บทที่ 175 การลาจาก

บทที่ 175 การลาจาก

เฉินซีรู้สึกราวกับว่าเขาได้เข้าสู่โลกแห่งกระบี่ที่อยู่ท่ามกลางสวรรค์และโลก ซึ่งมีกระบี่ที่มีรูปทรงและขนาดต่าง ๆ จำนวนนับไม่ถ้วนลอยอยู่ในท้องฟ้า บางเล่มก็มีไฟลุกโชน บางเล่มก็มีมวลน้ำโอบล้อม บ้างก็ปล่อยสายฟ้าที่ส่องแสงพร่างพราย หรือบางเล่มก็เหมือนกับหมึกดำที่สาดกระเซ็นออกไป…

ฟิ้ว!

กระบี่ที่มีสายฟ้าม้วนอยู่โดยรอบ ดูเหมือนจะสังเกตเห็นการมาถึงของเฉินซี ทันใดนั้น มันได้ฉีกผ่านท้องฟ้าขณะที่มันฟาดฟันลงมา ทำให้เกิดประกายสายฟ้าจำนวนนับไม่ถ้วนซัดสาดออกมาราวกับระเบิด แต่งแต้มทั้งสวรรค์และโลกด้วยประกายสีเงิน!

ภายใต้การฟาดฟันกระบี่อย่างรุนแรงและทรงพลัง อันแฝงไปด้วยกลิ่นอายของการทำลายล้าง ทำให้ร่างของเฉินซีเปียกโชกไปด้วยเหงื่ออันเยียบเย็น ราวกับว่าเขากำลังเผชิญหน้ากับจักรพรรดิกระบี่แห่งสายฟ้า ซึ่งไม่อาจหลีกเลี่ยงหรือหลบหนีได้ ยิ่งไปกว่านั้น เขาไม่อาจกระตุ้นความคิดที่จะต่อต้านเลยแม้แต่น้อย

ฟิ้ว!

จู่ ๆ ทิวทิศน์โดยรอบก็เปลี่ยนไปในทันที กระบี่ที่มีรูปร่างคดเคี้ยวเหมือนงูปรากฏขึ้นท่ามกลางสวรรค์และโลกอีกครั้ง ด้วยการแทงเบา ๆ ของมัน กลิ่นอายแห่งความตายที่แฝงไปด้วยความเยียบเย็นและการทำลายล้างก็แผ่ซ่านไปทั่วทั้งสวรรค์และโลก ยิ่งไปกว่านั้น เฉินซีกลับถูกห่อหุ้มด้วยสิ่งนี้ และดูเหมือนว่าปราณแท้ในร่างกายของเขาจะแห้งเหือดอย่างรวดเร็ว จนกระทั่งร่างของเขาเหี่ยวแห้งและกลายเป็นซากศพที่แห้งผาก

ฟิ้ว! ฟิ้ว! ฟิ้ว!

เสียงกระบี่ที่ฟาดฟันกันบนท้องฟ้าดังกึกก้องไปทั่วทั้งจักรวาล และแฝงไปด้วยกลิ่นอายที่ทะลุทะลวง เฉียบคมและหนักแน่น ซึ่งบางครั้ง มันก็เป็นดั่งทางช้างเผือกที่หวนย้อนกลับและเคลื่อนคล้อยตำแหน่งของดวงดาว บางคราวก็เป็นดั่งภูเขาสูงตระหง่าน หรือทะเลกว้างใหญ่ที่มีคลื่นโหมกระหน่ำ บางครั้งก็เหมือนลมโหมกระหน่ำที่ฉีกผ่านท้องฟ้า…

เฉินซีซึ่งอยู่ตรงกลางรู้สึกว่ากระบี่ทุกเล่มสามารถฆ่าเขาได้นับครั้งไม่ถ้วน และไม่ว่าเขาจะดิ้นรนหรือขัดขืนอย่างไร ก็ไม่อาจรอดพ้นจากความทุกข์ทรมานที่ถูกปิดล้อมและกักขังอยู่ภายใน ก่อนที่พวกมันจะฟาดฟันลงมาทำลายล้างเขา

สิ่งนี้คือสำนึกของศิลาสำนึกกระบี่หรือ?

แค่ร่องรอยของตราประทับวิญญาณที่บรรพชนของนิกายกระบี่เมฆาพเนจรเหลือทิ้งไว้ แต่กลับมีพลังที่น่าสะพรึงกลัวเช่นนี้เลยหรือ?

กระแสคลื่นที่ปั่นป่วนได้ก่อขึ้นในใจของเฉินซี แต่เขาไม่ได้รู้สึกเกรงกลัวใด ๆ และกลับยินดีเสียยิ่งกว่า ทันใดนั้น เฉินซีก็ควบคุมจิตใจของเขา และเลือกสำนึกของเต๋ากระบี่ที่เต็มไปด้วยดวงดาวเคลื่อนคล้อยเพื่อไตร่ตรองทำความเข้าใจ

เขาตระหนักได้ว่า ทุกสิ่งที่เขาเห็นก่อนหน้านี้เป็นภาพที่สร้างขึ้นภายในจิตใจของเขาโดยสำนึกของเต๋ากระบี่ หากเป็นผู้ที่มีจิตวิญญาณค่อนข้างอ่อนแอ คนผู้นั้นอาจจะได้รับบาดเจ็บสาหัสไปตั้งนานแล้ว แต่การโจมตีเช่นนี้กลับไร้ประโยชน์สำหรับเขา เพราะการทุ่มเทเฝ้ามองรูปปั้นเทพเจ้าฝูซีตลอดทั้งวันทั้งคืน ทำให้ดวงวิญญาณของเขาแข็งแกร่งมาตั้งแต่เนิ่นนาน และเขาก็ใกล้จะควบแน่นจิตสัมผัสเทพในอีกเพียงไม่กี่ก้าว ดังนั้นการโจมตีจากสำนึกในเต๋ากระบี่เหล่านี้จึงไม่อาจทำอันตรายใด ๆ แก่เขาได้เลยแม้แต่น้อย

ยิ่งไปกว่านั้น เขากลับฉวยโอกาสนี้เพื่อทำความเข้าใจเกี่ยวกับสำนึกกระบี่อย่างระมัดระวัง และเปลี่ยนสำนึกในเต๋ากระบี่เหล่านี้ให้กลายเป็นของเขาเอง!

กระบี่เต๋ารู้แจ้งแห่งดารานั้น ประกอบไปด้วย หมู่ดาวคันไถ จักรราศี ดาวฤกษ์ทั้งยี่สิบแปดกลุ่ม และเจตจำนงกระบี่อื่น ๆ อีกมากมาย อาจถือได้ว่ามันเป็นมหาเต๋า! หลังจากนั้นไม่นาน เฉินซีก็รู้สึกว่าความเข้าใจของเขาที่มีต่อเต๋ารู้แจ้งแห่งดาราได้เพิ่มขึ้นเป็นอย่างมาก และด้วยความคิดในใจ ดูเหมือนว่าเขาจะอยู่ในจักรวาลที่เต็มไปด้วยดวงดาว อีกทั้งยังได้กลายเป็นวิถีโคจรของดวงดาวที่ลึกซึ้งจนยากหยั่งถึง

เฉินซีไม่ได้หยุดบ่มเพาะเลยแม้แต่น้อย จากนั้นจึงเลือกสำนึกในเต๋ากระบี่ ซึ่งก่อตัวขึ้นจากสายฟ้าและทำความเข้าใจมันอยู่เงียบ ๆ

เขารู้ว่าโอกาสที่จะหยั่งรู้เต๋าแห่งกระบี่นั้นมีค่าเป็นอย่างมาก และหากเขาไม่ใช้เวลาให้เกิดประโยชน์สูงสุดในการหยั่งรู้และทำความเข้าใจต่อพวกมัน ก็จะต้องเสียใจไปตลอดชีวิตอย่างแน่นอน ท้ายที่สุดศิลาสำนึกกระบี่ที่แฝงไปด้วยสำนึกในเต๋ากระบี่เหล่านี้ ล้วนเป็นมรดกที่เหลือไว้โดยเซียนกระบี่ ผู้หยั่งถึงเต๋าแห่งกระบี่ได้อย่างล้ำลึก

ยิ่งไปกว่านั้น สำนึกในเต๋ากระบี่นั้นเต็มไปด้วยมรดกล้ำค่าและหาได้ยาก เขาจะไม่ยอมเสียโอกาสครั้งหนึ่งในชีวิตนี้ไปง่าย ๆ อย่างแน่นอน!

เต๋าแห่งกระบี่เองก็เป็นหนึ่งในมหาเต๋าสูงสุด

ผู้บ่มเพาะกระบี่ล้วนเป็นที่ยอมรับจากผู้คนว่า พวกเขามีการโจมตีที่แข็งแกร่งที่สุดในโลก

อย่างไรก็ตาม สำนึกในเต๋ากระบี่เหล่านี้ถูกสืบทอดโดยบรรพชนของนิกายกระบี่เมฆาพเนจรจำนวนนับไม่ถ้วน และส่งมอบทุกสิ่งมาตลอดหลายชั่วอายุคน ดังนั้นมันจึงเป็นสมบัติล้ำค่าที่ผู้บ่มเพาะกระบี่ล้วนใฝ่ฝันถึง!

ดาว สายฟ้า สายลม ธาตุทั้งห้า หยิน หยาง

นภา ปฐพี วายุ วารี อัคคี ภูผา หนองบึง สายฟ้า

เฉินซีเปรียบเทียบและอ้างอิงถึงกระบวนท่ากระบี่อันยิ่งใหญ่ทั้งแปดของคัมภีร์กระบี่หมื่นบรรจบ ในขณะที่เขากำลังทำความเข้าใจเกี่ยวกับสำนึกในเต๋ากระบี่ที่มีอยู่มากมาย เขาลืมกระทั่งเวลา ลืมเลือนทุกสิ่งรอบตัว และจิตใจของเขาก็ตกอยู่ในโลกแห่งกระบี่ ที่มีห้วงสมุทรแห่งกระบี่อันกว้างใหญ่ เต๋าแห่งการรู้แจ้งต่าง ๆ ที่เขาเข้าใจนั้น ก็ค่อย ๆ ลึกซึ้งยิ่งขึ้น และเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง

ในช่วงห้าปีที่เขานั่งสมาธิเพื่อทำความเข้าใจคัมภีร์กระบี่หมื่นบรรจบ เฉินซีได้หยั่งรู้ถึงร่องรอยของเต๋ากระบี่แห่งนภาจากกระบวนท่ากระบี่เฉียนแห่งนภา ในตอนนี้ ความเข้าใจเกี่ยวกับสำนึกในเต๋ากระบี่ของเขา ได้ทำให้เขาเข้าใจถึงเต๋ารู้แจ้งแห่งนภาในเชิงลึก และมันก็ค่อย ๆ เติบโตจนแข็งแกร่งอย่างต่อเนื่อง

หนึ่งวันผ่านไป

สองวันผ่านไป

จนล่วงเลยถึงเจ็ดวัน

เฉินซียืนสงบนิ่งอยู่ที่เบื้องหน้าศิลาสำนึกกระบี่ราวกับเป็นรูปปั้นดินเผา

การทดสอบเข้าร่วมนิกายกระบี่เมฆาพเนจรจะดำเนินไปเป็นเวลาเจ็ดวัน ในช่วงเจ็ดวันนี้ มีศิษย์หลายพันคนได้มาที่ศิลาสำนึกกระบี่เพื่อรับการทดสอบความเข้าใจอยู่ทุกวัน เมื่อพวกเขาเห็นเฉินซีที่ยืนไม่ไหวติงอยู่เบื้องหน้าศิลาสำนึกกระบี่ เกือบทุกคนต่างก็แสดงความนับถือและชื่นชมผ่านสายตาของพวกเขา

ย่อมเป็นเรื่องธรรมดา แม้แต่พวกเขาเองก็ยังยืนหยัดอยู่เบื้องหน้าของศิลาสำนึกดาบได้เพียงครึ่งก้านธูปเท่านั้น และยิ่งยืนหยัดนานเท่าไร ก็จะทำให้จิตวิญญาณของพวกเขาได้รับบาดเจ็บสาหัส ด้วยเหตุนี้ เมื่อพวกเขาพบว่าเฉินซีมายืนอยู่หลายวันแล้ว ก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกชื่นชมนับถือ

อัจฉริยะรุ่นเยาว์บางคนที่จองหองและหยิ่งยโส ไม่เต็มใจที่จะยอมรับสิ่งนี้และตั้งใจจะแข่งขันกับเฉินซี แต่พวกเขาทั้งหมดล้วนพ่ายแพ้ และคนที่สามารถยืนหยัดได้ยาวนานที่สุดก็ทำได้เพียงครึ่งวัน แต่ก็ต้องกระอักเลือดออกมาและได้รับบาดเจ็บสาหัสในท้ายที่สุด หากไม่ใช่เพราะผู้อาวุโสของนิกายกระบี่เมฆาพเนจรให้ความช่วยเหลือได้ทันเวลา เขาคงต้องทุกข์ทรมานจากการถูกธาตุไฟเข้าแทรกไปนานแล้ว

เนื่องจากมีผู้พบเห็นความสำเร็จอันยอดเยี่ยมของเฉินซีที่ศิลาสำนึกกระบี่อยู่มากมาย ทำให้ข่าวคราวได้แพร่กระจายออกไปด้วยความรวดเร็วเป็นอย่างมาก และมันได้เข้าหูของเหล่าศิษย์ที่เข้าร่วมการทดสอบเข้านิกาย ทำให้เกิดคลื่นจากความประหลาดใจและการสนทนาไปทั่วทั้งนิกาย

ไม่ทราบว่าผ่านไปนานเท่าใด

เฉินซีรู้สึกได้ถึงความอ่อนล้าที่แผ่ออกมาจากจิตวิญญาณ ทำให้เขาตื่นขึ้นจากสภาวะของการรู้แจ้งถึงเต๋าในทันที

การตื่นขึ้นของเขาได้ดึงดูดความสนใจของนักพรตเต๋าเหวินเสวี่ยนและผู้อาวุโสอีกหกคนที่คอยปกป้องเขาในทันที และแน่นอนว่ารวมถึงมู่เหยาและมู่เหวินเฟยด้วย

ปัจจุบัน มู่เหยาและมู่เหวินเฟยได้กลายเป็นศิษย์ของเหวินเสวี่ยนแล้ว ดังนั้นพวกเขาจึงติดตามไปทุกที่ที่อาจารย์ของพวกเขาไป ยิ่งไปกว่านั้น ในช่วงเจ็ดวันนี้ พวกเขามีบุญวาสนาที่สามารถเข้าใจเกี่ยวกับสำนึกเต๋ากระบี่ที่มีหลากหลายรูปแบบบนศิลาสำนึกกระบี่อยู่ทุกวัน พวกเขาจะทำความเข้าเพียงช่วงหนึ่งก้านธูปเท่านั้น ก่อนที่จะหยุดพักอยู่เป็นระยะ ๆ เพื่อไม่ให้เหตุร้ายใด ๆ เกิดขึ้นกับพวกเขา

ในขณะนี้ ในสายตาของพวกเขา ตัวตนของเฉินซีเริ่มเลือนรางราวกับว่าเขาหลอมรวมเป็นหนึ่งเดียวกับพื้นที่โดยรอบ กลายเป็นส่วนหนึ่งของท้องฟ้านิรันดร์ ซึ่งทำให้พวกเขาดูเหมือนกำลังเผชิญหน้ากับท้องฟ้าอันกว้างใหญ่ที่ไร้ขอบเขตและไร้ตัวตน

นี่เป็นเพราะหลังจากที่เขาหยั่งถึงเต๋ารู้แจ้งแห่งนภา มันทำให้ตัวตนทั้งหมดของเขาเปลี่ยนไป แต่ตราบใดที่เขาควบคุมกลิ่นอายของเขาได้ ตัวตนที่ไม่ชัดเจนจะหายไป และจะไม่ดึงดูดความสนใจมากเกินไป

“ผ่านไปเจ็ดวันแล้วหรือ? ช่างรวดเร็วนัก!” เมื่อเฉินซีได้ทราบจากเหวินเสวี่ยนว่า เขายืนอยู่เบื้องหน้าศิลาสำนึกกระบี่เป็นเวลาถึงเจ็ดวัน เขาก็ตกใจทันที

“ว่าแต่ ท่านเหวินเสวี่ยน พิธีทดสอบการเข้านิกายครั้งนี้จะจัดขึ้นเมื่อใด?” ทันใดนั้น เฉินซีก็นึกขึ้นได้ว่าเขาเคยสัญญากับประมุขหลิงคงจื่อว่าเขาจะเข้าร่วมพิธี

“มันจบลงเมื่อวานนี้แล้ว” เหวินเสวี่ยนยิ้มอย่างอบอุ่นและกล่าวว่า “ข้าได้ช่วยอธิบายให้ศิษย์หลานคงจื่อฟังแล้ว เจ้าไม่ต้องเป็นห่วง”

ตอนนี้เฉินซีถอนหายใจด้วยความโล่งอก เขาไม่ได้รู้สึกเสียใจที่ไม่ได้เข้าร่วมพิธี เพราะมันเป็นแค่หน้าที่ส่วนหนึ่งของนิกายเท่านั้น

“มู่เหยา มู่เหวินเฟย จงบ่มเพาะอย่างเหมาะสมต่อไปกับท่านบรรพจารย์ใหญ่เหวินเสวี่ยน ข้าจะมาเยี่ยมเจ้าทั้งคู่หลังจากที่ข้ากลับมาจากการฝึกแล้ว” เดิมที เฉินซีตัดสินใจออกเดินทางไปยังห้วงทะเลทรายมรณะทันทีเพื่อค้นหาปราณหยางนพเก้าล้ำลึกเพื่อขัดเกลาปราณแท้ของเขา หลังจากที่เข้าร่วมพิธีเสร็จ ในขณะนี้ เมื่อเฉินซีเห็นว่ามู่เหยาและมู่เหวินเฟยมีคนที่ฝากฝังได้ และไม่ต้องกังวลเกี่ยวกับพวกเขาอีกต่อไป เฉินซีจึงตัดสินใจจากไปในทันที

“เจ้าค่ะ/ขอรับ” มู่เหยาและมู่เหวินเฟยรู้มานานแล้วว่าเฉินซีจะจากไปในไม่ช้า และแม้ว่าในใจพวกเขาจะรู้สึกไม่เต็มใจ แต่พวกเขาก็ยังพยักหน้ารับ เพราะพวกเขารู้ว่าพี่ใหญ่เฉินซี ต้องการเข้าร่วมการชุมนุมดาวรุ่งที่จะจัดขึ้นในอีกห้าปีนับจากนี้ และเขากำลังเดินทางไปบ่มเพาะเพื่อพัฒนาความแข็งแกร่งของเขา ดังนั้น แม้ว่าพวกเขาจะเกลี้ยกล่อมให้ชายหนุ่มอยู่ เขาก็คงไม่ยินยอมรั้งอยู่อย่างแน่แท้

“กิเลนทองไม่อาจอยู่ในสระน้ำ หากเจอพายุจะทำให้กลายเป็นมังกร” เหวินเสวี่ยนยิ้มเบา ๆ ขณะที่เขาประสานมือ “เฉินซี ข้าขอให้เจ้าประสบความสำเร็จในการบรรลุไปสู่​​ขอบเขตแกนทองคำหยินหยางโดยเร็วที่สุดและได้รับการติดอันดับในสิบอันดับแรกของการชุมนุมดาวรุ่ง!”

“ด้วยคำอวยพรของท่านเหวินเสวี่ยน เหตุใดข้าจึงต้องกังวลว่าจะทำไม่สำเร็จ” เฉินซีหัวเราะเสียงดังอย่างไม่หยุดหย่อนก่อนจะประสานมือแล้วหันกลับไปทางภูเขา

ในวันนี้ เฉินซีออกจากนิกายกระบี่เมฆาพเนจร และก้าวเข้าสู่เส้นทางแห่งการบ่มเพาะ

ตู้ชิงซี ต้วนมู่เจ๋อ และซ่งหลิน ติดตามหลังมาและส่งเขาออกจากประตูเมือง ทั้งสามคนยืนอยู่บนกำแพงเมืองขณะที่พวกเขาจ้องมองอย่างเงียบ ๆ ก่อนร่างของเฉินซีจะหายไปในขอบฟ้า

หลังจากนั้นไม่นาน ตู้ชิงซีก็กล่าวด้วยน้ำเสียงที่โศกเศร้า “จากกันครั้งนี้ ข้าสงสัยว่าพวกเราจะได้พบกันอีกครั้งเมื่อใด!?”

ซ่งหลินถอนหายใจ “บางที เมื่อเขาปรากฏตัวต่อหน้าเราอีกครั้ง เขาจะเป็นผู้มีอำนาจที่สามารถปกครองดินแดนใต้สวรรค์แล้ว”

ต้วนมู่เจ๋อกวาดสายตามองผ่านทั้งสองคนและหัวเราะเสียงดัง “ย่อมแน่นอน เฉินซีเป็นพี่น้องของข้า และความสำเร็จของเขาในอนาคตจะไร้ขีดจำกัดอย่างแน่นอน!”

นิกายกระบี่เมฆาพเนจร ยอดเขาทัศนา

“ผู้เฒ่าเต่า ท่านยังไม่สามารถทำนายได้อีกหรือ?” ชิงชิวอดไม่ได้ที่จะถาม

เสวียนจิงนั่งขัดสมาธิอยู่บนพื้นพร้อมกับเหรียญทองแดงที่แตกหักที่อยู่ตรงหน้าเขา มันได้เปล่งกลิ่นอายที่คลุมเครือ ลี้ลับ ลึกล้ำ และเหยียบเย็นออกมา

“เหตุใดถึงไม่ได้ผล หรือว่าหลังจากที่เขาได้รับชิ้นส่วนแผนภาพวารีหลาก ชะตาของเขาก็ได้ถูกปกปิดโดยความลับแห่งสวรรค์ และชะตาของเขาก็เป็นสิ่งที่ข้าไม่สามารถทำนายได้” หลังจากหาข้อสรุปอย่างเงียบ ๆ เป็นเวลานาน เสวียนจิงก็ส่ายศีรษะและถอนหายใจก่อนที่จะยิ้มอย่างลึกลับ “แต่เจ้ายังจำคำทำนายที่ข้าได้ทำเมื่อครั้งอยู่ในเทือกเขาแดนเถื่อนตอนใต้ได้หรือไม่?”

ชิงชิวตกตะลึง “มันคือสิ่งใด?”

การทำนายนั้นกล่าวไว้ว่า “มังกรที่ซ่อนอยู่ในน้ำลึก ต้องผ่านนรกทั้งเก้าชั้นเพื่อกลายเป็นมังกรที่แท้จริง คำว่า ‘มังกรซ่อนอยู่ในน้ำลึก’ เมื่อตอนนั้น เขาได้เอาชนะความทุกข์ยากของมังกรที่ติดอยู่ภายในน้ำลึกแล้ว หากข้าจำไม่ผิด ดวงชะตาของเขาในอนาคตจะต้องเป็นดั่งมังกรที่ทะยานอยู่บนท้องฟ้า และไร้ความกลัวภายใต้สวรรค์อย่างแน่นอน!” สายตาของเสวียนจิงเต็มไปด้วยล้ำลึกและลึกซึ้งในขณะที่เขากล่าวทีละคำ

“ท่านอาจารย์ เฉินซีได้จากไปแล้ว” นักพรตเต๋าเหวินเสวี่ยนกำลังยืนประสานมืออยู่ที่ด้านข้างของทะเลสาบสีฟ้าในหุบเขาอันเงียบสงบ ภายในพื้นที่หวงห้ามในภูเขาด้านหลังของนิกายกระบี่เมฆาพเนจร

“อืม ข้ารู้แล้ว” เป่ยเหิงยืนเอามือไพล่หลัง สายตาจ้องมองไปยังทะเลสาบ แต่จิตใจของเขากลับคิดถึงชายหนุ่มรูปงามที่เป็นหญิงสาวที่ปลอมตัวเป็นผู้ชาย และสตรีแซ่ไป๋ที่สามารถทำลายล้างพระราชวังข่ายดาราและตระกูลซูในคราเดียว

ในมือของเขา เขายังคงถือตราคำสั่งที่มีสีขาวแวววาวราวกับหยก และมีตัวอักษร ‘白’ เพียงตัวเดียวอยู่บนนั้น ตราคำสั่งนี้ไป๋หว่านฉิงเป็นคนมอบให้เขา และมันเกี่ยวข้องกับการที่เขาจะสามารถเข้าสู่แดนภวังค์ทมิฬได้หรือไม่นั้น ก็ขึ้นอยู่กับเฉินซีจะสามารถผ่านการชุมนุมดาวรุ่งและสมรภูมิบรรพกาลได้หรือไม่

มิฉะนั้น การมีตราคำสั่งนี้ก็ไร้ประโยชน์เช่นกัน

‘เฉินซี โอ้ เฉินซี! ข้ายังคงรอวันที่จะมุ่งหน้าไปยังแดนภวังค์ทมิฬที่ลี้ลับและไร้ขอบเขตกับเจ้า เจ้าต้องทำสำเร็จให้ได้…’ เป่ยเหิงพึมพำในใจของเขาอย่างไม่มีที่สิ้นสุด