ ข้าจะออกไปดู”

 

 

เห็นหู่โถวนั่งขัดสมาธิ แล้วเริ่มหลับตาท่องบทสวดมนต์ มั่วชิงเฉินหันไปอีกทาง เหม่อมองไออากาศสีม่วงอมเขียวที่ล่องลอยพัดไหว หัวใจกลับตึงเครียดมาตลอด

 

 

เชื่อมั่นในความสามารถของเขาถือเป็นเรื่องหนึ่ง แต่ความกังวลที่ไม่อาจหยุดยั้งก็ถือเป็นอีกเรื่องหนึ่ง

 

 

โชคดีที่มั่วชิงเฉินไม่ได้ลังเลอยู่นานเกินไป เพราะเสียงกระดิ่งที่ยิ่งดังก้องขึ้นเรื่อยๆ จากกระดิ่งดอกไม้ในมือดอกนั้น ร่างเงาของคนผู้หนึ่งเริ่มปรากฏขึ้นให้เห็นกลางไออากาศสีม่วงอมเขียว

 

 

คนผู้นั้นเห็นชัดว่าเดินค่อนข้างช้า แต่ร่างกายยังคงผ่าเผยเป็นสง่า ในวินาทีที่เห็นมั่วชิงเฉินริมฝีปากก็ยกขึ้นมาอย่างห้ามไม่ได้ ปรากฏรอยยิ้มบางให้ได้เห็น ใบหน้าที่แต่เดิมเย็นชากลับกลายเป็นเหมือนลมฤดูใบไม้ผลิพัดเข้าหา หลอมละลายกลายเป็นน้ำใสบริสุทธิ์

 

 

มั่วชิงเฉินรีบลุกเดินขึ้นไปรับ ตะโกนอย่างดีใจ “ศิษย์พี่”

 

 

จากนั้นสายตาก็ทอดมองลงไป เห็นว่าบริเวณหน้าอกของเขาเปียกชื้น มีเลือดซึมออกมา สีหน้าเปลี่ยนไปเล็กน้อย “ศิษย์พี่ ท่านได้รับบาดเจ็บหรือ”

 

 

ในมือของเยี่ยเทียนหยวนถือไม้เท้าสีเขียวหยกโปร่งแสงเอาไว้อันหนึ่ง บริเวณปลายยอดแกะสลักหัวมังกรที่สมจริงสมจังราวกับของจริง หัวมังกรอ้าปาก ในปากยังฝังไข่มุกขนาดเท่าลูกตามังกรเอาไว้เม็ดหนึ่ง

 

 

ไข่มุกเม็ดนั้นส่องแสงเป็นประกายสีม่วง ไออากาศสีม่วงอมเขียวไหลเข้าไปในไข่มุกด้วยความเร็วที่ตามองเห็น จากนั้นก็กลายเป็นไออากาศสีขาวกลุ่มหนึ่งไหลผ่านออกมาจากบริเวณท่อนปลายของไม้เท้า

 

 

และเยี่ยเทียนหยวนก็เดินผ่านเข้ามาในอุโมงค์ที่เกิดจากไม้เท้าดูดซับไออากาศสีม่วงอมเขียวไหลแล้วพ่นออกมาเป็นควันสีขาว

 

 

เห็นมั่วชิงเฉินเดินขึ้นมารับ เขาเก็บไม้เท้าในมือ แล้วยื่นมือออกไปจับมือของนางเอาไว้อย่างเป็นธรรมชาติ หัวเราะเสียงเบา “ศิษย์น้อง ข้ากลับมาแล้ว”

 

 

มั่วชิงเฉินขมวดคิ้ว “ท่านยังจะยิ้ม ศิษย์พี่ อาการบาดเจ็บของท่านเป็นอย่างไรบ้าง เหตุใดถึงมีเลือดไหลด้วย”

 

 

เยี่ยเทียนหยวนกดบาดแผลเอาไว้ เสียงแม้จะเรียบเย็นแต่กลับแฝงอาการขำขันเอาไว้ “ศิษย์น้อง ข้าไม่ได้เป็นอะไร เพียงแค่บาดเจ็บภายนอกเล็กน้อยเท่านั้น ทายาก็หายแล้ว”

 

 

มั่วชิงเฉินรีบเอายาทาอวี้หลงออกมา ยื่นมือออกไปปลดคอเสื้อของเยี่ยเทียนหยวน

 

 

เยี่ยเทียนหยวนตะลึงงัน แต่กลับไม่ขยับเขยื้อน ปล่อยให้มั่วชิงเฉินปลดคอเสื้อของเขาเบาๆ ตามใจชอบ เผยผิวเนื้อดุจหยกขาวให้ได้เห็น

 

 

บาดแผลของเขาอยู่บริเวณหน้าอกขวาล่าง สายตาของมั่วชิงเฉินทอดมองลงตรงนั้นก็ได้เห็นวงกลมสีแดงเล็กที่นูนขึ้นมา มีขนาดเพียงเท่าเม็ดข้าวเท่านั้น แต่กลับทำให้ใบหน้าของนางแดงขึ้นในทันใด

 

 

‘มั่วชิงเฉิน เจ้ากลายเป็นหญิงลามกตั้งแต่เมื่อไร’

 

 

ลอบด่าตัวเองอยู่ในใจ มั่วชิงเฉินรีบย้ายสายตาออกไปที่อื่น ยื่นมือออกไปอย่างร้อนลน ใช้ปลายนิ้วปาดยาทาอวี้หลงทาลงไปบนบาดแผลของเขา

 

 

เยี่ยเทียนหยวนนิ่งเงียบไม่ส่งเสียงอยู่ตลอด แต่สายตากลับจับจ้องใบหน้ามั่วชิงเฉิน

 

 

“ศิษย์พี่ ท่าน…”

 

 

เสียงเพิ่งจบลงร่างกายก็ตกอยู่ในอ้อมกอดแสนอบอุ่น เสียงทุ้มต่ำนิ่งเย็นลอยมาจากข้างบน “ศิษย์น้อง ข้ากลัวว่าจะหาเจ้าไม่พบ”

 

 

ร่างของมั่วชิงเฉินที่แข็งค้างกลายเป็นผ่อนคลาย พูดเสียงเบาจนแทบไม่ได้ยิน “จะเป็นไปได้อย่างไร”

 

 

แต่มือทั้งสองข้างกลับกอดนางแน่นกว่าเดิม จนสามารถฝั่งเสียงหัวใจเต้นดุจสายฟ้าของอีกฝ่ายได้

 

 

“แค่กๆ ชิงเฉิน” จู่ๆ ก็มีเสียงลอยมาจากด้านหลัง

 

 

มั่วชิงเฉินรู้สึกเลือดพุ่งขึ้นสูงในทันใด ดิ้นหนีออกจากอ้อมกอดเยี่ยเทียนหยวน

 

 

เยี่ยเทียนหยวนเก็บรอยยิ้มขำขันของตน มองไปยังทิศทางที่เสียงดังมา

 

 

เขาเพิ่งมาก็เห็นว่ามีนักบวชรูปหนึ่งกำลังหลับตาท่องบทสวดมนต์อยู่บริเวณมุมทางเหมือนกำลังบำเพ็ญตบะอยู่ เห็นว่ามั่วชิงเฉินนั่งเคียงบ่าอยู่กับเขา คาดเดาว่าน่าจะเป็นเพื่อนที่รู้จักใหม่จึงไม่ได้ใส่ใจเท่าไรนัก หลังจากนั้นตอนที่พูดคุยกับชิงเฉินด้วยความปั่นป่วนในใจถึงได้ลืมการมีตัวตนของนักบวช

 

 

‘เขา กล้าเรียกชื่อของศิษย์น้อง’

 

 

ดวงตาเยี่ยเทียนหยวนแลดูลึกล้ำ พลางขมวดคิ้วตามสัญชาตญาณ

 

 

มั่วชิงเฉินนึกประหม่า สีแดงหน้าระเรื่อกันไปพูดกับหู่โถวว่า “หู่โถว นี่คือศิษย์พี่ลั่วหยาง”

 

 

จากนั้นก็หันกลับมา “ศิษย์พี่ นี่คือหู่โถว ญาติผู้น้องของข้า”

 

 

“ญาติผู้น้องของเจ้า?” ในแววตาของเยี่ยเทียนมีความตื่นตกใจแฝงให้เห็น

 

 

มั่วชิงเฉินรีบเล่าเรื่องราวทั้งหมดที่เกิดขึ้นในหลายวันมานี้อีกครั้งหนึ่ง รวมไปถึงการบังเอิญพบกันของนางและหู่โถว

 

 

ได้ยินว่ามั่วชิงเฉินใช้แผนการฆ่ากำจัดฝ่ายตรงข้ามไปสี่คน แล้วหนึ่งในนั้นยังมีนักบำเพ็ญระดับก่อแก่นปราณชั้นปลาย เยี่ยเทียนหยวนฟังแล้วรู้สึกหวาดกลัวขึ้นในทันใด หากว่าศิษย์น้องคิดไม่ถึงแผนการนี้ นั่นไม่ใช่ว่า…

 

 

เก็บความรู้สึกไม่พอใจลงไป เห็นหู่โถวมองมาด้วยสายตาสอดส่อง จู่ๆ เยี่ยเทียนหยวนก็รู้สึกไม่เป็นตัวของตัวเองขึ้นมา

 

 

น้อยครั้งที่เขาจะใส่ใจความรู้สึกของคนที่ไม่เกี่ยวกับตนเอง แต่คนที่อยู่ตรงหน้าผู้นี้เป็นญาติผู้น้องของศิษย์น้อง กลับไม่รู้ว่าจะต้องผูกสัมพันธ์เช่นไร

 

 

มั่วชิงเฉินเห็นหู่โถวพิจารณามองเยี่ยเทียนหยวนด้วยความแปลกใจ เยี่ยเทียนหยวนสีหน้านิ่งเกร็ง นิ่งเงียบไม่พูดอยู่นาน รู้สึกว่าสถานการณ์ออกจะน่าอึดอัดอยู่บ้าง จึงได้เอ่ยพูดทำลายความเงียบ “ศิษย์พี่ ท่านเองได้พบกับนักบำเพ็ญระดับก่อแก่นปราณชั้นปลายผู้นั้นแล้วใช่หรือไม่”

 

 

เยี่ยเทียนหยวนลอบผ่อนลมหายใจ ตอบว่า “อืม นอกจากนักบำเพ็ญระดับก่อแก่นปราณชั้นปลายยังมีนักบำเพ็ญระดับก่อแก่นปราณชั้นต้นอีกคนหนึ่ง ตอนที่ข้าใกล้จะถึงก้นผาแล้วรู้สึกถึงความเคลื่อนไหวผิดปกติจึงได้กักเก็บลมหายใจ ได้ยินบทสนทนาของทั้งสองคน นักบำเพ็ญระดับก่อแก่นปราณชั้นปลายพูดว่ามีไม้เท้ากลืนมังกรอันนี้ก็จะสามารถเข้ามาในเขตรอบนอกของพื้นที่หุบเขามังกรเพื่อฆ่านักบวชผู้นี้กับเจ้าเด็กบ้า แก้แค้นให้กับพี่น้องที่ตายไป ข้าลองคาดเดาว่าเจ้าเด็กบ้าที่พวกเขาพูดถึงจะต้องเป็นศิษย์น้องเจ้าอย่างแน่นอน ถึงได้ลงมือก่อนเพื่อที่จะได้เปรียบ กำจัดฆ่านักบำเพ็ญระดับก่อแก่นปราณชั้นต้นผู้นั้น จากนั้นก็สู้กับนักบำเพ็ญระดับก่อแก่นปราณชั้นปลายอีกรอบหนึ่ง ได้ไม้เท้ากลืนมังกรนี้มาแล้วจึงเข้ามาตามหาศิษย์น้อง”

 

 

มั่วชิงเฉินถอนหายใจ “ศิษย์พี่ ท่านช่างเสี่ยงอันตรายนัก”

 

 

เยี่ยเทียนหยวนกลืนไม่เข้าคายไม่ออกในทันใด “ศิษย์น้อง ข้าเพียงแต่ฆ่านักบำเพ็ญระดับก่อแก่นปราณชั้นต้นหนึ่งคนและนักบำเพ็ญระดับก่อแก่นปราณชั้นปลายหนึ่งคนเท่านั้น แต่เจ้าฆ่าไปถึงสี่คน ใครกันแน่ที่เสี่ยงอันตราย”

 

 

มั่วชิงเฉินขยับปาก สุดท้ายก็ถลึงตาทองเขาทีหนึ่ง พูดว่า “ศิษย์พี่ วัตถุดิบที่จะเอามาหลอมร่มไร้วังกลหาพบแล้วหรือไม่”

 

 

เยี่ยเทียนหยวนขมวดคิ้ว “หาพบแล้ว รออาการบาดเจ็บข้าหายดีก็จะเริ่มหลอมร่มไร้กังวล เพียงแต่ขั้นตอนการหลอมประดิษฐ์ร่มไร้กังวลซับซ้อนเป็นอย่างมาก เกรงว่าอย่างน้อยต้องใช้เวลากว่าครึ่งปี”

 

 

เพราะเหตุนี้วันเวลาต่อจากนั้นเยี่ยเทียนหยวนและมั่วชิงเฉินล้วนรักษาอาการบาดเจ็บ และหู่โถวกลับบำเพ็ญตบะ

 

 

ผ่านไปสามวัน อาการบาดเจ็บของเยี่ยเทียนหยวนดีขึ้น เอ่ยลามั่วชิงเฉินและหู่โถว เลือกพื้นที่มุมอับที่หนึ่งตั้งค่ายกลป้องกันเริ่มหลอมประดิษฐ์ร่มไร้กังวล

 

 

อาการบาดเจ็บของมั่วชิงเฉินก็เริ่มดีขึ้น ช่วงระยะแรกนางทำตัวเหมือนหู่โถว เก็บตัวอยู่ในบริเวณพื้นที่ว่างฝึกบำเพ็ญตบะอย่างว่าง่าย แต่หลังจากนั้นไม่กี่วันยามที่บังเอิญหยิบไม้เท้ากลืนมังกรที่เยี่ยเทียนหยวนมอบให้นางขึ้นมาโดยมิได้ตั้งใจจู่ๆ ก็รู้สึกว่าจิตใจเปิดกว้าง มีความคิดฉลาดขึ้น มือถือไม้เท้ากลืนมังกรเดินเข้าไปกลางไออากาศสีม่วงอมเขียวที่อยู่ใกล้ๆ

 

 

“ชิงเฉิน เจ้าจะทำอะไร” หู่โถวถามอย่างงุนงง

 

 

มั่วชิงเฉินยิ้มพลางพูดว่า “ข้าเพียงแต่ฉุกคิดได้กะทันหันหากว่าฝึกบำเพ็ญเพียรท่ามกลางไออากาศสีม่วงอมเขียว เจ้าว่าจะมีผลลัพธ์อย่างไร”

 

 

หู่โถวชี้ไปยังไออากาศสีม่วงอมเขียว “ในนั้นสามารถฝึกบำเพ็ญเพียรได้หรือ”

 

 

มั่วชิงเฉินยกไม้เท้ากลืนมังกรในมือให้ดู “มีสิ่งนี้ บางทีอาจจะลองดูได้”

 

 

ตั้งแต่ที่เข้ามาก้นเหว นางก็รู้สึกว่าฝึกบำเพ็ญเพียรในที่แห่งนี้เปลืองแรงน้อยแต่ได้ผลมาก หากว่ากลางไออากาศสีม่วงอมเขียวนี้ก็สามารถฝึกบำเพ็ญเพียรได้ ความเร็วของตบะบำเพ็ญจะยิ่งเร็วขึ้นมิใช่หรือ

 

 

คิดได้ก็ต้องทำ มั่วชิงเฉินขับถ่ายพลังวิญญาณขับเร่งไม้เท้ากลืนมังกรไปพลาง พลางตั้งสมาธิทุ่มเทสติเริ่มฝึกบำเพ็ญเพียร

 

 

การลองครั้งนี้ทำให้นางต้องตกใจในทันใด ไม่ผิดจากที่คาดไว้ ท่ามกลางไออากาศสีม่วงอมเขียวนี้ฝึกบำเพ็ญเพียรเร็วกว่าบริเวณพื้นที่ว่างอยู่มาก

 

 

เมื่อเป็นเช่นนี้กลางไออากาศสีม่วงอมเขียวจึงเป็นสานที่ที่มั่วชิงเฉินใช้เวลาส่วนมากอยู่ในนั้น มีเพียงยามที่เรี่ยวแรงไม่มากพอถึงได้เข้าไปในบริเวณพื้นที่ว่างพูดคุยกับหู่โถว

 

 

วันนี้ยามที่ทั้งสองคนพูดคุยกันอยู่นั้น จู่ๆ หู่โถวก็ตบหน้าผากตนเอง “ชิงเฉิน ข้าลืมบอกเจ้าเรื่องหนึ่ง”

 

 

“เรื่องอะไรหรือ”

 

 

“เจ้ายังจำได้หรือไม่ว่าในตระกูลมีท่านปู่สี่อยู่ท่านหนึ่ง ได้ยินว่าออกไปท่องพเนจรนานมาแล้ว ไม่มีใครได้ยินข่าวคราวอีก” หู่โถวพูด

 

 

มั่วชิงเฉินปรับเปลี่ยนสีหน้า “ข้าเคยได้ยินท่านปู่พูดถึง เหตุใดหรือ หรือว่าเจ้าบังเอิญพบท่านปู่สี่”

 

 

หู่โถวส่ายหน้า “ไม่ใช่ แต่ข้าได้ช่วยคนผู้หนึ่ง หลังจากนั้นถึงได้บังเอิญทราบว่าเขาเป็นลูกศิษย์สายตรงของท่านปู่สี่”

 

 

“แล้วท่านปู่สี่เล่า?” ท่านปู่สี่ผู้นี้แม้จะไม่เคยพบเจอหน้ามาก่อน แต่ก็ยังถือว่าเป็นผู้อาวุโสท่านเดียวในยุคมั่วต้าเหนียน

 

 

หู่โถวถอนหายใจพูดว่า “คนผู้นั้นไม่รู้ว่าท่านปู่สี่ไปที่ใด รู้เพียงแต่ท่านปู่สี่เป็นนักบำเพ็ญเพียรไร้สำนัก ท่องพเนจรไปทั่ว แม้แต่ระดับการบำเพ็ญเพียรของท่านปู่สี่เขาเองก็ยังจำไม่ได้แน่ชัด”

 

 

มั่วชิงเฉินเม้มปาก “ข้าคิดว่าท่านปู่สี่น่าจะเป็นระดับก่อแก่นปราณชั้นปลายกระมัง เขาอายุเยอะกว่าท่านปู่เล็กน้อย ตอนนี้มาคิดดูแล้วก็ยังไม่ถึงสองร้อยปี เกรงว่าไม่น่าจะใช่ระดับก่อกำเนิด”

 

 

“อืม ข้าเองก็คิดเช่นนั้น ชิงเฉิน แม้พวกเราจะไม่ได้พบท่านปู่สี่ แต่รู้ว่ายังมีญาติมีชีวิตอยู่ก็รู้สึกอารมณ์ดีขึ้นมานัก” หู่โถวยิ้มแย้มพูดขึ้นมา

 

 

บทสนทนานี้เป็นเพียงเรื่องคั่นกลางเท่านั้น ด้วยการบำเพ็ญเพียรทุกวันซ้ำๆ กันไป เวลากว่าครึ่งปีก็ผ่านไป ในที่สุดเยี่ยเทียนหยวนก็ออกจากการเก็บตัว