ตอนที่ 292 คิดบัญชี

พลิกชะตาชายาสยบแค้น

ตอนที่ 292 คิดบัญชี

“สาวน้อย ค่ายกลของเจ้ายังมิปรับปรุงอีกหรือ”

ร่างของไป๋หลี่เฉินปรากฏขึ้นพร้อมรอยยิ้มสะกดใจผู้คนเช่นเคย นัยน์ตาคู่นั้นมีเสน่ห์เย้ายวน มุมปากโค้งขึ้นอย่างมีเลศนัย เพียงแค่มองปราดเดียวก็ทำให้หัวใจของปี้จูเต้นระรัวทันที

บุรุษผู้นี้เป็นใคร ? เหตุใดจึงมีใบหน้าหล่อเหลาเช่นเดียวกับมู่ซื่อจือ

แต่ปี้จูมิได้หลงมัวเมาไปกับเสน่ห์นั้น นางฉุกคิดได้ว่าคนผู้นี้ปรากฏกายขึ้นในเรือนของอันหลิงเกออย่างกะทันหันย่อมมิใช่มิตร นางจึงตัดสินใจเข้าไปยืนขวางด้านหน้าของอันหลิงเกอไว้ทันที

“เจ้าเป็นใคร มาที่นี่ด้วยเหตุอันใด ? ”

ปี้จูเชิดคางแล้วเอ่ยถาม พยายามทำท่าทางวางอำนาจ แต่ใบหน้ากลมที่แสนน่ารักเมื่อรวมเข้ากับดวงตากลมโตสุกสกาวมิได้น่ากลัวแม้แต่น้อย

ไป๋หลี่เฉินหันไปมองนางแล้วอดหัวเราะออกมามิได้ จากนั้นเขาก็หันไปทางอันหลิงเกอ “สาวใช้ของเจ้าช่างซื่อสัตย์ยิ่งนัก”

อันหลิงเกอเพียงเลิกคิ้วขึ้นแต่มิได้กล่าวสิ่งใดออกมา เพียงมองเขานิ่ง ๆ เท่านั้น

บางทีอาจเพราะบทเรียนจากครั้งก่อนจึงทำให้ครั้งนี้ไป๋หลี่เฉินมิกล้าขยับตัวมากนัก

เขามองอันหลิงเกออยู่ครู่ใหญ่ เมื่อเห็นว่าอันหลิงเกอมิมีทีท่าจักลงมือจึงค่อย ๆ ก้าวเท้าเข้าไปหา

ทันใดนั้นในอากาศก็เกิดเสียงคล้ายบางสิ่งพุ่งแหวกเข้ามาอย่างรวดเร็ว มันคือเสียงธนูลับเหมือนครั้งก่อนนั่นเอง

ไป๋หลี่เฉินที่มีประสบการณ์แล้วจึงดีดตัวขึ้นโดยไร้อาการตื่นตระหนก ชุดคลุมสีขาวโบกพลิ้วอยู่กลางอากาศ ท่วงท่าเต็มไปด้วยความสง่างาม

ผ่านไปครู่หนึ่งเขาก็ลงมายืนบนพื้น รอบกายของเขาจึงเต็มไปด้วยลูกธนูตกอยู่ แต่เขามิมีเหงื่อแม้แต่หยดเดียวอีกทั้งเสื้อผ้ายังไร้รอยขีดข่วน

อันหลิงเกอจึงกล่าวขึ้นว่า “คนบ้ากาม ครั้งก่อนเจ้าถูกส่งให้ทางราชการยังมิเข็ดอีกหรือ อยากลองดีอีกใช่หรือไม่ ? ”

“ข้ามิโง่จนทำพลาดเป็นครั้งที่สองหรอก”

ไป๋หลี่เฉินส่ายหน้าเสร็จก็เดินเข้าหาอันหลิงเกอ

ใบหน้ากลมป้อมของปี้จูตึงขึ้นทันที นางรีบขยับให้อันหลิงเกอไปอยู่ด้านหลังพลางจ้องมองคนที่ค่อย ๆ ก้าวเข้ามาใกล้อย่างระแวดระวัง

ท่าทางดุดันของปี้จูราวกับบอกว่าหากไป๋หลี่เฉินต้องการทำร้ายอันหลิงเกอ นางก็พร้อมพุ่งตัวไปกัดไป๋หลี่เฉินได้ทุกเมื่อ

“ปี้จู ข้ามิเป็นไร”

อันหลิงเกอกล่าวพร้อมตบลงที่บ่าของปี้จูเบา ๆ มุมปากของนางโค้งขึ้น “ท่านนี้คือแขกขององค์รัชทายาท”

โอ้ สาวน้อยผู้นี้ก็รู้ว่ารัชทายาทเชิญเขามา

แต่ครั้งก่อนนางยังพูดเต็มปากเต็มคำว่าเขาเป็นคนร้าย อีกทั้งยังให้คนจับตัวเขาไปส่งทางการ มิเอ่ยถึงเรื่องที่เขาเป็นแขกขององค์รัชทายาทเลยสักคำ

ทั้งชีวิตของเขามิเคยอับอายเช่นนี้มาก่อน ผู้ใดจักคิดว่ามาเสียทีให้กับเด็กสาวเช่นนี้

แต่มิรู้ด้วยเหตุใด ยิ่งเป็นเช่นนี้เขาก็ยิ่งรู้สึกว่านางช่างน่าสนใจ

เขามิได้พบคนที่น่าสนใจเช่นนี้มานานมากแล้ว

ยามนี้นัยน์ตาของไป๋หลี่เฉินแฝงไปด้วยความสนุก ยิ่งเข้าใกล้อันหลิงเกอมากเท่าไร ร่างนั้นก็ยิ่งแผ่รังสีกดดันออกมา

“สาวน้อย ครั้งก่อนเจ้าให้คนส่งข้าแก่ทางการ ถึงเวลาที่เราจักมาคิดบัญชีกันแล้ว”

เขามิเชื่อหรอกว่าอยู่ในเรือนตนเอง อันหลิงเกอยังพกยาสลบติดตัวตลอดเวลา

เมื่อเห็นว่าอันหลิงเกอมิได้ลงมือ ไป๋หลี่เฉินก็ชะล่าใจ คิดว่านางคงมิมีแผนลอบกัดอันใดอีก

ครั้งก่อนหากมิใช่เพราะประมาทและคาดมิถึงว่าอันหลิงเกอจักใช้ยาสลบ เขาก็คงมิอับอายถึงเพียงนั้น

เดิมทีหลังจากที่องค์รัชทายาทให้คนปล่อยเขาออกจากคุก เขาก็คิดที่จักมาคิดบัญชีกับอันหลิงเกอทันที แต่น่าเสียดายที่นางเข้าวังและทำให้เขามิมีโอกาสจึงต้องรอมาถึงตอนนี้

ส่วนอันหลิงเกอในเวลานี้ยังมีท่าทีมิสะทกสะท้าน นางมองไป๋หลี่เฉินด้วยท่าทางสงบนิ่ง

“ครั้งก่อนเพราะมิทราบฐานะของคุณชายไป๋หลี่จึงล่วงเกินไป หวังว่าท่านจักมิถือสา”

มุมปากของนางยกขึ้นเล็กน้อยเผยรอยยิ้มบางออกมา เพียงแต่รอยยิ้มนั้นหาได้ไปถึงดวงตา ช่างเป็นรอยยิ้มสำหรับต้อนรับแขกอย่างเขาเสียจริง

ไป๋หลี่เฉินรู้ว่าที่จริงแล้วอันหลิงเกอมิได้เต็มใจต้อนรับเขาอย่างที่กล่าวออกมา มิเช่นนั้นนางคงมิเปิดใช้งานค่ายกลเมื่อครู่

จากนั้นเขาค่อย ๆ เดินไปหยุดตรงหน้าของอันหลิงเกอ มิได้สนใจปี้จูที่อยู่ด้านข้างแต่อย่างใด มุมปากยกขึ้นเผยรอยยิ้มมีเสน่ห์ “ตอนนี้เจ้ารู้ฐานะของข้าแล้วใช่หรือไม่ ? ”

รู้สิ ต้องรู้อยู่แล้ว

อันหลิงเกอพยักหน้ารับเล็กน้อย ครั้งก่อนที่ไป๋หลี่เฉินบุกเข้ามาในเรือนของนางจึงทำให้นางต้องระวังตัวมากขึ้น หลังจากที่หมิงซินส่งตัวไป๋หลี่เฉินไปให้ทางราชการแล้ว นางก็ส่งคนไปสืบหาตัวตนที่แท้จริงของเขา

เขาคือประมุขหอสดับพิรุณที่มีชื่อเสียงที่สุดในยุทธภพนั่นเอง นับว่าเป็นคนน่ากลัวกว่าเหล่าหัวหน้าพรรคอื่น ๆ ในยุทธภพ

หากมิทราบฐานะแท้จริงของไป๋หลี่เฉิน อันหลิงเกอคงมิใช้ค่ายกลแค่มิกี่อย่างแล้วปล่อยเขาเข้ามาโดยง่ายเช่นนี้

นางรู้ดีอยู่แล้วว่าหากไป๋หลี่เฉินต้องการบุกเข้ามาจริง ๆ อาศัยแค่ค่ายกลกับยาสลบพวกนั้นย่อมมิมีทางขวางเขาไว้ได้

ไป๋หลี่เฉินก้มหน้ามองสตรีที่อยู่ตรงหน้า นางมีใบหน้างดงามพริ้มเพรา ผิวขาวราวกับหิมะ ดวงตาดำขลับเปล่งประกายชวนมองราวกับดวงดาวที่สุกสกาวยามค่ำคืนทั้งยังแฝงไว้ด้วยความลุ่มลึกน่าหลงใหล

ริมฝีปากอวบอิ่มหยักโค้งได้รูปมีสีแดงสดราวกับผลอิงเถา ( เชอร์รี่ ) ทำให้อยากลิ้มลองว่ารสของมันจักหวานล้ำเหมือนผลอิงเถาจริงหรือไม่

เมื่อนึกได้เช่นนั้น นัยน์ตาของไป๋หลี่เฉินก็เข้มขึ้นในชั่วพริบตาราวกับมีเปลวไฟบางอย่างลุกโชน

อันหลิงเกอรู้สึกได้ถึงสัญญาณอันตรายจากคนตรงหน้าจึงตัดสินใจก้าวถอยหลังทันที

ทว่าไป๋หลี่เฉินมีหรือจักยอมให้นางถอยห่างออกไปโดยง่าย ?

เพียงแค่เขายื่นมือออกไปก็สกัดกั้นทางที่อันหลิงเกอคิดถอยหนีได้แล้ว

ปี้จูเห็นดังนั้นก็เข้าไปยืนข้างกายอันหลิงเกอทันที ในมือถือเชิงเทียนที่แอบไปหยิบมาเอาไว้

รอเพียงไป๋หลี่เฉินขยับเข้ามาอีกครั้ง นางก็จักใช้เชิงเทียนทุบเขาให้ตาย

อันหลิงเกอเห็นเช่นนั้นก็ส่งสายตาให้นาง “ปี้จู เจ้าออกไปก่อน”

แม้ไป๋หลี่เฉินมิได้แผ่ไอสังหารออกมา แต่เป้าหมายในการมาที่นี่ย่อมมิใช่เรื่องดี

แม้ฝีมือของนางมิสูงส่ง ทว่าฐานะของนางก็ยังมีอยู่ ต่อให้ไป๋หลี่เฉินหยิ่งผยองมากเพียงใดก็มิกล้าลงมือกับนางง่าย ๆ แน่นอน

ด้านปี้จูมิมีความสามารถในการป้องกันตัวอันใดเลย นางจึงกลัวว่าปี้จูจักพลอยลำบากไปด้วย

“คุณหนูเจ้าคะ” ปี้จูกระทืบเท้าอย่างร้อนรน สายตาที่มองไปยังไป๋หลี่เฉินราวกับมองโจรชั่วร้ายก็มิปาน “คนผู้นี้ที่มาที่ไปมิชัดเจน หากปล่อยให้อยู่ที่นี่…”

“ข้ารับมือได้” คำกล่าวของอันหลิงเกอทำให้ปี้จูถึงกับพูดมิออก

นางขบเขี้ยวเคี้ยวฟันแล้วจ้องไปยังไป๋หลี่เฉินด้วยสายตาอาฆาต แต่สุดท้ายก็ต้องยอมถอยออกไป

“เจ้าก็ใจกล้ามิเบา”

ความรู้สึกสนุกที่แฝงอยู่ในแววตาของไป๋หลี่เฉินฉายออกมา สาวน้อยตรงหน้ารู้ตัวตนแท้จริงของเขาแล้วก็สมควรกลัวถึงจะถูก แต่เหตุใดนางจึงให้สาวใช้ออกไป ?

มุมปากของอันหลิงเกอยังคงเผยรอยยิ้มเอาไว้ “ที่นี่คือจวนโหว ข้าต้องกลัวสิ่งใดเล่า ? ”

นางกำลังใช้คำพูดเตือนไป๋หลี่เฉินอยู่ในทีว่าที่นี่คือเมืองหลวงหาใช่หอสดับพิรุณและมิใช่สถานที่ให้คนในยุทธภพใช้อำนาจได้ ไป๋หลี่เฉินจักทำสิ่งใดก็ควรไตร่ตรองให้ดีเสียก่อน

แม้เข้าใจคำกล่าวของอันหลิงเกอ แต่ไป๋หลี่เฉินก็มิได้แสดงท่าทีมิพอใจที่โดนข่มขู่แม้แต่น้อย นัยน์ตาที่มีเสน่ห์ค่อย ๆ หรี่ลงแล้วเดินเข้าหาอันหลิงเกออย่างคุกคาม จากนั้นใช้มือข้างหนึ่งเชยคางของนางขึ้น

“ข้ามิทำอันใดเจ้าอยู่แล้ว ฉะนั้นเจ้ามิต้องกลัว”

น้ำเสียงทุ้มต่ำเจือแววหยอกเย้า ลมหายใจอุ่น ๆ ของเขารินรดข้างใบหูของอันหลิงเกอพลางกระซิบใกล้ชิดราวกับเป็นคู่รักกัน