แอสรันเอื้อมมือออกไปอีกครั้งแม้ฉันจะตะโกนออกไปด้วยความตกใจ คราวนี้เขาหยิบส้อมที่วางอยู่ขึ้นมา ฉันเข้าไปขวางเบื้องหน้าเลออนทันที
“ขอล่ะ นี่!”
ทันทีที่ฉันเข้ามายืนบัง แอสรันก็จ้องเลออนที่อยู่ด้านหลังฉันจนน่ากลัว ก่อนจะออกแรงจับส้อม ส้อมที่กำลังบิดงออย่างไร้เสียงทำให้ฉันเสียวสันหลังวาบ แม้ตอนนี้จะกลับมาสู่สภาพของมนุษย์แล้ว แต่ฉันก็ยังจำมือที่จับคางฉันเมื่อคืนได้
‘เขาไม่ได้ถือโทษเลออน’
หากแอสรันตั้งใจจะฆ่าเลออนจริงๆ เขาคงเขวี้ยงส้อมไปแต่แรกไม่ใช่ขนมปัง ไม่สิ ไม่จำเป็นต้องเขวี้ยงไปด้วยซ้ำ เพราะแค่เขาใช้เวทมนตร์ก็สิ้นเรื่องแล้ว
แอสรันโยนส้อมที่บิดงอทิ้ง ก่อนจะขยับนิ้วมือ เขาตั้งใจจะใช้เวทมนตร์ลากฉันไปหาแบบเมื่อคืนเป็นแน่ ฉันหลับตาลงและเตรียมพร้อมที่จะถูกดึงไป
“…?”
แต่รออยู่สักพัก ร่างกายฉันก็ยังไม่ขยับ ฉันลืมตาขึ้นอย่างระมัดระวัง แอสรันยังคงจ้องฉันเขม็งด้วยใบหน้าบูดบึ้ง และยื่นมือมาหาฉัน
“มานี่”
“…”
“เร็ว”
“…”
แอสรันถอนหายใจเมื่อฉันยังไม่ยอมขยับเขยื้อน จากนั้นก็ยกสองมือขึ้น
“ข้าจะไม่แตะต้องอะไรมันอีก”
ได้ยินดังนั้นฉันก็ก้าวเข้าไปหาแอสรัน เขาเอื้อมมือมาโอบเอวฉันเข้าไปในอ้อมแขน ฉันเงยหน้าขึ้นมองเลออน เขากำลังปัดเศษขนมปังที่ติดอยู่บนหน้าพลางจ้องแอสรันเขม็งราวกับจะจับกิน
‘เลออนนี่มันเลออนจริงๆ’ ฉันคิด ปกติแล้วจะต้องตกใจกลัวและถอยหลังออกไป แต่ทั้งที่รู้ว่าแอสรันเป็นใคร เขาก็ยังไม่ถอยหนีไปเลยสักนิด ฉันเป็นห่วงเลออนพลางจ้องไปที่ราธบัน เขาเองก็มีสีหน้าไม่ต่างจากเลออน แต่เมื่อเห็นสัญญาณมือของฉันที่สั่งให้อดทน เขาก็ไม่ขยับเขยื้อนอีก ค่อยยังชั่วที่อย่างน้อยราธบันก็ยังตั้งสติได้
“อย่างไรก็ตาม เรามีเรื่องที่สืบหาจากมันได้เยอะเลย…”
ราธบันแย้งขึ้นมาทันทีที่แอสรันพึมพำแบบนั้น
“ข้าพอจะรู้อยู่บ้างว่ามีเวทมนตร์ประเภทที่ควบคุมจิตใจได้อยู่ แต่ท่านคงใช้เวทมนตร์แบบนั้นไม่ได้กระมัง”
…ไม่ล่ะ ฟังจากน้ำเสียงที่แฝงความเหน็บแนมแล้ว ดูท่าราธบันก็ไม่ได้ต่างไปจากเลออนสักเท่าไร
ฉันโอดครวญพลางคลายมือของแอสรันที่จับเอวออก โชคดีที่แอสรันไม่พยายามรั้งไว้ แต่ไม่รู้เพราะรู้สึกว่างเปล่าหรืออย่างไร เขาถึงกำมือข้างที่ฉันเอาออกอยู่หลายครั้ง
เพราะยังไม่มีบทสนทนาใดๆ เกิดขึ้นเลยทำให้ฉันรู้สึกอึดใจ หากปล่อยไว้แบบนี้ อีกไม่นานคงได้แต่มองทั้งสามคำรามใส่กันเท่านั้น
“เรื่องนั้นข้าเองก็เคยถามแอสรันมาแล้ว เวทมนตร์แบบนั้นต่างจากที่เราคิด มันทำได้แค่เพียงควบคุมให้ทำตามคำสั่งง่ายๆ เท่านั้น”
ราธบันเดาะลิ้นอย่างเสียดายเมื่อได้ยินคำพูดของฉัน ฉันเอ่ยถามเลออน
“เลออน หลังจากที่พวกเราออกมาแล้วเป็นอย่างไรหรือ? คาร์ลมาหรือไม่?”
โชคดีที่คำถามของฉันทำให้แอสรันและราธบันไม่พูดอะไรอีกและปิดปากเงียบ พวกเขาเองก็คงสงสัยเหตุการณ์ต่อจากนั้นเช่นกัน
“นักบวชคาร์ลเข้ามาเหมือนกับกำลังรออยู่ ด้านหลังยังลากเหล่านักบวชตามติดกันมาเป็นขบวน หากว่าตอนนั้นท่านไม่ได้ออกไปล่ะก็…คงจะยุ่งวุ่นวายไม่น้อยเลย อา แล้วก็ดูเหมือนว่าเขาจะสังเกตเห็นร่องรอยว่าท่านเคยอยู่ที่นั่นได้ แต่ไม่ต้องเป็นกังวลเพราะข้าแต่งเรื่องกลบเกลื่อนได้อย่างดี”
เมื่อได้ยินดังนั้นฉันก็ขนลุก แม้จะหมดสติแต่ฉันก็พอจะคาดเดาได้ว่าตนอยู่ในสภาพแบบไหน หากว่าถูกเห็นในสภาพแบบนั้น มันจะต้องกลายเป็นปัญหาที่ยุ่งยากแน่ เรื่องที่ฉันหมดสติคงกลายเป็นปัญหาใหญ่สุด ส่วนเลออนที่โอบกอดคนที่กำลังหมดสติอยู่แบบนั้นคงถูกประณามจนน่ากลัว
แม้ว่าจะบอกว่าเขาคือองค์ชายรัชทายาทแห่งจักรวรรดิ แต่ในสายตาของเหล่านักบวช คงไม่เห็นอย่างอื่นนอกจากภาพที่เขากำลังเติมเต็มความต้องการของตัวเองด้วยการโอบกอดนักบุญหญิงที่กำลังหมดสติเท่านั้น และมันไม่ได้จบเพียงแค่นั้น
พวกเขาจะพูดถึงราธบันที่ยืนดูเหตุการณ์แบบนั้นอยู่ด้านข้างอย่างไรกัน ผู้บัญชาการอัศวินทำเพียงยืนมององค์ชายรัชทายาทมัวเมานักบุญหญิงที่กำลังหมดสติ ต่อให้ฉันตื่นอยู่และแก้ต่างให้เขา แต่ความจริงข้อนั้นก็ไม่มีทางเป็นเรื่องที่ยอมรับได้สำหรับเหล่านักบวชอยู่ดี
‘ทั้งสามคนเกือบจะเป็นอันตรายแล้ว’
ไม่ว่าตอนนั้นจะเป็นราธบันหรือเลออนที่โอบกอดฉัน ผลลัพธ์ก็ออกมาไม่ต่างกันเท่าไร เลออนจะไม่ได้ถูกทำโทษตามกฎระเบียบของวิหารเพียงเท่านั้น แต่ยังถูกประณามและถูกนินทาจากทั่วทั้งโลก ส่วนราธบันจะต้องถูกถอดถอนคุณสมบัติการเป็นอัศวินแห่งวิหารทันทีโดยไม่มีรีรอ และชื่อเสียงอันดีงามของนักบุญหญิงก็คงตกต่ำจนทะลุเข้าไปใต้พื้นดินจนไม่จำเป็นต้องกังวลอีกต่อไปแล้ว
ฉันสบตาเข้ากับแอสรันทันทีที่เงยหน้าขึ้น เขาหยักไหล่ราวกับถามว่า ‘ข้าทำดีใช่ไหม?’ ฉันเอื้อมมือไปจับมือเขาเมื่อเห็นท่าทางเช่นนั้น
“…ขอบคุณค่ะ”
แม้จะเคยกล่าวขอบคุณไปครั้งหนึ่งแล้ว แต่พอตระหนักได้ถึงอันตราย ฉันก็รู้สึกว่าครั้งเดียวมันยังไม่เพียงพอ
“ก่อนอื่น ต้องปลดเขาออกจากการมีคุณสมบัติเป็นผู้เข้าคัดเลือกผู้อาวุโสก่อน”
“อย่างไร?”
ฉันยิ้มเมื่อได้ยินคำถามของแอสรัน หลังจากที่คาร์ลทำให้ฉันตกอยู่ในสถานการณ์ที่ยากลำบาก เขาก็พยายามจะแสดงสิ่งนั้นให้ทุกคนเห็น
ถ้าเป็นฉันล่ะก็ ไม่มีเรื่องอะไรที่ทำไม่ได้
***
“ท่านนักบวชคาร์ล!”
ทันทีที่คาร์ลเข้ามาด้านใน เหล่านักบวชที่กำลังจับกลุ่มสนทนากันอยู่ก็เอ่ยทักทายเขาอย่างยินดี คาร์ลยิ้มพลางทักทายพวกเขา การทักทายสั้นๆ ที่ของวิหารที่ทุกคนผลัดกันเข้ามาและท่าทางที่พยายามจะเข้ามาพูดคุยกับเขาอย่างน้อยสักคำทำให้คาร์ลระบายยิ้มจริงใจมากขึ้น
‘อีกไม่นานแล้ว’
หากเป็นเช่นนี้ การจะได้รับตำแหน่งผู้อาวุโสมาก็เหลือแค่เวลาเท่านั้น เหล่าเมล็ดพันธุ์ที่เขาหว่านไว้ตั้งแต่เมื่อก่อนยังคงแตกใบอ่อนอย่างดีเยี่ยมแม้เขาจะจากไปอยู่ไกล ความเลื่อมใสและความรักอันไร้ขอบเขต เมื่อนานมาแล้ว มันเป็นเมล็ดพันธุ์ที่เขาทุ่มเทหว่านให้นักบุญหญิงมากที่สุด
แน่นอนว่าเมล็ดพันธุ์นั้นก็งอกงามอย่างดีเยี่ยมเช่นกัน เมื่อยอดอ่อนซึ่งเติบโตขึ้นอย่างแข็งแรงและรวดเร็วมากกว่าคนไหนๆ เพราะเขาอุทิศเลือดเนื้อและจิตใจในการเลี้ยงดูมากที่สุด แผ่ขยายกิ่งก้านและออกดอกออกผล คาร์ลก็ไม่ลังเลที่จะเด็ดมันกิน
คงเป็นเพราะมันเป็นสิ่งที่เขาต้องปิดบังธาตุแท้และเลี้ยงดูมาตั้งแต่ยังเด็กทุกวันๆ ความสุขสมในชั่วขณะนั้นจึงไม่อาจหาสิ่งใดเปรียบได้ และอาจเพราะเขาทุ่มเทเลี้ยงดู ดังนั้นแม้ว่าเขาจะเด็ดผลอย่างแรง แต่กิ่งก้านก็ยังไม่แตกหัก ดังนั้นคาร์ลจึงยิ่งสนุกมากขึ้น ความสนุกในการได้ทำลายสิ่งที่ตนปลูกขึ้นมาและขุดคุ้ยจนมันแห้งตายมีเพียงเขาที่รู้
‘แต่ว่าก็ยังไม่ตาย’
คาร์ลย้อนนึกถึงสภาพของนักบุญหญิงก่อนที่เขาจะจากไปอยู่วิหารชายแดน
นักบุญหญิงที่แตกสลายอยู่ลำพังเพราะไม่เชื่อใครและไม่มีใครเชื่อ หลังจากเข้าใจอย่างถ่องแท้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับตนเองและบุบสลายเพียงลำพัง นางก็ไล่เขาไปอยู่ห่างไกลเพราะไม่อาจฆ่าเขาได้ นางไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากทำเช่นนั้น นางผู้เป็นนักบุญหญิงไม่อาจฆ่าใครอื่นได้ ความจริงข้อนั้นทำให้คาร์ลสวดภาวนาแก่พระเจ้าจากใจจริง
“ขอบพระคุณ พระเจ้าผู้ยิ่งใหญ่ ความเมตตาที่พระองค์ประทานมาให้ ทำให้ข้าบรรลุเป้าหมายได้มากมายเหลือเกิน”
พระผู้เป็นเจ้าจะรู้หรือไม่ว่าบทอวยพรที่ไม่อาจฆ่าและไม่อาจตายที่พระองค์ประสาทให้แก่นักบุญหญิงมันได้กลายเป็นข้อผูกมัดแบบใด หากว่าพระองค์รู้ คนอย่างเขาคงไม่ได้มีชีวิตอยู่เช่นนี้ คาร์ลขอบคุณพระเจ้าซึ่งดำรงอยู่ไปวันๆ อีกครั้ง
ระหว่างที่กำลังเอ่ยทักทายเหล่านักบวชอยู่นั้น คาร์ลก็เห็นนักบวชที่ไม่เดินเข้ามาหาเขาและหมุนตัวออกไป เป็นหนุ่มวัยฉกรรจ์รูปร่างสูง เจ้าของเส้นผมสีน้ำตาลสั้น เสื้อผ้าที่เขาใส่คือชุดนักบวชทั่วไปที่มีระดับต่ำที่สุดแม้ในบรรดานักบวชด้วยกัน
คาร์ลขอเวลาเหล่านักบวชรอบข้างสักครู่ ก่อนจะเดินไปหาเขา
“ไม่เจอกันนานเลยนะ อาริค”
“…ไม่ได้พบกันนานเลย คาร์ล”
ทันทีที่คาร์ลเอ่ยเรียกตน ชายหนุ่มที่ถูกเรียกว่าอาริคก็ใบหน้าเคร่งขรึมขึ้นมาพลางจ้องมองกลับ เขาไม่มีสีหน้ายินดีใดๆ เลย อีกทั้งแม้ทุกคนจะเอ่ยเรียกคาร์ลผู้เป็นเพียงนักบวชทั่วไปว่าท่านนักบวชและก้มหัวให้ แต่อาริคกลับไม่ก้มหัว และไม่เรียกยกย่องด้วยคำว่าท่านนักบวช
นั่นไม่อาจถือโทษได้ เพราะคาร์ลยังไม่ได้กลับคืนสู่ตำแหน่งใดๆ อย่างเป็นทางการ ดังนั้นอาริคและคาร์ลจึงเป็นนักบวชทั่วไปเหมือนกันและเขาไม่มีเหตุผลให้ต้องเอ่ยเรียกยกย่องคาร์ล ทว่าคาร์ลรู้ดีว่าไม่ใช่เพียงแค่เพราะเหตุผลนั้นที่ทำให้อาริคปฏิบัติตัวกับตนแบบนี้
นอกจากส่วนสูงที่ค่อนข้างสูงแล้ว อาริคก็เป็นคนที่ไม่มีจุดเด่นใดๆ เลย เขาเป็นนักบวชที่ไร้ตัวตนจนหากมีใครได้ยินชื่อก็จะเอ่ยถามว่า *‘นั่นคือใครน่ะ’*และคิดอยู่ชั่วครู่ และต้องมีคนบอกว่า *‘นักบวชคนที่ตัวสูงคนนั้น’*จึงจะได้รับคำตอบกลับมาหลังจากนั้นสักพักว่า ‘อ๋ออ๋อ จำได้แล้ว ที่เงียบๆ ใช้ไหม’
ด้วยเหตุนั้นคาร์ลถึงได้ไม่เข้าใจเลยว่าทำไมนักบุญหญิงจึงชอบผู้ชายเช่นนี้
นักบุญหญิงเห็นเขาเป็นดั่งพ่อแม่ อาจารย์และเพื่อน แต่ไม่ได้วางเขาไว้ในตำแหน่งคนรัก
ไม่รู้ตั้งแต่เมื่อไรที่นักบุญหญิงเริ่มตั้งใจหวีผมอย่างน่าประหลาดในวันที่ต้องเข้าร่วมพิธีสวดภาวนาที่ทุกคนมารวมตัวกัน นางตั้งใจจดจำบทสวดภาวนาอันน่าเบื่อและประสาทพรให้แก่เหล่านักบวชทุกคนที่เหลืออยู่จนถึงตอนสุดท้าย
ความเปลี่ยนแปลงนั้น ไม่มีทางที่เขาจะไม่สังเกตเห็น
มันเป็นเรื่องง่ายมากที่จะสัมผัสได้ว่าการประสาทพรที่ไม่สิ้นสุดนั้น ยืดเยื้อเป็นพิเศษเพื่อนักบวชคนหนึ่งที่ชื่อว่าอาริค คาร์ลกัดริมฝีปากอย่างแรงเมื่อตระหนักได้ว่านักบุญหญิงไม่ละสายตาไปจากอาริคที่อยู่ไกลๆ เลย จากนั้นวันต่อมา คาร์ลก็แต่งตั้งให้เขามาเป็นผู้ติดตามของตน ปากกาที่อยู่ในมือของนักบุญหญิงร่วงหล่นลงทันทีที่อาริคเข้ามายืนพร้อมกันกับเขา ท่าทางที่ทำตัวไม่ถูกของนักบุญหญิงตลอดเวลาที่อาริคยืนอยู่ เป็นท่าทางที่ใครเห็นก็รู้ว่านั่นคือหญิงสาวที่เงอะงะเพราะเริ่มมีรักครั้งแรก
คาร์ลย้อนนึกถึงความหลังพลางจับไหล่อาริค มือที่เข้ามาจับของเขาทำให้อาริคตัวแข็งทื่อไป
“ค่อยยังชั่วที่เห็นท่านดูแข็งแรงดี ที่ผ่านมาสบายดีใช่หรือไม่?”
“…”
“ตลอดเวลาที่อยู่ห่างไกลข้าก็ยังเป็นห่วงท่าน ท่าทางที่ดูไร้เรี่ยวแรงเป็นพิเศษก่อนข้าจากไปมันคอยกวนใจอยู่เสมอ ถ้าหากว่ามีปั…”
ปัก!
ได้ยินดังนั้นอาริคก็ปัดมือคาร์ลออกอย่างแรง อาริคตัวสั่นสะท้านพลางจ้องคาร์ลเขม็ง
เขาขยับปากขึ้นลงอยู่สักพัก ก่อนจะจากไปราวกับวิ่งหนี คาร์ลยังคงยิ้มและจ้องมองเขา วันนั้นอาริคก็เป็นเช่นนี้
“ท่านนักบวชคาร์ล? นักบวชคนนั้น…”
“อ้อ เป็นคนที่เคยสนิทกันเมื่อก่อนน่ะ เช่นนั้นแล้วพวกเราเข้าไปในห้องประชุมกันเลยดีไหม”
นอกจากนักบุญหญิงแล้ว บางทีในวิหารหลวงแห่งนี้ อาริคคงเป็นเพียงคนเดียวที่สังเกตเห็นธาตุแท้ของเขา ทว่าคาร์ลก็ไม่ได้แตะต้องเขา อย่างไรก็ไม่ใช่คนที่มีความสนิทสนมอะไรเป็นพิเศษกับเหล่านักบวชคนอื่นและการที่อาริคมีสภาพแบบนั้นกลับเป็นประโยชน์แก่ตัวเขามากกว่า
‘ควรสนใจการประชุมวันนี้มากกว่าอาริคดีกว่า’
การประชุมวันนี้เป็นการประชุมที่จัดขึ้นอย่างเร่งด่วนเพื่อดำเนินการคัดเลือกผู้อาวุโสที่ถูกหยุดไป
‘การค้นหาต้นกำเนิดของพลังเวทไม่ใช่งานที่จะเสร็จสิ้นในไม่กี่วัน’
เขาไม่สามารถรอคอยอยู่แบบนี้ได้ ไม่รู้ว่าเขาเฝ้าคอยที่จะได้พบนักบุญหญิงอีกครั้งจากที่ห่างไกลนั้นมามากเพียงใดแล้ว เขาอยากกลับไปอยู่เคียงข้างนางเร็วๆ อยากพบหน้าสิ่งที่ตนเลี้ยงมาและเหยียบย่ำลงไปอีกครั้ง
คนที่ต่างจากตน คนที่ได้รับความรักจากพระผู้เป็นเจ้า
‘คนที่เหลือไม่มีปัญหาใหญ่อะไร…’
ระหว่างที่คาร์ลกำลังมุ่งหน้าเข้าไปด้านใน ฝั่งตรงข้ามก็มีคนยกมือทักทายเขาและเดินเข้ามาใกล้ราวกับยินดี เป็นองค์ชายรัชทายาทเลออน
“อรุณสวัสดิ์ นักบวชคาร์ล”
องค์ชายรัชทายาทเลออนยิ้มแย้มต่างจากคราวก่อน
ในตอนนั้นเขาเปิดประตูเข้าไปพร้อมกับเหล่านักบวช และพบองค์ชายรัชทายาทเลออนมองมาในสภาพไม่เรียบร้อย ณ เวลานั้นคาร์ลไม่เข้าใจเลยว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น นักบุญหญิงและราธบันที่สมควรจะอยู่ในห้องกลับไม่อยู่ เลออนมีสีหน้าเยือกเย็นอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะทำสัญญาณมือสั่งให้เหล่านักบวชปิดประตู จากนั้นก็เอ่ยปากพูดกับคาร์ลที่เหลืออยู่คนเดียว
“นี่มันหมายความว่าอย่างไร? มิใช่ว่าเจ้าบอกว่าหาสถานที่ให้ข้าได้พบนักบุญหญิงได้แล้วหรอกหรือ ให้ตาย แล้วทำไมถึงได้ลากเหล่านักบวชมาเป็นพรวนแบบนั้น? นี่ถ้ามีอะไรผิดพลาด ข้าก็คงโดนเห็นสภาพที่ไม่น่าดูแล้ว”
พอได้เห็นเลออนเป็นเช่นนั้น ใบหน้าของคาร์ลก็เคร่งขรึมขึ้น แม้มันจะเจือจางลงเพราะหน้าต่างที่เปิดกว้าง แต่เขาก็ยังได้กลิ่นของการร่วมรักอย่างเลือนราง ทันใดนั้น ราวกับตระหนักถึงความคิดของคาร์ลได้ องค์ชายรัชทายาทจึงเคาะไปที่ส่วนล่างของตนแล้วกล่าวอย่างเขินอาย
“เห็นท่านไม่มาเสียที ข้าก็เลยผ่อนคลายอยู่คนเดียวไปหน่อย”
“…”
สำหรับองค์ชายรัชทายาทผู้นี้ คาร์ลพูดอะไรไม่ออกเลยแม้แต่น้อย คนที่ปิดปากเขาด้วยวิธีเช่นนี้มีให้เห็นไม่มาก
“ข้าได้ยินเสียงก็นึกว่าท่านนักบุญหญิงมา เลยรีบแต่งตัวจนมีสภาพเป็นเช่นนี้…แต่ไหนล่ะท่านนักบุญหญิง? ทำไมท่านถึงไม่มาด้วย?”
นั่นก็เป็นคำถามที่คาร์ลอยากถาม เขาตรวจสอบแล้วว่านักบุญหญิงกับราธบันเข้ามาด้านใน แต่นี่กลับไม่มี? เขามองดูหน้าต่างที่เปิดอยู่ รวมถึงพลังงานแปลกประหลาดที่เขาสัมผัสได้อย่างเลือนรางก่อนที่จะเข้ามา
ความคิดของคาร์ลแล่นอย่างรวดเร็ว ก่อนอื่นต้องเข้าใจเลออนอย่างถ่องแท้เสียก่อน องค์ชายรัชทายาทกำลังโกหกตนอยู่หรือเปล่า? หากเป็นเช่นนั้นแล้วนักบุญหญิงกับราธบันไปแอบอยู่ที่ไหนกันแน่?
องค์ชายรัชทายาทจับไหล่คาร์ลก่อนที่เขาจะได้ทำความเข้าใจสถานการณ์ จากนั้นก็กระซิบข้างหู
“นักบวชคาร์ล ข้าต้องการนักบุญหญิงจริงๆ ข้าไม่มีเวลามาล้อเล่นกับเรื่องไร้สาระแบบนี้หรอกนะ”
เห็นได้ชัดว่าเสียงทุ้มต่ำที่แฝงไปด้วยความโกรธเป็นสิ่งที่ออกมาจากใจจริง คาร์ลไม่แม้แต่จะตอบอะไรกลับไป องค์ชายรัชทายาทตบไหล่เขาเบาๆ ราวกับหยอกล้อก่อนจะเดินไปทางประตู
“คราวหน้าข้าหวังว่าจะได้พบเจ้าในตอนที่อารมณ์ดีกว่านี้นะ”
พูดจบ องค์ชายรัชทายาทก็ออกจากห้องไป พอเหลืออยู่คนเดียว คาร์ลก็ตรวจสอบทุกซอกทุกมุมในห้องรับรอง แต่เขาก็ไม่พบนักบุญหญิงหรือราธบันที่ไหนเลย
“นักบวชคาร์ล?”
“อา ขออภัยขอรับ”
“คนอื่นกำลังพูดอยู่ แต่เจ้ากลับคิดเรื่องอื่น มันไม่เกินไปหน่อยหรือ”
เมื่อเห็นท่าทางถากถางอย่างไร้มารยาทขององค์ชายรัชทายาท คาร์ลก็ฉีกยิ้มเหมือนที่ทำเป็นประจำ
“แต่ก็ เจ้าเองก็คงวุ่นวายใจเช่นกัน เพราะมาเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นก่อนจะได้กลายเป็นผู้อาวุโส”
“ข้ายังเป็นเพียงแค่ผู้เข้าคัดเลือกเท่านั้น ยังมิได้ถูกกำหนดให้เป็นผู้อาวุโสคนต่อไปขอรับ”
แต่ก็ใกล้ได้เป็นแล้วล่ะ คาร์ลเก็บคำพูดนั้นไว้ในใจ
“อืม แต่ข้าคิดว่าเป็นเจ้านะ เอาเป็นว่าที่ข้ามาหาเจ้าเช่นนี้ เป็นเพราะข้ารู้สึกเสียดายนิดหน่อยที่คราวก่อนกลับไปทั้งที่ยังไม่ได้ทักทายกันดีๆ อย่างไรในอนาคตจักรวรรดิและวิหารหลวงก็ต้องมีสัมพันธ์อันชิดใกล้ต่อไป คงจะมาทำลายงานใหญ่เพราะความใจแคบไม่ได้ ในอนาคตก็ฝากเนื้อฝากตัวด้วยนะ”
คาร์ลจ้องมองมือที่องค์ชายรัชทายาทส่งมา องค์ชายรัชทายาทยังคงต้องการนักบุญหญิง เช่นนั้นแล้วการดึงเขามาฝั่งตนและรักษาความสนิทสนมไว้จะดีกว่า ในวิหารหลวงคือโลกของเขาก็จริงแต่ภายนอกนั้นเป็นของจักรวรรดิ หากตั้งใจแน่วแน่ที่จะรักษาโลกที่เรียกว่าวิหารหลวง เขาก็จะเมินเฉยจักรวรรดิไม่ได้
ขณะที่คาร์ลคิดเช่นนั้นและกำลังจะจับมือขององค์ชายรัชทายาทนั่นเอง
“ท่านนักบวชคาร์ล!”
นักบวชคนหนึ่งวิ่งมาอย่างหอบเหนื่อยจากที่ไกลๆ
“เกิดอะไรขึ้นหรือ?”
นักบวชหายใจเสียงหอบแฮ่กๆ คาร์ลถามขึ้นทันทีที่นักบวชหยุดลงตรงหน้าเขา สีหน้าของนักบวชที่วิ่งมาไม่ปกติ
“กะ เกิดเรื่องใหญ่แล้วขอรับ ตอนนี้หน่วยอัศวินแห่งวิหาร บ้านพัก…บ้านพักของท่านนักบวชคาร์ล…”
“บ้านพักของข้ามันทำไมหรือ?”
คาร์ลถามกลับด้วยความอึดอัดใจ นักบวชคนที่วิ่งมาก็ตะโกนขึ้น
“พวกเขาทำมันเละไปหมดแล้วขอรับ!”