ตอนที่ 364 จื่อฉีกับสวีโจว

แม่ครัวยอดเซียน

“ลู่หรง เจ้าเด็กนั่นก็อยู่เป็นจริงๆ” สวีโจวกล่าว หลังจากที่ลู่หรงคุยกับเริ่นเฉินเสร็จ ก็ประกาศว่าจะเข้าฌานเพื่อฝึกฝนบำเพ็ญเพียร สวีโจวที่ออกมาก็เข้าใจทันที ที่จริงแล้วเขาก็ทำเช่นนี้ได้ แต่ตอนนี้ก็สายเกินไปแล้ว

จื่อฉีรู้สึกเหมือนตัวเองได้หลุดเข้าไปอยู่ในโลกที่มีความพิศวง อัศจรรย์ พันลึก เมล็ดพันธุ์สีม่วงในร่างกายส่องแสงเปล่งประกาย หมุนไปมาต่อเนื่อง สิ่งที่ทำให้เขารู้สึกประหลาดใจมากเป็นพิเศษก็คือ เมล็ดพันธุ์สามารถเคลื่อนไหวอยู่ภายในเส้นชีพจรของเขาตามการโคจรพลังของเขาได้ เส้นชีพจรของเขาเองก็แข็งแกร่งมากขึ้น เมล็ดพันธุ์ที่ลึกลับนี้คืออะไรกันแน่ จนกระทั่งจื่อฉีฟื้นขึ้นมาจากโลกใบนั้นก็พบว่าพลังบำเพ็ญเพียรของตัวเองอยู่ในขอบเขตแม่ทัพเทพไม่รู้ตั้งแต่เมื่อไหร่

“แม่ทัพเทพกับเทพสวรรค์แตกต่างกันจริงๆด้วย” จื่อฉีพึมพำกับตัวเอง อีกทั้งพลังก็ยังแตกต่างกันมาก ตั้งแต่บรรลุขึ้นมา เขาก็เข้าฌานโดยตลอด ได้เวลาออกฌานไปดูได้แล้ว จื่อฉีลองใช้ประสาทสัมผัส ท่านพี่กับพี่เขยเข้าฌานแล้ว พี่อาเลี่ยกับพี่อิงเสวี่ยก็เช่นกัน เอ่อ เด็กสองคนที่อยู่เฉยๆไม่ได้นั้นก็เข้าฌานเหมือนกัน น่าประหลาดจริงๆ ส่วนฮูหยินของเขามู่มู่กำลังพยายามบรรลุขอบเขตเทพสวรรค์ เช่นนั้นเขาไม่ไปรบกวนนางจะดีกว่า

ถึงแม้พลังบำเพ็ญเพียรของทั้งสองคนจะยิ่งห่างกันมากขึ้นเรื่อยๆ แต่จื่อฉีก็ไม่เคยคิดที่จะเปลี่ยนภรรยา นั่นเพราะคำอบรมสั่งสอนจากท่านพี่สาวและความพยายามของภรรยา นังหนูคนนั้นมีลูกให้เขา ถึงแม้ร่างกายจะฟื้นฟูแล้ว แต่ก็ยังคงมีบาดแผลที่มองไม่เห็นอยู่ ตอนนั้นนึกว่าแค่พลังบำเพ็ญเพียรไม่ลดลงก็ถือว่าโชคดีแล้ว ท่านพี่เคยบำรุงนางมาก่อน แต่ก็ยังได้กระทบกระเทือนอยู่ไม่น้อย แต่ก่อนตอนที่พลังบำเพ็ญเพียรยังไม่สูงมาก ก็ยังดูอะไรไม่ออก แต่หลังจากที่พลังบำเพ็ญเพียรของทั้งสองคนสูงขึ้น ก็เริ่มปรากฏความแตกต่างขึ้นมาให้เห็น

เมื่อจื่อฉีออกฌานมา สิ่งที่ได้ยินมากที่สุดก็คือเรื่องราวของท่านพี่ ก็อดโมโหไม่ได้ เรื่องนี้ไม่ได้มีมูลความจริงเลยแม้แต่น้อย ความสัมพันธ์ระหว่างท่านพี่กับพี่เขยแนบแน่นขนาดไหน เขาย่อมต้องรู้ดีกว่าคนนอกแน่นอน ไม่ต้องพูดถึงเรื่องอื่น ท่านพี่ของเขาทำเพื่อพี่เขยมากเท่าไหร่ และเพราะท่านพี่ทำให้พี่เขยมีผมสีขาวโพลน เรื่องพวกนี้พวกคนนอกรู้อะไรบ้าง แล้วก็พูดกันต่อไปมั่วๆ แต่ลองไปเจอคนชื่อสวีโจวไปเจอดูหน่อยก็ได้ เจ้าเด็กลู่หรงก็ถือว่ารอดตัวไป คิดไม่ถึงว่าจะเข้าฌานบำเพ็ญเพียรไปแล้ว

“สวีโจว”

“ศิษย์พี่ท่านนี้คือ” สวีโจวพยายามนึก แต่ก็นึกไม่ออกว่าศิษย์พี่ที่ไม่คุ้นหน้าผู้นี้คือใคร

“จื่อฉี น้องชายของหลงหลิวหลี” จื่อฉีแนะนำตัว

“ศิษย์พี่จื่อ ไม่ทราบว่ามาหาสวีโจว มีธุระอะไรหรือ?” หรือจะคิดบัญชีกับตนแทนศิษย์พี่หลง?

“ไม่มีอะไร เพียงแต่ได้ยินข่าวลือระหว่างเจ้ากับพี่สาว ก็รู้สึกประหลาดใจ เลยอยากจะมาดูด้วยตาของตัวเอง” จื่อฉีพูดด้วยท่าทีสบายๆ น่าแปลก มิน่าพี่สาวถึงสนใจเขาเป็นพิเศษ บนตัวของคนผู้นี้แปลกพิกลมากทีเดียว

“เมื่อได้เจอแล้ว ศิษย์พี่คิดว่าอย่างไร?” ศิษย์พี่ผู้นี้เป็นอะไรไป สายตาที่มองตนเองนั้นแปลกประหลาด หรือว่าศิษย์พี่ผู้นี้ก็มองเห็นความต่างของเมล็ดพันธุ์สีดำในร่างกายของเขาหรือ เป็นไปไม่ได้ ศิษย์พี่หลงเคยบอกว่า คนอื่นไม่สามารถมองเห็นได้ แล้วทำไมศิษย์พี่จื่อฉีถึงมองเห็นได้ล่ะ

“ไม่ได้คิดอะไร แค่สัมผัสได้ถึงความน่ากลัวของข่าวลือ เฮ้อ ท่าทางแบบเจ้า จะตามพี่เขยของข้าทันได้นั้นเป็นเรื่องที่ยากเกินไป อีกอย่างพลังบำเพ็ญเพียรอ่อนแอขนาดนี้ เพิ่งจะเป็นเทพสวรรค์ พี่เขยของข้าบรรลุขึ้นมาก็เป็นเทพสวรรค์แล้ว ส่วนท่านพี่ยิ่งไม่ต้องพูดถึง และที่สำคัญเลยคือท่านพี่ของข้าเคยพูดว่าสามีภรรยาไม่ควรจะต่างกันมากเกินไป ไม่เช่นนั้นจะทำให้พบอุปสรรคใหญ่หลวง เห็นได้ชัดเลยว่าเจ้าแตกต่างกับนางมาก” จื่อฉีพูดความจริงออกมา

“ขอบคุณผู้อาวุโส” คำพูดที่ตรงไปตรงมาของผู้อาวุโสท่านนี้ พูดจนเขาอยากจะไปเข้าฌานไม่พบหน้าใคร เขาจะพูดอ้อมค้อมหน่อยไม่ได้หรือ

“กำลังคิดว่าทำไมข้าไม่พูดอ้อมค้อมหน่อยหรือ?” อยู่ๆจื่อฉีก็เปิดปากเอ่ย

“เอ่อ” ผู้อาวุโสท่านนี้อ่านใจคนได้หรือ ทำไมเขาคิดอะไรอีกฝ่ายก็รู้หมด

“สงสัยว่าทำไมข้าถึงรู้หรือ?” จื่อฉีกล่าว

“เอ่อ ผู้อาวุโสได้โปรดไขข้อสงสัยด้วย” สวีโจวรู้สึกว่าผู้อาวุโสท่านนี้น่ากลัว มากทีเดียว ถามตรงๆเลยจะดีกว่า ไม่เช่นนั้นไม่รู้ว่าผู้อาวุโสท่านนี้จะพูดอะไรออกมาอีก

“ฉลาดมาก เจ้าน่าจะรู้ว่าร่างเดิมของข้าคือกิเลน อีกทั้งยังเป็นกิเลนที่สูงส่งด้วย ราชากิเลนม่วง ทั้งยังครอบครองเนตรกิเลน นอกจากสิ่งที่ข้าไม่อยากดูแล้ว ไม่มีอะไรที่ข้ามองไม่ออก” จื่อฉีอธิบายเสร็จ ก็ยิ้มยิงฟันออกมา

“เนตรกิเลน” รู้สึกว่าตัวเองไม่สามารถมีความลับอะไรได้เลย อยู่ดีๆก็รู้สึกเสียวสันหลังวาบ

“ใช่แล้ว เจ้าพึ่งจะบรรลุขอบเขตพลัง จะออกไปทำภารกิจด้วยกันเพื่อให้พลังบำเพ็ญเพียรมั่นคงขึ้นหรือไม่ ท่านพี่เคยบอกว่าการสู้รบจริงๆเป็นวิธีที่ดีที่สุดในการสร้างความมั่นคงให้พลังที่ดีที่สุด ตอนนี้ข้ากับเจ้าเพิ่งจะบรรลุขอบเขตพลังด้วยกันทั้งคู่ จำเป็นจะต้องทำให้พลังบำเพ็ญเพียรมั่นคง” จื่อฉีเชิญชวน เขาสัมผัสได้ว่าสวีโจวไม่ใช่คนที่เลวร้าย จึงได้ออกปากชวน

“รบกวนศิษย์พี่ด้วย” เฮ้อ อีกฝ่ายบรรลุขอบเขตแม่ทัพเทพ ส่วนเขาเพิ่งจะบรรลุขอบเขตเทพสวรรค์ เพิ่งจะบรรลุขอบเขตเหมือนกัน แต่แตกต่างกันมากจริงๆ

ข่าวที่สวีโจวกับน้องชายของศิษย์พี่หลงจับกลุ่มกันไปทำภารกิจแพร่สะพัดไปทั่วทั้งสำนัก ยิ่งทำให้เรื่องที่ว่าสวีโจวกับศิษย์พี่หลงมีความสัมพันธ์กันน่าเชื่อถือมากขึ้นไปอีก ดูสิ น้องชายของศิษย์พี่หลง ชวนแค่สวีโจวคนเดียวออกไปทำภารกิจด้วยกัน

“สวีโจว เคยรู้สึกไหมว่าการรู้จักพี่สาวข้า ทำให้เกิดอุปสรรคในการดำเนินชีวิตของเจ้า” จื่อฉีลองถามหยั่งเชิงดู

“ไม่เท่าไหร่ขอรับ ข้าจะไม่รู้ได้อย่างไรว่าคนพวกนั้น บางคนพูดเพราะอิจฉา บางคนพูดเพราะต้องการสร้างข่าวลือ บางคนเป็นพวกองุ่นเปรี้ยว หากข้าสนใจกับเรื่องพวกนี้ ตัดสินใจผิดพลาด คงจะต้องรู้สึกผิดกับความหวังดีของศิษย์พี่หลงแน่” สวีโจวส่ายหัวแล้วพูดขึ้น ในช่วงนี้ไม่ว่าเขาจะได้ยินอะไรก็คิดว่ามันเป็นเรื่องตลก ฟังให้ผ่านๆไป ไม่เคยเก็บมาใส่ใจ

“เจ้าคิดได้เช่นนี้ก็ดีแล้ว เจ้าจะต้องรู้ว่าหนทางของผู้แข็งแกร่งเป็นหนทางที่โดดเดี่ยว เพราะคนที่จะสามารถเดินร่วมทางกับเจ้าและมีความฝันเช่นเดียวกับเจ้านั้นมีน้อยนิด” จื่อฉีพึงพอใจเป็นอย่างมาก สภาวะจิตใจไม่เลว ไม่โวยวาย ไม่ร้อนรน ท่านพี่สายตาแหลมคมจริงๆ

“ศิษย์พี่จื่อพูดได้ถูกต้องยิ่งนัก” สวีโจวพบว่าคนที่เป็นเพื่อนเป็นครอบครัวกับศิษย์พี่หลงได้ จะต้องเป็นคนที่มีจิตใจใสบริสุทธิ์ รู้ว่าตัวเองต้องการอะไร แล้วก็ทุ่มเทเพื่อให้ได้สิ่งที่ตัวเองต้องการ ถึงแม้โลกภายนอกจะลือกันไปว่าเป็นเพราะพึ่งพาศิษย์พี่ก็ตาม แต่สิ่งสำคัญที่สุดคือความพยายามของพวกเขาเอง

ภารกิจง่ายมาก มีเนตรกิเลนที่เป็นอาวุธสุดยอดแห่งความโกงของจื่อฉีอยู่ พวกเขาจึงสามารถหาจุดอ่อนของภารกิจได้อย่างรวดเร็ว ศิษย์พี่จื่อกับศิษย์พี่หลงเป็นพี่น้องกันอย่างแน่นอน เพราะทั้งสองต่างก็ให้เขาได้ฝึกฝนด้วยตัวเองก่อนแล้วค่อยลงมือ ทำให้เขารู้สึกว่าพลังบำเพ็ญเพียรของตัวเองมีความเสถียรและมั่นคงยิ่งขึ้น

“รู้สึกว่าวิธีของข้าเหมือนกับวิธีของพี่สาวใช่หรือไม่” อยู่ๆจื่อฉีก็พูดขึ้น ทำให้สวีโจวตกใจไม่น้อย เอ่อ เกือบลืมไปเลย เนตรกิเลน ไม่เพียงแค่สามารถต่อกรกับศัตรูได้เท่านั้น ยังสามารถฟังความในใจของคนอื่นได้อีกด้วย

“ถูกต้อง” สวีโจวไม่ได้รู้สึกกระอักกระอ่วนที่ตัวเองถูกล่วงรู้ความลับเลยแม้แต่น้อย แต่กลับยอมรับออกมาตรงๆ

“นั่นเป็นเพราะ ท่านพี่เลี้ยงข้ามาตั้งแต่เล็กจนโต ตั้งแต่เกิดจนเติบโต ถึงแม้จะบอกว่าเป็นพี่น้องกัน แต่จะบอกว่าท่านพี่ไม่ต่างอะไรกับท่านแม่ของข้า นางช่วยคนที่เกือบจะถูกกลืนกินอย่างข้า อีกทั้งยังมอบของล้ำค่าให้แก่ข้า ของล้ำค่าชนิดที่ว่าหากคนอื่นเห็นแล้วจะต้องอยากเก็บเป็นสมบัติส่วนตัวอย่างแน่นอน ข้าค่อนข้างเชื่อสายตาของนาง ดังนั้นเจ้าก็น่าจะเป็นคนดีคนหนึ่ง” จื่อฉีพูดด้วยท่าทีจริงจัง

สวีโจวไม่ตอบอะไร เขาไม่เคยคิดเรื่องพวกนี้มาก่อน คาดว่าเรื่องพวกนี้คงจะมีคนรู้อยู่ไม่กี่คน เขาลองคิดดู หากว่าเป็นเขา ก็คงไม่สามารถใจกว้างมอบของล้ำค่าของตัวเองให้คนอื่น เหมือนเขาเหมือนจะสัมผัสได้ถึงความแตกต่างของศิษย์พี่หลง

…………………………………