บทที่ 205 เจ้าอย่าได้ทำให้ลำบากใจ

ยอดชายากับองค์หนูน้อยแห่งจวนอ๋องอี้

ยอดชายากับองค์หนูน้อยแห่งจวนอ๋องอี้ บทที่ 205 เจ้าอย่าได้ทำให้ลำบากใจ

หนานหว่านเยียนยังมิทันกล่าวสิ่งใด ดวงตาของกู้โม่หานก็หรี่ลงมองมา ราวกับสามารถมองทะลุผ่านหัวใจของนาง

“ทางที่ดี เจ้าอย่าทำให้คนอื่นต้องลำบากใจ จะให้ข้าหย่ากับเจ้าตอนนี้ข้าทำมิได้”

หนานหว่านเยียนอ้าปากเล็กน้อย คิดมิถึงว่ากู้โม่หานจะเดาออกถึงความคิดนาง

แต่นางมิได้ต้องการทำเพื่อสิ่งนี้

“ข้าต้องการสิทธิในการดูแลจวนอ๋อง และยินยอมให้ข้ารับท่านน้ากลับไปที่จวนอ๋อง ให้เขาอยู่ที่เรือนเซียงหลิน”

เรื่องการหย่าร้าง นางมิอยากจะกล่าวขึ้นมาอีก เนื่องจากกล่าวไปก็ไร้ประโยชน์ ทั้งยังน่ารำคาญใจ การทำให้กู้โม่หานโมโหสำหรับนางแล้วมิมีข้อดีเลย

แต่นางก็จำเป็นจะต้องทำให้กู้โม่หานรับรู้ว่านางเองก็มีคมเล็บเช่นกัน

ตราบใดที่นางยังมีชีวิตอยู่ หยุนอี่ว์โหรวก็เป็นได้เพียงแค่นางบำเรอ ในฐานะพระชายารอง ควรทำในสิ่งที่นางควรทำ อย่าคิดหลงผิดอวดดี

อีกอย่าง บัดนี้ร่างกายของท่านน้าพักฟื้นพอประมาณแล้ว พร้อมที่จะได้รับการผ่าตัด

ท่านน้าจะต้องดีขึ้นเสียก่อน จึงจะเดินทางจากไปพร้อมกับพวกนางได้

“เจ้าต้องการอำนาจจัดการจวนอ๋องหรือ?” กู้โม่หานรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย เขามองไปยังใบหน้าอันสวยงามของหนานหว่านเยียน

“การที่เจ้าต้องการอำนาจนี้เป็น เพราะข้ามอบมันให้แก่ชื่อเล่นตัวร้ายหรือ และทำให้เจ้ารู้สึกขุ่นเคืองใจ?”

หนานหว่านเยียนให้ความสนใจกับเรื่องนี้มากเชียว?

หนานหว่านเยียนหัวเราะอย่างเยือกเย็น การที่นางต้องการอำนาจดูแลจวน เป็นเพราะนางจำเป็น มิได้เกี่ยวข้องอะไรกับหยุนอี่ว์โหรวผู้อ่อนแอบอบบางนั้นเลย

แต่หนานหว่านเยียนมิจำเป็นต้องแสดงความคิดเห็นของนางออกมาอย่างชัดเจน จึงกล่าวเพียงว่า

“ข้ามิชื่นชอบที่เห็นนาง นางมิคู่ควรกับอำนาจยิ่งใหญ่ เอาแต่ร้องไห้ร้องห่มน่ารำคาญ นอกจากพึ่งพาบุรุษแล้วนางทำอะไรมิเป็นเลย แล้วเอาอำนาจใดมาปกครองจวน เจ้าบอกมาว่าจะให้หรือไม่ เพราะถึงอย่างไรเสด็จแม่ของเจ้าก็ยังคงอยู่ในช่วงลำบาก รอให้ข้าช่วยเหลือ”

แววตาของกู้โม่หานเผยความหมายอันลึกล้ำ เขาคิดว่าเขาสามารถเดาออกถึงความคิดหนานหว่านเยียน

คิดว่านางให้ความสำคัญกับเขา จึงต้องการเผชิญหน้าต่อสู้กับหยุนอี่ว์โหรว หากนางมิสนใจเขา เหตุใดจึงต้องใส่ใจเรื่องเล็กน้อยเหล่านี้

“ย่อมได้ เพียงแค่เจ้าสามารถช่วยเสด็จแม่ อำนาจการปกครองจวน ข้าจะให้อี่ว์โหรวมอบคืนให้เจ้า แต่อี่ว์โหรวก็มิได้อ่อนแออย่างเช่นที่เจ้ากล่าวมา นางเป็นผู้มีพระคุณของข้า”

หนานหว่านเยียนคิดมิถึงว่าเขาจะตอบรับอย่างตรงไปตรงมาเช่นนี้ นางเลิกคิ้วขึ้นมิอยากจะไปสนใจผู้ที่มีพฤติกรรมสองมาตรฐานต่อผู้มีพระคุณของเขา “แล้วท่านน้า……”

กู้โม่หานกล่าวขึ้นขัดจังหวะด้วยน้ำเสียงเย็น “โม่หวิ่นหมิงมิได้!”

เขาจะมิยอมให้ข้างกายของหนานหว่านเยียนมีชายใดเพิ่มขึ้นมาอย่างแน่นอน

อีกอย่าง โม่หวิ่นหมิงมิได้มีความสัมพันธ์ทางสายเลือดกับหนานหว่านเยียน ภูมิหลังของเขาช่างน่าสงสัย

ยิ่งไปกว่านั้น ช่วงอายุของทั้งสองคนใกล้เคียงกัน มิมีเหตุผลอื่นใด เขาเพียงมิพอใจทุกครั้งที่เห็นท่าทางมิเห็นแก่หน้าใครเช่นนั้นของโม่หวิ่นหมิง

เดิมทีหนานหว่านเยียนคิดว่ากู้โม่หานจะปฏิเสธคำขอที่นางจะเป็นผู้ดูแลจวน คาดมิถึงว่าเขาจะปฏิเสธมิให้นางพาโม่หวิ่นหมิงกลับมาในจวน

นางขมวดคิ้วน้ำเสียงหนักแน่น

“เงื่อนไขทั้งสองข้อ เจ้าจำเป็นต้องตอบรับ หากเจ้ามิยินยอม ข้าก็มิลงมือรักษา”

“เดิมทีเรื่องนี้ก็เป็นเรื่องที่จัดการได้ยาก ข้าเพียงไปสารภาพขอรับโทษจากท่านพ่อ อย่างมากสุดข้าก็เพียงแค่ถูกตำหนิ”

“แต่ชีวิตของเสด็จแม่บัดนี้แขวนอยู่บนเส้นด้าย หากรอต่อไปละก็เสมหะจะมากขึ้น ความร้อนจะสะสม เจ้ามิมีเวลามากไปกว่านี้แล้ว กู้โม่หาน”

ใบหน้าอันหล่อเหลาของกู้โม่หานแสดงสีหน้าเปลี่ยนไปเล็กน้อย เขามองไปทางหยีเฟยที่นอนหน้าซีดเซียวอยู่บนเตียง นิ้วมือของเขากำแน่น เสียงของกระดูกดังขึ้น

ในที่สุดเขาก็จำเป็นต้องกัดฟันตอบว่า “ตกลง ข้าให้สัญญากับเจ้า”

“หนานหว่านเยียน เจ้ามิเปลี่ยนไปเลยจริงๆ เจ้าวางแผนเก่ง รู้วิธีใช้จุดอ่อนของคนอื่นมาข่มขู่”

หนานหว่านเยียนเม้มริมฝีปากขึ้นเผยอยิ้ม “ตามแต่เจ้าจะกล่าว ข้าจะช่วยชีวิตผู้ป่วยแล้ว จงออกไปเถอะ”

นางมิสนใจว่ากู้โม่หานจะกล่าวเช่นไร ต่อให้นางมิเอ่ยเรื่องเหล่านี้ ในใจของกู้โม่หานนางก็เป็นคนเลวอยู่ดี แต่บัดนี้นางมีอำนาจในการดูแลจวนแล้ว เรื่องของท่านน้าก็มิจำเป็นต้องกังวลใจ

ตอนนี้นางเพียงต้องครุ่นคิดว่าจะช่วยหยีเฟยเช่นไรดี

เพราะนางเป็นคนป่วย บัดนี้เมื่อตนเสนอตัวออกมาช่วยเหลือก็จะเพิกเฉยมิได้

เมื่อหนานหว่านเยียนแน่ใจว่ามิมีใครอยู่ที่นั่นแล้ว ก็ได้เปิดมิติออก หยิบหน้ากากอนามัยและถุงมือออกมาสวม

สถานการณ์ของหยีเฟยบัดนี้ตกอยู่ในอันตราย เมื่อครู่นางเสียเวลาไปมากแล้ว บัดนี้นางมิกล้าที่จะเสียเวลาอีกแม้แต่วินาทีเดียว นางอุ้มหยีเฟยเข้าไปในห้วงมิติ

นางเปิดดูเปลือกตาของหยีเฟย แววตาอันประหลาดใจเผยขึ้นในดวงตาของนาง

ดูเหมือนเป็นเพราะหยีเฟยนอนติดเตียงอยู่เป็นเวลาเนิ่นนาน สภาพของหยีเฟยในตอนนี้ไร้ซึ่งชีวิตชีวา กำลังจะเข้าสู่ภาวะใกล้ตาย

โรคปอดบวมมักจะเกิดขึ้นกับคนกลุ่มนี้ ตามปกติคงมิมีใครกล้าพลิกตัวนางและลูบหลังนาง

เสมหะในปอดของหยีเฟยสะสมเป็นจำนวนมาก หากสูดดมออกซิเจนเข้าไปมาก อาจทำให้อันตรายถึงชีวิตได้

หนานหว่านเยียนตัดสินใจอย่างเด็ดขาด นางจับส่วนไหล่ข้างบนและด้านหลังของหยีเฟย พลิกตัวให้นอนอยู่ในลักษณะเอนศีรษะ เพื่อป้องกันมิให้ขาดออกซิเจน

จากนั้น หนานหว่านเยียนก็ยกกำปั้นขึ้นทุบไปที่หลังของนางเบาๆ เคาะจากบนลงล่าง ด้านในสู่ด้านนอก

แต่มิว่านางจะทำเช่นนี้อยู่อีกกี่หน หยีเฟยก็มิขับเสมหะออกมามากนัก

หนานหว่านเยียนตระหนักได้ทันทีว่าสถานการณ์เกินกว่าที่นางคิดเอาไว้ จึงหยุดใช้วิธีเดิมนี้แล้วพลิกตัวของหยีเฟยอีกครั้งหนึ่ง

หน้าผากของหนานหว่านเยียนปกคลุมไปด้วยเม็ดเหงื่อ มุมปากเม้มแน่น ดวงตาจ้องมองไปอย่างเย็นชา

นางรู้ดีว่าหากเกิดข้อผิดพลาดขึ้น หยีเฟยสิ้นใจไป นางก็มิอาจมีชีวิตอยู่รอด

บัดนี้หนานหว่านเยียนมิสามารถถ่ายเอกซเรย์ได้และมิสามารถทำctให้หยีเฟยได้ มองมิเห็นว่าปอดของนางเจ็บป่วยเช่นไร จึงทำได้เพียงใช้ยาแผนจีนโบราณซึ่งปลอดภัยในการขับเสมหะ

หนานหว่านเยียนบีบคางของหยีเฟยสังเกตดูลิ้นของนาง ลิ้นสีแดงและมีคราบเหลือง เห็นได้ชัดว่าบัดนี้ความร้อนมีมิได้มากจนเกินไป

เมื่อนางจับชีพจรดูอีกครั้ง ชีพจรเต้นอย่างราบรื่น เป็นไปดังที่นางคาดคิด

หนานหว่านเยียนช่วยพยุงให้หยีเฟยลุกขึ้นนั่ง นำยาจีนโบราณต่างๆ เพื่อใช้ล้างปอดและระบายความร้อนใส่ลงในถ้วยแล้วบด ปั้นเป็นยาเม็ด

วันนี้นางมิมีเวลาพอที่จะไปปรุงยา นางจึงใส่ยาเม็ดลงไปในน้ำ ผสมน้ำอุ่นให้กับหยีเฟยกินเข้าไป เป็นวิธีที่รวดเร็วที่สุด

หลังจากที่นางเทอย่าหลงไปในปากของหยีเฟยแล้ว หนานหว่านเยียนก็เดินไปที่ด้านหลัง เอานิ้วแตะไปบริเวณปอดแล้วกดลงไปด้วยแรงอย่างชำนาญ

หลังจากนั้นมินาน นางก็เหลือบเห็นเสมหะข้นไหลออกมาจากมุมปากของหยีเฟย

การที่นางสามารถคายเสมหะออกมาได้เป็นเรื่องดี พิสูจน์ได้ว่าโรคนี้ยังมิได้เข้าไปถึงกระดูกจนมิอาจรักษาได้

แต่เสมหะของหยีเฟยดูจากสีแล้วคาดว่าคงจะติดโรคจากเชื้อไวรัส การรักษาคงต้องใช้เวลานาน

หนานหว่านเยียนทำการล้างขับเสมหะให้แก่หยีเฟยอีกสองสามครั้ง เช็ดไปที่มุมปากให้สะอาดก่อนจะพยุงนางให้นอนลง

คาดว่าหยีเฟยคงต้องใช้เวลาอีกสักพักในการรอให้ไข้ทุเลา บัดนี้นางทำได้เพียงให้ยาอะม็อกซีซิลลิน เพื่อให้อาการอักเสบคงที่ จากนั้นจึงค่อยให้น้ำเกลือเสริมสร้างสารอาหาร

เมื่ออาการอักเสบทุเลาลง ชีวิตก็สามารถรักษาไว้ได้ มิเช่นนั้นหากไข้ยังคงสูงต่อไป มิว่าจะเป็นยุคสมัยใด โรคอื่นๆ ก็จะตามมา ท้ายที่สุดแล้วก็อาจจะฆ่าเอาชีวิตไป

หัวใจของหนานหว่านเยียนชัดเจนดุจดั่งกระจกเงา หลังจากสิ้นสุดการช่วยเหลือเหล่านี้แล้ว นางมิรู้ว่าเสียด้วยซ้ำว่าเป็นเวลาค่ำ

นางส่งตัวหยีเฟยออกจากมิติแล้ววางเอาไว้บนเตียง ในมือยังมีเข็มและน้ำเกลือหนึ่งถุง พร้อมยาปฏิชีวนะอีกหนึ่งถุงรอฉีดเข้าไป

หลังจากผ่านการรักษามาช่วงเวลาหนึ่ง เรี่ยวแรงของนางก็ผูกเผาผลาญจนเหนื่อยล้า หัวคิ้วของหนานหว่านเยียนเผยให้เห็นถึงความหมดแรง นางถอดหน้ากากออกแล้วเปิดประตูเดินออกไป

ที่ด้านนอกตำหนัก พบว่าฮ่องเต้และคนอื่นๆ ยังคงรออยู่ที่เดิม

หนานหว่านเยียนดูประหลาดใจเล็กน้อย

เดิมทีนางคิดว่าจะเหลือเพียงแค่หมัวมัวและกู้โม่หาน

กู้โม่หานหันหลังกลับมา ใบหน้าอันหล่อเหลาของเขามิมีการแสดงออกใด แววความตึงเครียดซ่อนเร้นอยู่ในดวงตาคู่นั้น

สายตาของชายหนุ่มเหลือบมองไปยังมือของหนานหว่านเยียน พบว่ามือขาวผ่องของนางมีรอยแดงอยู่บ้างเล็กน้อย เนื่องจากการตำยา

เขาขมวดคิ้วด้วยความสงสัย……