บทที่ 287 ยืมตัว
ศาสนาพุทธทรงพลังมากเพียงนั้น เหตุใดอยากผนึกคนทรยศในต้าฟ่งล่ะ บางทีซังผอแห่งต้าฟ่งอาจมีสิ่งพิเศษบางอย่าง หรือปัญหาอาจจะอยู่ที่ตัวไต้ซือเสินซูเองก็เป็นได้…
สวี่ชีอันลังเล แต่ก็อดไม่ได้ที่จะถามสิ่งที่ตนสงสัยออกไป
“ข้าเป็นเพียงคนธรรมดา ไม่ทราบเรื่องราวภายในเหล่านี้” เว่ยเยวียนส่ายหัวเป็นเชิงว่าตนก็ไม่ทราบเช่นกัน
“สวี่หนิงเยี่ยน ปีนี้เจ้าอายุยี่สิบแล้วสินะ” เว่ยเยวียนถามอย่างกะทันหัน
“ใช่ขอรับเว่ยกง” สวี่ชีอันผงะไปครู่หนึ่ง สงสัยว่าเหตุใดประโยคเปิดหัวข้อนี้จึงรู้สึกคุ้นเคยอย่างแรงกล้าราวกับเคยได้ยินมาก่อน
และแล้วก็ได้ยินประโยคต่อมาของเว่ยเยวียนตามที่คาด “เช่นนั้นก็ถึงเวลาออกเรือนแล้วสิ”
อายุขัยของมนุษย์ในโลกนี้ค่อนข้างยืนยาวทีเดียว หากมิได้ประสบกับภัยธรรมชาติและภัยจากน้ำมือมนุษย์ ก็อยู่ได้สบายๆ ไม่ต้องเดือดร้อนจนถึงอายุหกสิบปี แม้แต่วัยเจ็ดสิบหรือแปดสิบก็มีให้เห็นถมเถ
ดังนั้นจึงมีช่วงวัยในการแต่งงานที่กว้าง ผู้หญิงบางคนแต่งงานตั้งแต่อายุสิบสี่ปี ปทุมถันไม่ทันตั้งเต้า บั้นท้ายยังไม่งอนงาม ถ้าพูดให้จี้ใจดำดูแล้วช่างน่าขัน
ผู้หญิงบางคนอายุยี่สิบกว่าแล้วยังได้แต่เฝ้าคอยคู่ครอง ไม่เคยสัมผัสความรัก เมื่อใดยอดรักจะมาสอนเป่าปี่ให้เสียที น่าเสียดาย น่าเสียดาย
รอบกายสวี่ชีอันมีตัวอย่างให้เห็นอยู่มากมาย ทั้งอาสะใภ้ผู้ออกเรือนตั้งแต่อายุสิบหก และฮว๋ายชิ่งที่อายุยี่สิบห้าแล้วก็ยังไม่ประสาในความรัก
หากเป็นปัญหาเรื่องอายุขัย สวี่ชีอันก็อดไม่ได้ที่จะเกิดข้อสงสัยในใจ ปราชญ์ลัทธิขงจื๊ออายุเพียงแปดสิบสองปีก็ลาโลกเสียแล้ว ช่างไม่สมเหตุสมผลเสียเลย
อย่างไรก็ตามเว่ยเยวียนเป็นนกกระจอกที่ไร้กำลังแห่งชายชาตรี ช่างน่าเบื่อหน่าย และไม่มีความจำเป็นที่จะต้องถกประเด็นขั้นสูงเช่นนี้กับเขา
สวี่ชีอันกล่าวลองเชิง “เว่ยกง หมายความว่าอย่างไรหรือขอรับ”
“ผู้ตรวจการราชสำนักฝ่ายขวามีหลานสาวอยู่คนหนึ่ง ถึงวัยออกเรือนพอดี หน้าตางดงามหมดจด” เว่ยเยวียนกล่าว
“งดงามหมดจด เกรงว่าคงจะไม่คู่ควรกับข้าน้อยหรอกขอรับ” สวี่ชีอันส่ายหน้า
“นางเป็นบุตรสาวคนที่สี่ของตระกูลเหวยไห่ป๋อ ในปีนี้อายุสิบเจ็ดปี เหวยไห่ป๋อคิดจะหาคู่ครองให้กับนาง เจ้าเป็นจื่อ ย่อมคู่ควรอย่างแน่นอน” เว่ยเยวียนกล่าว
“ข้าน้อยมิได้โอ้อวดตนแต่อย่างใด แต่บุตรสาวตระกูลป๋อ ไม่คู่ควรกับข้าน้อยจริงๆ ขอรับ” สวี่ชีอันยังคงส่ายหน้า
“แล้วหลานสาวของผู้ว่าการสำนักขนส่งเล่า ข้ากำลังขาดทุนรอน หากเจ้าเกี่ยวดองกับตระกูลของเขาได้ ก็นับว่าช่วยแก้ปัญหาเร่งด่วนของข้าได้” เว่ยเยวียนจ้องมองที่เขา
ไม่ แม้ว่าข้าจะล้อเล่นว่าข้าเป็นขันทีรุ่นที่สอง แต่เจ้าไม่ใช่พ่อของข้าจริงๆ อีกทั้งความปรารถนาในการแต่งงานการเมืองก็ชัดเจนเกินไป…สวี่ชีอันครุ่นคิด แล้วเอ่ยถาม “สวยหรือไม่”
“น่ารักน่าเอ็นดูทีเดียว” เว่ยเยวียนกล่าว
ได้ยินคำว่า ‘น่ารักน่าเอ็นดู’ สวี่ชีอันก็กดปุ่มขอผ่านทันที ส่ายหน้ารัวๆ
“ด้วยความสัตย์จริง ตอนนี้ข้าน้อยเก็บหอมรอบริบได้เงินมาไม่น้อย วางแผนว่าจะไถ่ตัวเหล่าคณิกาในสำนักสังคีตออกมา หากภรรยาเอกของข้าหน้าตาแค่น่ารักน่าเอ็นดู เกรงว่าจะสู้สาวๆ สวยเผ็ดเด็ดสะระตี่เหล่านี้ไม่ได้หรอกขอรับ”
เว่ยเยวียนขมวดคิ้ว “เช่นนั้นเจ้าต้องการหญิงเช่นไรมาเป็นภรรยาเล่า หรือว่าเจ้ามีคนที่หมายปองต้องใจแล้ว”
คนที่หมายปองต้องใจ เกรงว่าคงจะมีมากเกินไป…สวี่ชีอันไตร่ครอง “ประการแรกคือต้องสวยปานนางสวรรค์ ประการที่สองต้องมีฐานะสูงส่ง และสุดท้ายต้องมีพรสวรรค์ล้นเหลือ ช่วยเหลือได้ทั้งงานนอกบ้านและในครัว”
เว่ยเยวียนยิ้ม “เช่นนั้นก็ให้ข้าทูลขอพระราชสาส์นอภิเษกสมรสกับองค์หญิงให้เจ้าไม่ดีกว่าหรือ”
สวี่ชีอันตื่นเต้นเล็กๆ “เว่ยกง ท่านพูดจริงหรือ”
เว่ยเยวียนพยักหน้าและชี้ไปที่ประตู
“เว่ยกงจะสั่งอะไรหรือขอรับ”
“ไสหัวไปซะ”
…
หลังจากถูกเว่ยเยวียนไล่ออกจากหอเฮ่าชี่ สวี่ชีอันไม่ได้กลับไปที่ห้องอี้เตาของตน แต่กลับไปที่ห้องชุนเฟิงที่เพิ่งซ่อมแซมใหม่แทน
หลี่อวี้ชุนกำลังจะพาซ่งถิงเฟิง จูกว่างเสี้ยวและฆ้องทองแดงอีกหลายนายออกลาดตระเวน เมื่อคืนภิกษุสมณศักดิ์สูงแห่งสำนักพุทธออกอาละวาดเสียวุ่นวายใหญ่โต พอรุ่งเช้า ชาวเมืองก็พากันเอ่ยถึงเรื่องนี้ไม่หยุดหย่อน
บ้างก็ประหลาดใจในพลังของภิกษุสมณศักดิ์สูงแห่งสำนักพุทธ บ้างก็กล่าวว่าสำนักพุทธเป็นพวกปลิ้นปล้อนหลอกลวง และหวังว่าราชสำนักจะยกทัพไปปราบปรามเสียที
เรื่องนี้เป็นหัวข้อสนทนาในเช้าวันนี้ ตั้งแต่เหล่าชนชั้นสูงจนถึงชาวบ้านร้านตลาด
ดีที่ยุคนี้ไม่มีอินเทอร์เน็ต มิเช่นนั้นชาวต้าฟ่งทั้งหลายคงพร้อมใจกันตะโกนลั่น ‘ไปเอาแป้นพิมพ์มา[1]!’
แล้วคงเปิดศึกกับสำนักพุทธแดนประจิมบนแป้นพิมพ์ได้ประมาณสามร้อยรอบ
เพื่อป้องกันไม่ให้ชาวยุทธ์ฉวยโอกาสก่อความวุ่นวายหรือเผยแพร่ข่าวลือ ที่ทำการปกครองจึงได้ยกระดับมาตรการลาดตระเวน
“ช้าก่อน ช้าก่อน!”
สวี่ชีอันหยุดหลี่อวี้ชุนและคนอื่นๆ ทันที และกลับไปยังห้องอี้เตาเพื่อไปเรียกฆ้องทองแดงใต้บังคับบัญชาของตนมาสมทบ ทหารสิบกว่านายเดินอาดๆ ลาดตระเวนไปตามถนนอย่างไม่สนหน้าอินทร์หน้าพรหม
หลังจากลาดตระเวนมาเป็นเวลาครึ่งชั่วยาม ก็เดินผ่านหอคณิกา สวี่ชีอันจึงกล่าวขึ้นมา “หัวหน้า ท่านพาคนของข้าไปลาดตระเวนทางนั้นที ข้ากับถิงเฟิงและกว่างเสี้ยวจะไปทางนี้เอง”
หลี่อวี้ชุนถามกลับ “เหตุใดจึงจัดแจงให้มากความเช่นนี้เล่า เจ้าพาคนของเจ้าไป ข้าจะพาคนของข้ามา ไม่เห็นต้องทำให้วุ่นวาย”
สวี่ชีอันครุ่นคิดก่อนจะกล่าว “ถ้าเช่นนั้นหัวหน้า ท่านพาฆ้องทองแดงไปลาดตระเวนอีกทาง ส่วนข้าจะพาพี่น้องของข้าไปอีกทาง แค่นี้ก็ไม่วุ่นวายแล้วสินะ”
ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง หลี่อวี้ชุนก็รู้สึกดีขึ้น จึงพยักหน้าแล้วเอ่ย “เช่นนั้นก็ไปเถิด”
รอจนกระทั่งหลี่อวี้ชุนและคนอื่นๆ จากไปจนลับตาแล้ว สวี่ชีอันก็พาสหายร่วมหน่วยทั้งสองตรงสู่หอคณิกา
พวกเขาขอที่นั่งชั้นสองด้วยความคุ้นชิน เรียกสาวสวยมาปรนนิบัติสองสามคน สามสหายกินอาหารเคล้าเสียงเพลง และชมการร่ายรำ ราวกับย้อนวันวานกลับไปยังตอนที่ออกลาดตระเวนแรกๆ
“หนิงเยี่ยน”
ซ่งถิงเฟิงกล่าวอย่างละเหี่ยใจ “ข้าอุตส่าห์กลับตัวกลับใจแล้วแท้ๆ เหตุใดข้างกายจึงมีแต่เพื่อนสำมะเลเทเมาด้วยนะ”
เอาน่า พวกข้ารู้กันหมดแล้วว่าเจ้ายังเป็นไอ้หนุ่มคนดีคนเดิม! สวี่ชีอันเกียจคร้านเกินกว่าจะแดกดันเขา จึงฟังเพลงอย่างตั้งอกตั้งใจ พลางอ้าปากรอให้แม่สาวสวยข้างกายป้อนถั่วลิสงเข้าปาก
โบราณท่านว่า ความขยันเป็นอนิจจา ความเกียจคร้านสิคือนิรันดร์
ในระหว่างการปราบปรามกลุ่มโจรในอวิ๋นโจว เนื่องจากสถานการณ์บีบบังคับ ทำให้ซ่งถิงเฟิงต้องฝึกตนอย่างขันแข็งไม่หยุดไม่หย่อนแม้สักวัน แต่เมื่อกลับมายังเมืองหลวงที่ฟุ้งเฟ้อด้วยเงินตราและน้ำเมา ทำให้นิสัยเอื่อยเฉื่อยและสัญชาตญาณรักสนุกนั้นถูกกระตุ้นขึ้นมาอีกครั้ง
อย่างไรก็ตาม เมื่อเทียบกับเมื่อก่อน ซ่งถิงเฟิงดูสงบและแน่วแน่ขึ้นมาก อีกทั้งยังขยันฝึกตนยิ่งกว่าเมื่อก่อน ซึ่งถือว่าเป็นสิ่งที่ดี
‘เพล้ง!’
เสียงแก้วแตกดังมาจากชั้นล่าง จอมยุทธ์ขี้เมาผู้หนึ่งเขวี้ยงจอกเหล้าทิ้งและยืนขึ้น สะอึกไปพลาง ชี้หน้าด่ากราดผู้คนโดยรอบไปพลาง
“ข้าได้ยินกิตติศัพท์มานานแล้วว่าคนเมืองหลวงใช้ชีวิตฟุ่มเฟือยกันจนเป็นปกติ ตั้งแต่เจ้าขุนมูลนายไปจนถึงรากหญ้า ล้วนแต่เห็นแก่ความสุขสบายทั้งนั้น ทีแรกข้าก็ไม่เชื่อ แต่คราวนี้ได้มาเยือนเมืองหลวง ในช่วงสิบวันมานี้ สิ่งที่เห็นผ่านตามากที่สุดก็คือนิสัยสำมะเลเทเมา”
“สังเวียนผู้กล้าตั้งแต่เหนือจรดใต้ พวกพระสารเลวมันแผลงฤทธิ์แสดงอำนาจไปทั่ว แต่ผ่านมาตั้งกี่วันแล้ว กลับไม่มียอดฝีมือหน้าไหนกล้าต่อกร ได้แต่มองดูอย่างขี้ขลาดตาขาว เมื่อคืนยอดฝีมือแห่งศาสนาพุทธอัญเชิญร่างธรรมออกมา เหยียบเมืองหลวงแห่งต้าฟ่งท้าทายท่านโหราจารย์แห่งสำนักโหราจารย์ของเรา เราทนได้หรือ”
สหายของเขากุลีกุจอเข้าไปลากตัว โยนเศษเงินเล็กน้อย แล้วลากเขาไปจากหอคณิกาอย่างทุลักทุเล
การขับลำนำยังคงดำเนินต่อไป แต่ทว่าหัวข้อสนทนาของเหล่าแขกเหรื่อ กลับกลายเป็นเรื่องของสมณทูต
“พวกศาสนาพุทธมันช่างเหิมเกริมเสียจริง ต้าฟ่งได้ทำลายศาสนาพุทธไปตั้งสี่ร้อยปีแล้ว พวกมันยังกล้ากลับเข้ามาจาริกในเมืองหลวงอีก ไม่รู้ว่าเมืองทางเหนือจะผู้คนกี่มากน้อยที่หลงเชื่อไปกับศาสนาพุทธพวกนี้ ข้าได้ยินมาว่าบางคนบริจาคทรัพย์สมบัติจนถึงขั้นหมดเนื้อหมดตัว ถึงกับจะสร้างอารามให้พวกภิกษุทีเดียว”
“ราชสำนักก็ไม่สนใจ สงสัยต้าฟ่งคงกลัวว่าจะล้มศาสนาพุทธไม่ได้กระมัง นึกถึงเมื่อยี่สิบปีก่อนเหลือเกิน ที่สงครามด่านซานไห่ ต้าฟ่งยิ่งใหญ่เกรียงไกรถึงเพียงใด”
“คงกลัวไปหักหน้าพันธมิตรเข้ากระมัง…เฮ้อ ทว่ามาบัดนี้ นับวันราชสำนักก็ยิ่งจะถดถอย”
“จุ๊ๆ อย่าไปเที่ยวพล่ามไร้สาระเช่นนี้ที่ไหนเชียว”
“ยังไม่ต้องกล่าวถึงการโจมตีเมื่อคืน นั่นน่ะเป็นถึงฝีมือของเทพเซียน แต่ว่า ขนาดสามเณรจากแดนประจิมมาปักหลักในสังเวียนนานถึงห้าวัน ก็ไม่เห็นมีจอมยุทธ์หน้าไหนออกหน้าเลย ต้าฟ่งสิ้นยอดฝีมือแล้วหรืออย่างไร”
ซ่งถิงเฟิงวางจอกเหล้าลง แล้วผลักสาวสวยที่อิงแอบในอ้อมอกออกไป สบถเสียงต่ำ “น่าอดสูนัก!”
“พวกเราดื่มกันเถิด อย่าไปสนเรื่องกวนใจเช่นนี้เลย ต่อให้ฟ้าถล่มดินทลายก็ไม่เกี่ยวข้องกับเรา” สวี่ชีอันหัวเราะ
พวกไต้ซือทั้งหลายควรพยายามหนักขึ้น เอาให้จักรพรรดิหยวนจิ่งอับอายขายขี้หน้ากว่าเดิมถึงจะถูก จะให้ดีต้องให้ถึงขั้นจารึกในประวัติศาสตร์ว่า ‘ปีหยวนจิ่งที่สามสิบเจ็ด สมณทูตแดนประจิมบุกเข้าเมืองหลวง สามเณรท้ารบในสังเวียนติดกันห้าวัน หาได้ปราชัยแม้เพียงครั้ง ภิกษุเฒ่าแปลงกายเป็นร่างธรรม ท้าทายราชสำนัก’
เหอะๆ เช่นนั้นประวัติศาสตร์ดำมืดก็จะติดตัวจักรพรรดิหยวนจิ่งเพิ่มขึ้นอีกหนึ่งเรื่อง
ในตอนนั้นเอง เจ้าหน้าที่พลเรือนจากที่ว่าการเมืองพร้อมด้วยฆ้องทองแดงก็วิ่งผ่านไป พร้อมกับตีฆ้องร้องป่าว “สำนักโหราจารย์จะเปิดศึกกับสมณสงฆ์ สำนักโหราจารย์จะเปิดศึกกับสมณสงฆ์”
“ทุกคนไปดูประกาศราชสำนักที่กระดานข่าว ทุกคนไปดูประกาศราชสำนักที่กระดานข่าว”
…
เมื่อสวี่ชีอันนำซ่งถิงเฟิงและจูกว่างเสี้ยวไปถึงหน้าประตูเมืองชั้นใน จัตุรัสอันกว้างขวางก็คลาคล่ำไปด้วยชาวเมืองและชาวยุทธ์ที่มาจากทั่วทุกสารทิศ
ทหารผู้พิทักษ์เมืองหลวงและหน่วยลาดตระเวนยามวิกาลหลายนายทำหน้าที่รักษาความสงบเรียบร้อย
สวี่ชีอันถอดดาบออกจากฝัก แล้วใช้ฝักดาบฟาดใส่อย่างใจร้อน ผลักไสชาวยุทธ์ออกไป ช่วยดูแลความสงบเรียบร้อยอีกแรง พร้อมกับฟังคนที่อยู่แถวหน้าอ่านประกาศ
เนื้อหาประกาศแสนจะเรียบง่าย ความหมายโดยรวมก็คือ ราชสำนักขอต้อนรับสมณทูตจากแดนประจิมอันไกลโพ้นอย่างอบอุ่น หลังจากปรึกษาหารือกันฉันมิตร และได้กำหนดแนวทางพัฒนาความสัมพันธ์สองดินแดนให้แน่นแฟ้น ให้ทุกคนก้าวหน้าไปพร้อมกัน ร่วมแรงร่วมใจให้บ้านเมืองเฟื่องฟู
อนึ่ง ภิกษุสมณศักดิ์สูงจากแดนประจิมต้องการประลองกับสำนักโหราจารย์ เพื่อเป็นการแลกเปลี่ยน ‘ทักษะวรยุทธ์’ ทั้งนี้สำนักโหราจารย์ให้การตอบรับอย่างยินดี ทั้งสองฝ่ายจะจัดการประลองขึ้น ณ จัตุรัสหอดูดาวในวันรุ่งขึ้น ประชาชนทั่วไปสามารถเข้าชมได้ด้วยตนเองในวันเวลาดังกล่าว
สมกับเป็นประกาศราชสำนัก พูดจาหลักลอยเลื่อนเปื้อน แต่ไม่ยักบอกว่าจะประลองกันแบบไหน…ว่าแต่ เหตุใดจึงเคลื่อนไหวเป็นการใหญ่โตเอิกเกริกเช่นนี้ นี่เป็นคำขอของไต้ซือตู้เอ้อร์หรือ
ขณะที่กำลังครุ่นคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้ ก็พบว่าหลี่อวี้ชุนพาลูกน้องมาที่นี่ด้วย คิดว่าเขาคงอยู่ใกล้ๆ เมื่อได้ยินเสียงประกาศของเจ้าหน้าที่พลเรือนแห่งที่ว่าการเมือง จึงตามมาสังเกตการณ์
“หัวหน้า!”
สวี่ชีอันทักทาย
เมื่อหลี่อวี้ชุนได้เห็นการรักษาความสงบเป็นไปอย่างเรียบร้อย ก็กล่าวอย่างโล่งอก “ตั้งแต่กลับมาจากอวิ๋นโจว พวกเจ้าทั้งสามก็สลัดความเกียจคร้านที่เคยมี และเป็นผู้เป็นคนขึ้นมาแล้วสินะ”
“แสดงว่าพวกเราเติบโตขึ้นแล้วขอรับ” สวี่ชีอันตอบด้วยรอยยิ้ม
…
ยามเที่ยงตรง ดวงตะวันฉายแสงเจิดจ้า บริเวณจัตุรัสใหญ่นอกสำนักโหราจารย์ติดตั้งซุ้มไม้เอาไว้ เพื่อเป็นที่รับรองของบรรดาเจ้านายชั้นสูงของเมืองหลวง
ทหารรักษาพระราชวังมากกว่าหนึ่งพันนายล้อมรอบจัตุรัส ห้ามไม่ให้ผู้ใดเข้าใกล้
หากชาวเมืองและชาวยุทธ์ต้องการชมการประลอง ก็สามารถรับชมได้จากภายนอกเท่านั้น
หลังจากฉันเพลแล้ว สมณทูตแดนประจิมนำโดยไต้ซือตู้เอ้อร์ก็เดินทางจากจุดพักเปลี่ยนม้าซานหยางในเมืองชั้นนอก ผ่านฝูงชนที่พลุกพล่านในตัวเมือง จนมาถึงบริเวณจัตุรัสนอกหอดูดาว
ฉู่ไฉ่เวยยืนอยู่ข้างแท่นแปดทิศ มองลงมาเห็นคณะสงฆ์ที่ค่อยๆ เคลื่อนขบวนไป ร่างของคนในชุดสีเขียวปะปนไปกับคนในชุดสีเหลืองแดง
ผู้ที่นำขบวนคือพระอรหันต์ตู้เอ้อร์ เนื้อตัวผ่ายผอมผิวกร้านคล้ำ ลักษณะเหมือนชายชราตัวจ้อย
“ท่านอาจารย์ พวกภิกษุมาถล่มถึงที่แล้วนะ” ฉู่ไฉ่เวยพูดไปพลาง ก็ล้วงเอาขนมออกมาจากกระเป๋า มองดูอย่างสนอกสนใจ
“มาก็มาสิ”
ท่านโหราจารย์จิบเหล้าเล็กน้อย อาบแดดอย่างสบายอารมณ์ต่อ
“ท่านอาจารย์จะต่อสู้ด้วยตนเองหรือไม่เจ้าคะ”
“ไฉ่เวยเอ๋ย หากอาจารย์ลงมือ พระโพธิสัตว์คงต้องลงมาปราบเองแล้วล่ะ ตู้เอ้อร์ต้องการประลองกับข้า ไม่ใช่สู้กับข้า”
“แล้วท่านจะส่งใครลงสนามล่ะเจ้าคะ” ฉู่ไฉ่เวยเอียงศีรษะและวิเคราะห์ “ศิษย์พี่จงหลี่ถูกโชคร้ายตามหลอกหลอน สังหารศัตรูแปดร้อยคน ตนเองต้องเจ็บหนักแปดพันเท่า”
“ศิษย์พี่ซ่งและตัวข้าเป็นนักเล่นแร่แปรธาตุ ไม่ถนัดเรื่องต่อสู้ ศิษย์พี่สองก็ไม่อยู่ที่เมืองหลวง ก็เหลือแต่ศิษย์พี่หยางเท่านั้นที่ต่อสู้ได้”
ท่านโหราจารย์ถอนหายใจ
“เหตุใดอาจารย์จึงถอนหายใจเล่า”
“น่าเสียดายแท้ๆ ที่ศิษย์พี่หยางของเจ้าหลงผิดตกสู่ทางมารไปแล้วตั้งแต่เมื่อวาน จึงไม่อาจต่อสู้ได้อีก”
“หา?” ฉู่ไฉ่เวยตกตะลึง ทันใดนั้นก็ไม่รับรู้รสขนมในปากอีกต่อไป คิ้วเรียวละเอียดขมวดมุ่น กล่าวอย่างเป็นกังวลใจว่า
“เช่นนั้นจะทำอย่างไรดีล่ะเจ้าคะ”
“อาจารย์เองก็ร้อนรุ่มใจเหมือนกัน จึงอยากให้เจ้าเข้าไปที่พระราชวัง แล้วทูลขอคนจากฝ่าบาทมาสักคนหนึ่ง”
…
ครู่ต่อมา นางก็ควบม้าออกไปในชุดกระโปรงสีเหลือง เร่งรีบเข้าไปยังพระราชวัง
ช่วงเที่ยงเพิ่งคล้อยผ่าน จักรพรรดิหยวนจิ่งกำลังศึกษาพระคัมภีร์ลัทธิเต๋าในอารามรัตนะ สดับฟังราชครูหญิงอธิบายความหมายอันล้ำลึกของพระคัมภีร์ แต่พระองค์กลับไม่สามารถสงบสติอารมณ์ได้ จิตใจล่องลอย
“ฝ่าบาททรงกังวลเรื่องการประลองอยู่หรือเพคะ” ลั่วอวี้เหิงกล่าวเสียงเบา
จักรพรรดิหยวนจิ่งลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะตรัสว่า “ถึงแม้ข้าจะมั่นใจในตัวท่านโหราจารย์อย่างเต็มเปี่ยม แต่คราวนี้สำนักพุทธก็เตรียมตัวมาอย่างดี…หากพ่ายแพ้ในการประลอง เกียรติของต้าฟ่งจะเอาไปไว้ที่ไหน”
“ระบบโหรนั้นค่อนข้างพิเศษ ไม่ให้ค่าของพลังต่อสู้ ดูพึ่งพาไม่ได้สักเท่าไร” ลั่วอวี้เหิงพยักหน้า
ในบรรดาระบบฝึกตนทั้งหมดตอนนี้ ระบบโหรนั้นอ่อนแอที่สุดในแง่ของพลังต่อสู้ สิ่งที่พวกนั้นเชี่ยวชาญมิใช่พลังต่อสู้เฉพาะบุคคล แต่เป็นการเสริมความแข็งแกร่งให้กับพลังแผ่นดิน
ยุทโธปกรณ์ที่เป็นเลิศ ถือเป็นหนึ่งในปัจจัยสำคัญที่ทำให้กองทัพของต้าฟ่งนั้นแข็งแกร่งไร้พ่าย ทั้งอุปกรณ์ปิดล้อมอันแยบยลเหล่านั้น ปืนใหญ่ หน้าไม้ เป็นต้น ล้วนมาจากสำนักโหราจารย์ทั้งสิ้น
นี่คือสิ่งที่ระบบอื่นไม่สามารถทำได้
หมอระดับเก้าช่วยเหลือคนใกล้ตายรักษาคนบาดเจ็บ ทำนองเดียวกัน นักพยากรณ์ระดับแปดและปรมาจารย์ฮวงจุ้ยระดับเจ็ดเชี่ยวชาญในศาสตร์ภูมิลักษณ์และชัยภูมิ สามารถปรับปรุงฮวงจุ้ยได้ สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นทักษะที่ทรงพลังยิ่ง
แม้แต่ปรมาจารย์ค่ายกลระดับสี่ ความจริงแล้วก็เป็นตัวเสริมเช่นกัน สิ่งที่พวกนั้นถนัดมิใช่การต่อสู้ แต่เป็นการปรับแต่งอาวุธเวทมนตร์
โหรต้องพึ่งพาราชวงศ์ ทั้งสองฝ่ายนั้นเอื้อผลประโยชน์ให้แก่กันและกัน
ได้ยินลั่วอวี้เหิงกล่าวเช่นนี้ จักรพรรดิหยวนจิ่งก็ยิ่งเป็นกังวลมากขึ้น
“ฝ่าบาทไม่ลองไปเชิญเจ้าสำนักอวิ๋นลู่มาหรือเพคะ พลังต่อสู้ของทหารนั้นแข็งแกร่งที่สุดในบรรดาระบบหลัก แต่หากจะหาว่าระบบใดที่สมบูรณ์ที่สุดและไม่มีข้อบกพร่อง ก็เห็นจะมีแต่ลัทธิขงจื๊อ ลัทธิขงจื๊อสามารถจัดการกับทุกสถานการณ์ได้ และต่อให้ฝีมือของสำนักพุทธจะแข็งแกร่งเพียงใด ลัทธิขงจื๊อก็สามารถต่อกรได้”
พระเนตรของจักรพรรดิหยวนจิ่งสดใสขึ้นเล็กน้อย แต่แล้วกลับส่ายพระพักตร์ “ท่านราชครู ปีที่แล้วข้าเสนอเจ้าสำนักจ้าวเข้ารับตำแหน่ง แต่เขาปฏิเสธ”
ความหมายที่แท้จริงของเขาก็คือ อย่าได้แตะต้องปัญญาชนแห่งสำนักอวิ๋นลู่นั่นเอง
ในระหว่างการสนทนา ขันทีเฒ่าก็รีบร้อนเข้ามา และกราบทูลว่า “ฝ่าบาท ทางพระราชวังแจ้งว่า ฉู่ไฉ่เวยแห่งสำนักโหราจารย์ ได้รับคำสั่งจากอาจารย์ให้มาเข้าเฝ้าฝ่าบาทพ่ะย่ะค่ะ”
อาจารย์สั่งให้มาเข้าเฝ้า…จักรพรรดิหยวนจิ่งทรงพิจารณาแล้วตรัส “ข้ากำลังฟังคำสอนจากท่านราชครูอยู่ จะไม่กลับไปที่วัง เจ้าจงไปตามนางมาพบข้าที่อารามรัตนะ”
ขันทีเฒ่ารับราชโองการและจากไป
จักรพรรดิหยวนจิ่งทอดพระเนตรไปยังลั่วอวี้เหิง พลางตรัส “ท่านโหราจารย์คงจะสั่งให้มาด้วยเรื่องการประลอง ท่านราชครูเองก็ช่วยฟัง และช่วยชี้แนะที”
แม้ว่าพระองค์จะมีพระเกียรติในฐานะผู้ครองบัลลังก์ แต่ความสามารถช่างต่ำต้อย จึงไม่มีความคิดเป็นของตนเอง จำเป็นต้องมีลั่วอวี้เหิงไว้ให้ความเห็น และช่วยวิเคราะห์อยู่ข้างพระวรกาย
………………………………………………..
[1] ศัพท์สแลงบนอินเทอร์เน็ตจีน ความหมายคือจะเปิดสงครามโต้เถียงกันบนอินเทอร์เน็ต