บทที่ 165 เคยทำเรื่องอื้อฉาว

องค์ชายวายร้ายอยากเป็นพ่อ

บทที่ 165 เคยทำเรื่องอื้อฉาว
เมื่อหนานกงเย่กลับมา ฉีเฟยอวิ๋นก็กำลังพักผ่อนอยู่ หนานกงเย่ผลักประตูเข้ามาและถอดเสื้อผ้าที่หน้าประตู จากนั้นก็ไปอาบน้ำที่ประตูด้านข้าง

ฉีเฟยอวิ๋นสร้างอ่างอาบน้ำไว้ในห้อง และเป็นน้ำอุ่นตลอดยี่สิบสี่ชั่วโมง น้ำเปลี่ยนตลอดเวลา แต่ข้างในไม่จำเป็นต้องต้มน้ำ เมื่อปล่อยน้ำแล้วก็จะมาที่หินกำมะถัน และหินกำมะถันถูกวางไว้ลึกอยู่ข้างใน จึงสามารถอาบน้ำได้ตลอดเวลา

หนานกงเย่ชอบอ่างอาบน้ำกำมะถันนี้มาก ตามคำพูดของฉีเฟยอวิ๋น ไม่เพียงแต่จะอาบน้ำได้อย่างสะดวก แต่ยังช่วยฆ่าเชื้อและให้ความชุ่มชื้นแก่ผิวด้วย

หลังจากที่อาบน้ำเสร็จแล้ว หนานกงเย่ก็ไปหาฉีเฟยอวิ๋น นางหลับแล้ว วันนี้หนานกงเย่กลับมาเร็ว และอยากที่จะสนุกเพลิดเพลิน แต่ยากที่จะได้เสพสุข เขาจึงทำได้เพียงนอนลง

แต่เมื่อนอนลงแล้ว หนานกงเย่ก็นอนไม่หลับ

“เว่ยหลินชวนเป็นจั่วจงเจิ้งของศาลพิเศษกลาง เขาเป็นคนตรงไปตรงมา ข้าจำได้ว่ามีครั้งหนึ่งที่องค์หญิงน้อยถูกเขาจัดการ วันนี้มาหาถึงหน้าประตูและไม่ยอมจากไป จะต้องมีบางอย่างเกิดขึ้นอย่างแน่นอน” (จั่วจงเจิ้งเป็นผู้รับทราบเรื่องเมื่อเชื้อพระวงศ์กระทำความผิด ก่อนถวายรายงานแก่องค์จักรพรรดิต่อไป)

ตอนที่หนานกงเย่พูด ฉีเฟยอวิ๋นก็พลิกตัว แล้วยกขาข้างหนึ่งขึ้นมาทับร่างของเขาไว้ และเอามือทั้งสองข้างมากอดเขา

เดิมทีเขาอยากจะพูดอะไรต่อ แต่เห็นท่าทีไร้เดียงสาของฉีเฟยอวิ๋นในเวลานี้แล้ว เขาก็ทนไม่ไหว

ในตอนเช้าหนานกงเย่กำลังจะไปทำงาน หลังจากถามคำถามสองสามข้อแล้ว หนานกงเย่ก็หันหลังเดินจากไป

ฉีเฟยอวิ๋นลุกขึ้นไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้า หลังจากทานอาหารแล้ว นางก็ไปที่ศาลพิเศษกลาง

มีคนรออยู่ที่หน้าประตูแล้ว เมื่อเห็นฉีเฟยอวิ๋น ใบหน้าที่ยังหนุ่มของเว่ยหลินชวนก็ดูไม่สบายใจและกล่าวว่า:“การเชิญเสด็จพระชายาเย่มาที่ศาลพิเศษกลาง ช่างเป็นเรื่องยากเหลือเกินพ่ะย่ะค่ะ”

ฉีเฟยอวิ๋นจัดเสื้อผ้าและเดินไปข้างหน้าเว่ยหลินชวน และกล่าวว่า:“นี่เป็นการปฏิบัติตามมารยาท คานประตูของศาลพิเศษกลางสูงสง่ามาตั้งแต่ไหนแต่ไร ข้ารู้เรื่องนี้ดี แต่หากจั่วจงเจิ้งยังไม่รู้ล่ะก็ ข้าเกิดปีนักษัตรมงกร มีบุญคุณต้องทดแทน มีแค้นต้องชำระ”

“มีความแค้นก็ต้องแก้แค้น พระชายาเย่ผู้สง่างาม ไม่คิดว่าจะใส่ร้ายศาลพิเศษกลางของข้า เจตนาอยู่ที่ใด?ศักดิ์ศรีของราชวงศ์อยู่ที่ใด?” เว่ยหลินชวนจ้องไปที่ฉีเฟยอวิ๋นอย่างโกรธเคือง

ฉีเฟยอวิ๋นยิ้มอย่างเฉยเมยและมองไปที่ศาลพิเศษกลาง

“เจตนาดี ไม่อยากเสียเปรียบ ส่วนศักดิ์ศรี……ข้าเป็นตัวแทนของราชวงศ์ พระพันปีและฝ่าบาท พระพันปีทรงมีรับสั่งให้ข้ามาตรวจสอบคดี

ลองถามผู้คนในเมืองหลวงประตูก็ได้ จวนแห่งนั้นไม่ไว้หน้าข้า ความจริงแล้วศาลพิเศษกลางของเจ้ามีไว้สำหรับลงโทษลูกหลานของราชวงศ์ แต่สามารถเหยียดหยามพระพันปีและฝ่าบาทได้หรือ ?”

“ท่าน……” เว่ยหลินชวนพูดไม่ออก ฉีเฟยอวิ๋นเดินไปรอบ ๆ ศาลพิเศษกลาง

เว่ยหลินชวนสะบัดแขนเสื้อแล้วเดินตามเข้าไป

ฉีเฟยอวิ๋นเดินเข้าไปในศาลอย่างใจคอห่อเหี่ยว นางหยิบห่อยาแล้วโยนเข้าไปในบ่อน้ำ และใช้มือควานหา จากนั้นก็หันไปมองเว่ยหลินชวนที่เหมือนจะไม่เชื่อถือ

เว่ยหลินชวนหน้าตาหล่อเหลา มากฝีมือ ฉีเฟยอวิ๋นมองไปที่เว่ยหลินชวน และชื่นชมเขา ผู้ชายสมัยก่อนหน้าตาดีใช้ได้เลย

“จั่วจงเจิ้งมีคำถามหรือไม่ ?” ฉีเฟยอวิ๋นหันหลังกลับไปถามและยืนถามอยู่ตรงหน้าเว่ยหลินชวน

เว่ยหลินชวนหน้าแดงไปจนถึงกกหู ชื่อเสียงของพระชายาเย่ไม่ค่อยดีนัก เมื่อก่อนเพียงได้ยิน และในเวลานี้ก็เป็นเช่นนั้นจริง นางมองมาที่เขาเช่นนี้ ช่างไม่รู้จักละอายจริง ๆ

เจ้ามาทำเรื่องเช่นนี้ที่ศาลพิเศษกลางของข้า ไม่เกรงว่าฝ่าบาทจะทรงกริ้วรึ ?” เว่ยหลินชวนพูดอย่างหมดความอดทน

ฉีเฟยอวิ๋นเงยหน้าขึ้นและกลอกตามองไปที่เว่ยหลินชวน เว่ยหลินชวนตกตะลึงอยู่ครู่หนึ่ง:“ท่าน ?”

“ก่อนจะพูดกับข้า เรียกชื่อว่าพระชายาเถอะ ?จั่วจงเจิ้งเจ้าก็เรียกมาโดยตลอด หรือว่าท่านไม่เห็นพระพันปีและฝ่าบาทอยู่ในสายตาแล้ว ข้าเป็นคนของราชวงศ์ เจ้าจะนับว่าเป็นอะไรได้ ?”

“ท่าน……” เว่ยหลินชวนไม่เคยถูกดูหมิ่นเช่นนี้ เขาจึงโกรธมาก

ฉีเฟยอวิ๋นเดินไปภายในศาลพิเศษกลางอย่างไม่เป็นกังวล ในขณะที่เดินก็กล่าวว่า:“ข้าได้รับพระราชโองการให้มาตรวจสอบคดีที่นี่ แม้ว่าศาลพิเศษกลางของพวกท่านจะเป็นสถานที่จัดการดูแลเรื่องภายในของราชวงศ์ แต่ก็ต้องเชื่อฟังข้า

เหตุผลคือใต้หล้านี้มีองค์จักรพรรดิเป็นผู้ปกครอง และทุกสิ่งล้วนได้รับเกียรติจากฝ่าบาท”

เว่ยหลินชวนไม่สามารถพูดอะไรได้อีก เขาทำได้เพียงตามฉีเฟยอวิ๋นไปข้างหน้า

ฉีเฟยอวิ๋นพูดถึงเรื่องที่ถูกต้อง:“ข้าเคยพบพระชายารองอวิ๋น แม้ว่าจะไม่ชอบนาง แต่ข้าก็ไม่สามารถปฏิเสธฝ่าบาทได้ เชื่อว่าจั่วจงเจิ้งคงจะรู้เรื่องของนางแล้ว

แต่ไม่ว่าท่านจะรู้หรือไม่ก็ตาม ข้าก็ต้องไว้แต่เนิ่น ๆ

การตรวจสอบคดีนี้ของข้า จำเป็นต้องได้รับความร่วมมือจากศาลพิเศษกลางอย่างเต็มที่ ไม่เช่นนั้น ข้าเชื่อว่าจั่วจงเจิ้งคงจะรู้วิธีการของข้าแล้ว

อย่าคิดว่าแค่กราบทูลฝ่าบาทก็ได้แล้ว ชีวิตเล็ก ๆ ของข้าและวิธีการที่ดี ไม่ต้องรอให้พวกเขาไป ศาลพิเศษกลางแห่งนี้ก็คงตายไปนานแล้ว”

อาอวี่รู้สึกกลัดกลุ้ม นี่เป็นการเป็นปรปักษ์ต่อศาลพิเศษกลาง เพียงเพราะเขารออยู่ที่ประตูงั้นหรือ ?

พระชายาทรงโกรธแค้นมากเกินไปแล้ว

อาอวี่ตัวสั่น เมื่อนึกถึงเรื่องที่ฉีเฟยอวิ๋นเกือบถูกฆ่าตายก่อนหน้านี้

“เป็นอย่างที่คิดไว้จวนอ๋องเย่เต็มไปด้วยผู้ที่มากความสามารถจำนวนมาก จึงไม่เห็นศาลพิเศษกลางอันสูงส่งของข้าอยู่ในสายตา ?” เว่ยหลินชวนโกรธจัด

ฉีเฟยอวิ๋นเดินเอามือไพล่หลัง:“อย่าพูดน่าฟังเช่นนั้นเลย ข้าเป็นตัวแทนของฝ่าบาท พระเกียรติยศของพระพันปี ศาลพิเศษกลางของพวกเจ้ากล้าที่จะดูหมิ่น เช่นนั้นเอาพระพันปีและฝ่าบาทไปวางไว้ที่ใด ?

ในเมื่อข้าได้รับเผือกร้อนนี้แล้ว ข้าก็ต้องขจัดอุปสรรคต่าง ๆ และปฏิบัติให้ถูกต้องตามหลักธรรม ในศาลพิเศษกลางมีเพียงท่านที่ขัดขวาง

ความผิดถูก มีเหตุผลหรือไร้เหตุผลก็ต้องตัดสินอย่างยุติธรรม

ข้าไม่กลัวเงามืด แต่กลัวท่านจะทำไม่ได้ ?”

“ได้……” เว่ยหลินชวนโกรธและไม่รู้ว่าควรอย่างไร

ฉีเฟยอวิ๋นรู้สึกคุ้นเคย นางรู้ตำแหน่งที่ตั้งและแผนผังของศาลพิเศษกลางเป็นอย่างดี จากนั้นก็ตรงไปหาอวิ๋นหลัวฉวน

เมื่อไปถึงก็ไม่มีคนเปิดประตู ฉีเฟยอวิ๋นจึงสั่งให้อาอวี่ให้เอาขวานมาพังประตู

ในเวลานี้ผู้คนในศาลพิเศษกลางต่างล้มหมอนนอนเสื่อ เหลือเพียงแค่เว่ยหลินชวนคนเดียว เขาออกไปทำธุระข้างนอกแล้วกลับมา ไม่เช่นนั้นเขาก็ยากที่จะรอด

ฉีเฟยอวิ๋นลงมืออย่างคล่องแคล่ว หลังจากที่ประตูเปิดออกแล้ว นางก็ก้มตัวและเดินเข้าไป

แม้ว่าเว่ยหลินชวนจะเป็นบุรุษ แต่เขาเป็นขุนนางที่มือไม้บอบบาง

ฉีเฟยอวิ๋นเข้าไปในคุกและหาอยู่นาน ในคุกมีคนจำนวนมาก และล้วนแต่ไม่รู้จัก

หลังจากหาอยู่นาน ในที่สุดก็พบอวิ๋นหลัวฉวน

ภายในห้องที่เต้มไปด้วยฟางข้าว ด้านนอกถูกมัดด้วยท่อนซุง และอวิ๋นหลัวฉวนถูกขังอยู่ข้างใน

ฉีเฟยอวิ๋นเห็นว่าสภาพแวดล้อมค่อนข้างดี สถานที่ของราชวงศ์ก็ไม่ได้เลวร้ายมากนัก

“พระชายารองอวิ๋น ?” ฉีเฟยอวิ๋นเรียกนาง อวิ๋นหลัวฉวนค่อย ๆ รู้สึกตัว และเมื่อเห็นฉีเฟยอวิ๋น นางก็น้ำตาไหล

ฉีเฟยอวิ๋นรู้สึกวิตกกังวลแทนอวิ๋นหลัวฉวน แม้ว่านางจะเป็นพยัคฆ์สาวในตระกูลแม่ทัพ แต่นางก็ยังเด็กเกินไป เกิดเหตุการณ์เช่นนี้ขึ้น นางจะต้องตกใจกลัวอย่างแน่นอน แต่ในตอนนั้นไม่มีใครช่วยนาง นางถูกส่งมาขังอยู่ในสถานที่เช่นนี้สองสามวันแล้ว และในช่วงนี้นางคงจะทนทุกข์ทรมานมาก

ฉีเฟยอวิ๋นเหลือบมองที่แม่กุญแจ:“ปลดกุญแจ”

อาอวี่เดินไปปลดกุญแจ และเว่ยหลินชวนก็เข้ามาขวางไว้ แต่ถูกอาอวี่ผลักออกไป

ฉีเฟยอวิ๋นก้มตัวลงและเข้าไปข้างใน นางเดินไปตรงหน้าอวิ๋นหลัวฉวน และถูกอวิ๋นหลัวฉวนกอดไว้

“ท่านพี่เสียนเฟย” อวิ๋นหลัวฉวนร้องไห้และพูดออกมา ฉีเฟยอวิ๋นเจ็บใจ ไม่ว่าอย่างไรนางเป็นคนในจวนกั๋วกง พวกเขาไม่กลัวการสู้รบ แต่สำหรับเรื่องเช่นนี้คงจะกลัวเป็นอย่างมาก

ฉีเฟยอวิ๋นตบอวิ๋นหลัวฉวนเบา ๆ จากนั้นก็ผลักนางออกไปและเช็ดน้ำตาให้นาง:“ข้ามาตามพระประสงค์ของพระพันปี เจ้าไม่ต้องกังวล”

อวิ๋นหลัวฉวนส่ายหัว:“ไม่ใช่……”

ฉีเฟยอวิ๋นประหลาดใจ:“เกิดอะไรขึ้น ?”

อวิ๋นหลัวฉวนก้มหน้าลงและเริ่มร้องไห้ ตอนแรกก็ยังดี ๆ อยู่ ในขณะนี้นางถอยกลับไปที่กำแพง นางกอดขาแล้วก้มหน้าลงไปที่หัวเข่าอย่างไม่พูดไม่จา

เว่ยหลินชวนกล่าวว่า:“นางยอมรับแล้ว ในวันนั้นนางทำเรื่องบัดสีบัดเถลิงเช่นนั้นจริง ๆ ผู้คุมไต่สวนด้วยตนเอง และยังมีคำให้การด้วย”

ฉีเฟยอวิ๋นหันกลับไป และหยิบคำให้การที่เว่ยหลินชวนนำติดตัวมาด้วย จากนั้นนางก็เปิดอ่าน

หลังจากอ่านแล้ว นางก็หันกลับไปมองอวิ๋นหลัวฉวน นางเดินไปตรงหน้าอวิ๋นหลัวฉวน และถามอวิ๋นหลัวฉวนว่า:“เหตุใดเจ้าถึงต้องยอมรับ ?”

“แต่……ข้าเห็นไฉฝูออกไปจากในห้องของข้าจริง ๆ และเขาไม่ได้สวมเสื้อผ้า” อวิ๋นหลัวฉวนร้องไห้ด้วยความเสียใจ และเงยหน้าขึ้นมองแววตาของฉีเฟยอวิ๋น ร้องไห้จนตาบวมแดง และใบหน้าผิดรูป

ฉีเฟยอวิ๋นโอบกอดอวิ๋นหลัวฉวน และยัดคำให้การเข้าไปในปาก เดิมทีมันก็เป็นแค่กระดาษแผ่นเดียวเท่านั้น ฉีเฟยอวิ๋นไม่เคยกินอะไรที่ขมเช่นนี้ และกลืนมันลงไป

เว่ยหลินชวนตระหนักว่ามันสายเกินไปแล้ว อยากจะเข้าไปขัดขวางก็ถูกอาอวี่ผลักออกไป

เขาเป็นคนมือไม้บอบบาง และโกรธเป็นอย่างมาก

“กบฏ พวกเจ้าเป็นกบฏ !”

อาอวี่มองไปที่ฉีเฟยอวิ๋นอย่างลำบากใจ

เขาเคยเห็นพระชายาในเมื่อก่อน แต่เมื่อเทียบกับในเวลานี้ ช่างต่างกันมากจริง ๆ

ฉีเฟยอวิ๋นผลักอวิ๋นหลัวฉวนออก และมองไปที่ใบหน้าของนาง

“เจ้าหยุดร้องไห้ก่อน และเล่าเรื่องที่เกิดอะไรขึ้นในเวลานั้นให้ข้าฟัง”

อวิ๋นหลัวฉวนส่ายหัว ต่อให้ต้องตายนางก็ไม่พูด ฉีเฟยอวิ๋นจึงถามว่า:“หากเจ้าไม่พูดทั้งจวนกั๋วกงก็จะติดร่างแหไปด้วย”

ฉีเฟยอวิ๋นนั่งลง และบอกให้อาอวี่กัลเว่ยหลินชวนออกไปก่อน

หลังจากที่ทั้งสองออกไปแล้ว อวิ๋นหลัวฉวนก็ยังไม่ยอมพูด นางนั่งหลบกำแพงและกอดเข่าร้องไห้

ฉีเฟยอวิ๋นอดไม่ได้ที่จะพูดว่า:“ตงเอ๋อร์ตายแล้ว”

“……” อวิ๋นหลัวฉวนเงยหน้าขึ้นและเบิกตากว้าง:“ตงเอ๋อร์ตายแล้ว ?”

“ใช่ ตงเอ๋อร์ยืนยันว่าเจ้าไม่ได้ทำเรื่องเชช่นนั้น ดังนั้นนางจึงยอมตายดีกว่ายอมจำนน เพราะนางกระด้างกระเดื่ององค์หญิงใหญ่ จึงถูกองค์หญิงใหญ่สั่งให้ประหาร และในตอนนี้ก็ไม่รู้ว่ามีคนเก็นศพแล้วหรือไม่ ศพถูกแขวนอยู่นอกประตูเมือง” ฉีเฟยอวิ๋นกล่าวอย่างเศร้าใจ

อวิ๋นหลัวฉวนลุกขึ้นยืน:“ตงเอ๋อร์”

อวิ๋นหลัวฉวนร้องไห้ด้วยความโกรธแค้น และตะโกนอย่างน่าตกใจ ฉีเฟยอวิ๋นถอนหายใจและกล่าวว่า:“สตรีที่เกิดในที่แห่งนี้ก็เหมือนเนื้อปลา หากเจ้าเดินอย่างไม่ระมัดระวัง เจ้าก็จะตาย

ตงเอ๋อร์ตายแล้วก็ไม่มีใครล้างมลทิน ถึงตอนนั้นแล้วนางก็ยังถูกกล่าวหาว่ากระด้างกระเดื่อง

องค์หญิงใหญ่มีฐานะสูงส่ง เจ้าเป็นผู้ตัดสินใจเอง ทำเรื่องเช่นนี้จะโทษไม่ได้ว่านางถูกคนประหารชีวิต”

“ปล่อยข้าออกไป ปล่อยข้าออกไป……” อวิ๋นหลัวฉวนวิ่งไปเขย่าประตู

“เจ้าตัดใจเสียเถิด ข้าตามเจ้าเข้ามา และข้ามีหนังสือคำสั่งทางทหาร หากข้าไม่สามารถพิสูจน์ความบริสุทธิ์ของเจ้าได้ ข้าก็จะตายไปพร้อมกับเจ้า เจ้าดูสิ……เพื่อที่จะปกป้องข้า ท่านอ๋องเย่ทรงมอบอาอวี่มาให้ข้าใช้

ถึงอย่างไรท่านอ๋องอย่างพวกเขาก็เป็นคนของราชวงศ์ ส่วนเจ้ากับข้าไม่จำเป็นต้องเป็น

ท่านอ๋องจากไปแล้วไม่สามารถเอากลับคืนมาได้ แต่พระชายาจากไปแล้วก็สู่ขอพระชายาใหม่ได้ !”

ฉีเฟยอวิ๋นหดหู่ใจ อวิ๋นหลัวฉวนหันไปมองนาง

“เหตุใดเจ้าจึงโง่เขล่าเช่นนี้ ?”

ฉีเฟยอวิ๋นขบขัน โง่เขลามาก!

ฉีเฟยอวิ๋นแสร้งทำหน้าเป็นหมดหนทาง แต่นางก็สวยมาก

อวิ๋นหลัวฉวนตาสว่างและกลับใจอย่างรวดเร็ว นางกล่าวอย่างเย็นชาว่า:“ต้องมีคนใส่ร้ายข้าแน่ ๆ ”

ฉีเฟยอวิ๋นเลิกคิ้ว:“แต่ไม่มีหลักฐาน !”

“ไม่ มันต้องมี ข้าจะแก้แค้นให้ตงเอ๋อร์ ข้าจะต้องหามือสังหารให้พบ ท่านพี่เสียนเฟย ท่านจับตัวไฉฝูได้แล้วหรือไม่ ?”

ฉีเฟยอวิ๋นส่ายหัว:“หลังจากที่เกิดเรื่องขึ้น ไฉฝูก็ตาย ตายโดยไม่มีหลักฐาน

“แล้วน้ำที่ข้ากินล่ะ ข้าดื่มน้ำแล้วก็รู้สึกง่วง ปกติทุกวันข้าจะไม่เข้านอนเร็วเช่นนั้น แม้ว่าตงเอ๋อร์จะไม่อยู่ที่หน้าประตู แต่เช้าตรู่เช่นนั้นไฉฝูวิ่งออกมาจากในห้องของข้าได้อย่างไร ?”

ฉีเฟยอวิ๋นลุกขึ้น:“นี่เจ้าไม่เข้าใจอะไรเลยหรือ ?”

สีหน้าของอวิ๋นหลัวฉวนดูไม่น่ามอง:“ท่านพี่เสียนเฟย อันที่จริง……”

“หืม ?”

อวิ๋นหลัวฉวนอดไม่ได้ที่จะร้องไห้:“ข้ารู้ว่าข้าเคยทำเรื่องเช่นนั้น”

“เช่นนั้น ?” ฉีเฟยอวิ๋นงุนงง

“เรื่องอื้อฉาวกับไฉฝู !”

“……” ฉีเฟยอวิ๋นเลิกคิ้วขึ้น งั้นหรือ ?