ตอนที่ 245 ต้มสุราหนึ่งกา

นายน้อยเจ้าสำราญ

“เจ้าว่า…หากข้าฆ่าเจ้าเสียตอนนี้ จะเป็นเยี่ยงไร ? ”

ฟู่เสี่ยวกวนชะงัก ทันใดนั้นก็มีแสงแล่นเขามาในหัว เขารับรู้ได้ถึงความรู้สึกที่แปลกประหลาด

หลังจากที่ครุ่นคิดอยู่หลายอึดใจ ชือชือหรานก็ได้เดินมายังโต๊ะน้ำชา สตรีผู้นั้นเงยหน้าขึ้นมา ฟู่เสี่ยวกวนถึงได้พบว่าสตรีผู้นี้ก็ค่อนข้างน่าทึ่งเช่นกัน ในใจพลางคิดไปว่าองค์ชายยังคงอยู่อย่างสุขสบาย นี่มันเหมือนนั่งอยู่ในคุกตรงไหนกัน นี่มันสถานบำเพ็ญตนชัด ๆ มิใช่ใช่รึ !

“ข้ามีสิ่งนี้” ฟู่เสี่ยวกวนแบมือออก ในมือมียาพิษสีเขียวอยู่ 1 เม็ด นั่นคือชวงหานเยวี่ยหมิง

“แต่…” ฟู่เสี่ยวกวนเก็บยาพิษเม็ดนั้น และกล่าวอีกว่า “ต่อให้มิมีสิ่งนี้ พระองค์ก็สังหารกระหม่อมมิได้พ่ะย่ะค่ะ”

สายตาของหยูเวิ่นเทียนมิได้ผละไปจากตำราในมือ เขาพลิกหน้ากระดาษ และเอ่ยถาม “เจ้าดูมั่นใจเสียจริง ใครเป็นผู้มอบความเชื่อมั่นนี้ให้กับเจ้ากัน ? ”

ฟู่เสี่ยวกวนมิได้ตอบ แต่เลือกมองจวนหลังนี้อย่างพิจารณา ค่อนข้างวิจิตร ต่างมีศาลาและของตกแต่งอย่างครบครัน เพียงแค่เมื่อเทียบกับจวนของหยูเวิ่นเทียน ย่อมมิอาจทัดเทียมได้ แต่ก็ถือว่าดีกว่าบ้านเรือนของผู้คนมากมายที่อาศัยอยู่ในเมืองหลวง

“ภายในสุสานราชวงศ์ ฝ่าบาทกล่าวว่านี่คือกรงนก ตามปกติย่อมหมายถึงการจำคุก แต่กรงนกกลับช่วยชีวิตพวกกระหม่อมเอาไว้ และทำให้พระองค์ล่มจม ที่ที่ฝ่าบาทประทับอยู่ในตอนนี้ ความจริงแล้วก็คือกรงนกเช่นกัน แต่มิเหมือนกับภายในสุสานราชวงศ์ คำว่ากรงนกในที่นี้มี 2 ความหมาย ประการแรกย่อมหมายถึงการจองจำ ประการที่สอง…ก็คือเพื่อปกป้องฝ่าบาท กระหม่อมจึงขอทูลถาม หายนะครานี้หนักหนาถึงเพียงนี้ พระองค์มิเหนื่อยที่ต้องแบกรับไว้หรือพ่ะย่ะค่ะ ? ”

หยูเวิ่นเทียนคิ้วขมวดทันพลัน เขาวางตำราในมือลง และเป็นคราแรกที่จ้องมองฟู่เสี่ยวกวนอย่างตั้งใจ

ดวงตาพลันสบกัน นิ่งสงบไร้เสียง สตรีผู้นั้นชำเลืองสายตาขึ้นมาเล็กน้อย และเริ่มกังวลขึ้นมา

ฟู่เสี่ยวกวนเองก็พินิจหยูเวิ่นเทียนอย่างจริงจังเช่นกัน

คนผู้นี้คิ้วหนาดั่งกระบี่ ดวงตาราวกับดารา ใบหน้าผ่องใส ช่างคล้ายคลึงกับฮ่องเต้ยิ่งนัก !

“เจ้าเป็นคนแรกที่มาที่นี่เพื่อพบข้า” หยูเวิ่นเทียนกล่าวขึ้น เรียวคิ้วขมวดนิ่ว

ฟู่เสี่ยวกวนลูบจมูกไปมาและกล่าวยิ้ม ๆ “มิใช่กระหม่อมที่อยากมาเข้าพบพระองค์ แต่เป็นพระราชโองการจากฝ่าบาท กระหม่อมถึงได้มาเข้าพบพระองค์”

“เจ้าก็ได้เห็นแล้วนี่ กล่าวกับฝ่าบาทว่าข้าใช้ชีวิตอยู่ที่นี่ได้สบายดี นอกจากนั้นก็ขอบพระทัยที่ท่านให้โหรวอี๋เข้ามา ข้าสามารถใช้ชีวิตที่สงบสุขอยู่ที่นี่ไปได้ชั่วชีวิต อีกทั้งข้ายังสามารถมีหลานให้ท่านได้อีกหลายคน”

ใบหน้าของหญิงสาวแดงระเรื่อ ดูเหมือนนางจะมีนามว่าโหรวอี๋ เพียงแต่มิทราบว่าแซ่อะไร

ฟู่เสี่ยวกวนเลิกคิ้วขึ้น และเม้มปากเล็กน้อย “สถานที่เยี่ยงนี้ แท้จริงแล้วเป็นกระหม่อมที่จะสามารถใช้ชีวิตอย่างสงบไปได้ชั่วชีวิต พระองค์มิสามารถทำได้หรอกพ่ะย่ะค่ะ”

เผชิญหน้ากับสายตาอันเฉียบคมของหยูเวิ่นเทียน คำพูดนี้ทำให้ฟู่เสี่ยวกวนเข้าใจว่าหยูเวิ่นเทียนมิใช่ผู้รับผิดแทน ตนได้คาดเดาผิดไปแล้ว คนผู้นี้ยังต้องการก่อกบฏอย่างแท้จริง

แต่ปัญหาในตอนนี้ก็คือ…เขามิสามารถก่อกบฏได้ !

หรือว่าจะมีการขัดแย้งกับผู้ใดอยู่ ?

หากหยูเวิ่นเทียนถูกตัดสินโทษในความผิดฐานก่อกบฏ ต่อให้เขาไม่ตาย ชั่วชีวิตนี้ก็มิสามารถออกมาจากประตูบานนี้ได้อีก

แต่ฮ่องเต้กลับมิได้สำเร็จโทษเขา !

ในทางตรงกันข้าม ฝ่าบาทยังต้องการใช้ประโยชน์จากเขา !

เยี่ยงนั้นองค์ชายใหญ่ก็มิสามารถก่อกบฏได้อีก และทำได้เพียงแบกรับความผิดเอาไว้ และที่ฮ่องเต้เลือกให้ฟู่เสี่ยวกวนมาจัดการ นั่นก็เพราะฝ่าบาทเชื่อมั่นว่าฟู่เสี่ยวกวนจะเข้าใจความหมายของเขา และเชื่อว่าฟู่เสี่ยวกวนจะสามารถจัดการเรื่องนี้อย่างสมบูรณ์แบบ

สิ่งเดียวที่ทำให้ฟู่เสี่ยวกวนมิเข้าใจในตอนนี้คือเหตุใดฝ่าบาทจึงทำเยี่ยงนี้ !

“กระหม่อมเป็นนักวรรณกรรม พระองค์ก็คงจะทราบดี ดังนั้นแท้จริงแล้วกระหม่อมมิได้ชื่นชอบการต่อสู้ด้านนอกนั่นเท่าใดนัก…ตัวอย่างเช่น กระหม่อมที่ถูกลอบโจมตีอย่างลึกลับ และตัวอย่างเช่นเดิมทีตัวกระหม่อมอยากเป็นเพียงคุณชายเศรษฐีที่ดินที่ร่ำรวยในหลินเจียง แต่ก็ได้ทำบางเรื่องลงไป จึงต้องมาร้องขอชีวิตถึงเมืองหลวง และตัวอย่างเช่นกระหม่อมอีกที่ต้องการเพียงสั่งสอนคุณชายที่กระทำชั่วเท่านั้น แต่คาดมิถึงว่าจะเป็นการยั่วยุฮุ่ยชินอ๋อง”

เขาชะงักไป ลำคอยื่นไปด้านหน้าเล็กน้อย “และตัวอย่างเช่นในตอนนี้ พระองค์ที่ทำเรื่องยุ่งยากนั่น ทั้งยังต้องให้กระหม่อมมาตามเช็ดตามล้างให้ !”

สายตาของหยูเวิ่นเทียนแข็งกร้าว ดวงตาของฟู่เสี่ยวกวนหรี่ลง ถ้วยชาที่แม่นางโหรวอี๋เพิ่งจะหยิบขึ้นมาตกลงไปกับพื้นจนแตกเป็นเสี่ยง ๆ ทำให้สายตาเย็นชาทั้งสองคู่สลายไปในฉับพลัน

หยูเวิ่นเทียนดึงสายตากลับไป และเงยหน้าขึ้นมองไปยังต้นเหมย

ต่างก็เป็นผู้ฉลาดหลักแหลม เขาเข้าใจความหมายการมาที่นี่ของฟู่เสี่ยวกวนได้คร่าว ๆ แล้ว

เขาขบเม้มริมฝีปาก หรือว่าเสด็จพ่อยังมีความกล้าอยู่เยี่ยงนั้นรึ ?

ฟู่เสี่ยวกวนเองก็ดึงสายตากลับมา และเม้มริมฝีปาก “กระหม่อมมิทราบว่าฝ่าบาทนำความกล้ามาจากที่ใด คาดมิถึงว่าจะปล่อยเสือกลับภูเขาโดยมิกังวลใจใด ๆ”

ทันใดนั้นหยูเวิ่นเทียนก็หันไปมองโหรวอี๋ สีหน้าอ่อนโยนลง เขากล่าวขึ้นมาว่า “เจ้าไปนำสุรามา 2 ขวดเถอะ ข้าอยากจะดื่มสุรากับฟู่เสี่ยวกวนผู้เก่งกาจแห่งยุค ใช่ เขาคือฟู่เสี่ยวกวน ประเดี๋ยวเจ้าก็ไปนำความฝันในหอแดงเล่มนั้นของเจ้ามา ให้เขาลงนามให้เสีย ถือว่าทำตามความปรารถนาของเจ้า”

“เพคะ !”

สตรีนามโหรวอี๋เหลือบมองฟู่เสี่ยวกวนอีกครา ความปลื้มปีติผุดขึ้นมาบนใบหน้า ยกกระโปรงขึ้นเล็กน้อยและเดินไปทางอาคารเล็ก

“แม่นางจากตระกูลใดกัน ? ”

“เป็นปุถุชนในเมืองหลวง ก่อนหน้านี้ขายสุราอยู่ที่หอเยียนหยู่…บิดาของนางกลั่นสุราได้ จึงได้ตั้งร้านสุราเล็ก ๆ ที่นั่นขึ้นมา”

ราวกับนึกถึงการพบเจอกับโหรวอี๋ในปีนั้น สีหน้าของหยูเวิ่นเต้าก็เผยความอบอุ่นขึ้นมาเล็กน้อย

“ฤดูหนาวรัชสมัยเซวียนลี่ปีที่ 6 หิมะตกหนัก อากาศหนาวเย็นยะเยือก ข้าก็ได้บังเอิญออกมาจัดการธุระพอดี ในตอนที่กำลังเดินผ่านหอเยียนหยู่ ก็เห็นนางที่กำลังถือสุรา ดังนั้นจึงเข้าไปดื่มสักกา”

“รสชาติเจือจาง ไม่อร่อย แต่ข้าก็ยังดื่มจนหมด เพราะความงดงามทำให้เจริญอาหาร”

“ข้ามิได้ขาดแคลนสตรี แต่ข้าก็มิเคยรู้จักสิ่งที่เรียกว่าความรักมาก่อน และมิเคยเชื่อในสิ่งที่เรียกว่ารักแรกพบ จนกระทั่งข้าได้พบเข้ากับนาง”

“ข้ามิได้ใช้กำลัง มิได้ใช้อำนาจแต่อย่างใด ฤดูหนาวปีนั้น ข้าแทบจะไปร้านสุราของนางทุกวัน นางมิทราบตัวตนที่แท้จริงของข้า ข้าบอกกับนางว่า ตัวตนของข้าทำงานในจวนผู้ว่าเขตจินหลิงเป็นเพียง…เจ้าหน้าที่ นางมิได้รังเกียจแต่อย่างใด นางดีกับข้าเป็นอย่างมาก ข้าจึงสามารถรับรู้ได้ว่านางก็มีความรู้สึกกับข้าอยู่เล็กน้อย”

“จนถึงฤดูใบไม้ผลิรัชสมัยเซวียนลี่ปีที่ 8 ข้ามิสามารถทนรอได้อีกต่อไป ข้าตบแต่งนางเป็นภรรยา แต่เสด็จพ่อทรงมิเห็นด้วย”

กล่าวถึงตรงนี้หยูเวิ่นเทียนก็ก้มหน้าหัวเราะทันพลัน “เจ้าว่าตระกูลเชื้อพระวงศ์เช่นนี้ดีเยี่ยงไรกัน องค์ชายต่างต้องสู้รบกันเพื่อขึ้นครองบัลลังก์ เสด็จพ่อรับฟังรับชมอย่างพออกพอใจ อ้างอิงจากคำกล่าวของเขา ตำแหน่งฮ่องเต้นั้นต้องแย่งชิงกัน ผู้สมควรได้รับคือผู้มีความสามารถ แท้จริงแล้วข้ามิได้เห็นด้วยตั้งแต่คราแรก ข้าอยากจะเป็นเหมือนน้องห้าหยูเวิ่นเต้า มิต้องดิ้นรนหรือร้องขอ ได้ใช้ชีวิตอย่างเรียบง่ายไปชั่วชีวิต”

“แต่ข้าทำมิได้ น้องห้ามีพระสนมซั่งคอยปกป้อง แต่ข้านั้นไร้มารดาตั้งแต่เล็ก และเจ้าสี่ก็มิใช่คนที่มีจิตใจเมตตานัก ข้ากล้ารับปากได้ว่าหากข้าพ่ายแพ้แล้ว จุดจบของข้าจักอนาถยิ่งเสียกว่าในตอนนี้ นอกจากนั้นเจ้าต้องเตือนพระสนมซั่งเสียหนึ่งประโยค ท้ายที่สุดแล้วพระนางมิสามารถปกป้องเจ้าห้าไปได้ชั่วชีวิต”

“ออกนอกเรื่องไปไกลแล้วสินะ เพราะเสด็จพ่อมิเห็นด้วย ดังนั้นข้าจึงไร้หนทางจะแต่งกับโหรวอี๋ได้ ไร้หนทางแม้แต่จะแต่งเป็นอนุ เพราะนางเป็นเพียงสตรีจากครอบครัวสามัญชน”

“แต่ข้าชอบโหรวอี๋เป็นอย่างมากโดยแท้จริง”

ฟู่เสี่ยวกวนยกยิ้ม “เพราะเหตุนี้เยี่ยงนั้นรึ ? ”

“มิใช่ มันเป็นเพราะความอยากเอาชนะของข้า แผนการเดิมของข้าถูกวางไว้ในฤดูกาลล่าสัตว์วันที่สองเดือนสองที่ภูเขาหนานซาน แต่คาดมิถึงว่าเสด็จย่าจะทรงสวรรคต คำนวณตามเวลาแล้ว เสด็จพ่อย่อมยกเลิกการล่าสัตว์ที่ภูเขาหนานซาน ข้าจึงทำได้เพียงลงมือก่อนกำหนด”

“ขันทีเว่ยเป็นคนเก่าแก่ที่อยู่ข้างกายเสด็จแม่ เขาดูแลสุสานราชวงค์เมื่อรวมที่ข้าไปชักชวนราชครูอาวุโสเฟ่ย จนได้รับเอกสารรับรองจากเสนาบดีกรมกลาโหมเฟ่ยปัง ดังนั้นข้าจึงนำทหารสำหรับงานล่าสัตว์ที่ภูเขาหนานซานไปซ่อนในสุสานราชวงค์ได้ และร่วมมือกับตระกูลเฟ่ยและตระกูลชือเพื่อวางแผนอีกครา”

หยูเวิ่นเทียนยักไหล่และยิ้มเยาะตนเอง “เมื่อมาคิดในตอนนี้ การต่อสู้นองเลือดของเจ้าและฮุ่ยชินอ๋องที่ถนนเส้นยาว หลังจากนั้นฮุ่ยชินอ๋องก็ถูกคว่ำลงภายในคืนเดียว สายตาของทุกคนในเมืองหลวงต่างจดจ้องกันมาที่เจ้า รวมถึงข้า ทั้งยังรวมไปถึงเจ้าสี่ และย่อมรวมไปถึงขุนนางระดับสูงทั้งหมด พวกข้าทุกคนต่างมิมีใครสังเกตเห็นการแสดงในเรื่องนี้ของเสด็จพ่อและพระสนมซั่งเลย”

“ดังนั้นแต่เดิมข้าจึงคิดว่าแผนการนี้จะเป็นไปอย่างราบรื่น ข้าถึงขั้นคิดว่าการที่เจ้าเข้ามาเป็นเป้าดึงดูดสายตาของผู้คนไปนั้นเป็นประโยชน์ต่อการลงมือของข้ายิ่ง แม้แต่ในยามที่เสด็จย่าอาการย่ำแย่แล้ว เสด็จพ่อให้ขันทีเว่ยย้ายเข้ามาในวังหลวงก็ยังมิอาจดึงความสนใจของข้าได้ ข้าคิดเพียงว่าเสด็จย่าต้องการเพียงพบเจอคนเก่าคนแก่ แต่คาดมิถึงว่าช่วงเวลาเพียงไม่กี่วันก่อนที่ขันทีเว่ยจะออกจากสุสานราชวงค์เข้ามาวังหลวง คาดมิถึงว่าเสด็จพ่อจะใช้วิธีที่หลบซ่อนเยี่ยงนี้ โดยให้เฟ่ยอันและฮั่วหวยจิ่นนำทหารรักษาพระองค์เข้าไปในสุสานราชวงค์เช่นกัน”

“ตั้งแต่เริ่มจนจบ เสด็จพ่อทราบดี ท่านมิได้ขัดขวาง ท่านรอให้ข้าต่อต้านท่าน”

โหรวอี๋ได้นำเหล้าและถ้วยมา จากนั้นนั่งลงด้านข้างและต้มสุราอย่างระมัดระวัง

หยูเวิ่นเทียนมิได้กล่าวอีก ฟู่เสี่ยวกวนกลับกล่าวขึ้นมาว่า

“และในตอนนี้ก็ได้ตรวจสอบตัวตนของขันทีเว่ยแล้ว คาดว่าพระองค์เองก็คงจะทราบแล้ว เยี่ยงนั้นพระสนมซั่งก็เป็นผู้บริสุทธิ์ ข้าหวังว่าพระองค์จะสามารถเข้าใจจุดนี้ได้อย่างชาญฉลาด”

คาดไม่ถึงว่าขันทีเว่ยจะเป็นผู้พิทักษ์ของลัทธิจันทราอย่างแท้จริง

หยูเวิ่นเทียนได้ทราบผลลัพธ์นี้ในเมื่อวาน ลัทธิจันทราเป็นลัทธิที่ก่อตั้งโดยพวกที่หลงเหลือมาจากราชวงศ์ก่อน มีจุดประสงค์คือเพื่อทำลายล้างราชวงศ์หยูและฟื้นฟูราชวงศ์ก่อนขึ้นมาดังเดิม

ยามที่ทราบเรื่องนี้แผ่นหลังของหยูเวิ่นเทียนเต็มไปด้วยหยาดเหงื่อ หากเรื่องในสุสานราชวงค์สำเร็จขึ้นมา…ตนเองจะกลายเป็นผู้นำของผู้กระทำผิดของราชวงศ์หยูหรือไม่ ?

“สถานการณ์ในตอนนี้ก็เป็นเยี่ยงนี้ ฝ่าบาทต้องการจัดระเบียบการปกครองใหม่ กำจัดขุนนางที่คิดฉ้อโกงในราชสำนักให้สิ้น และจำกัดตระกูลเฟ่ยและตระกูลชือในคราเดียวกัน ดังนั้นจึงได้ซ่อนหมากรุกเยี่ยงพระองค์ไว้ก่อน”

“ฝ่าบาทใช้ท่านเป็นเหยื่อและแสดงงิ้วต่อหน้าผู้คนทั้งใต้หล้า การกระทำในครานี้มิเพียงจะทำให้กำจัดขุนนางที่คิดฉ้อโกงภายในราชสำนักไปได้ ทั้งยังดึงตัวผู้พิทักษ์ของลัทธิจันทรามาได้ 1 คน”

“องค์ชายใหญ่ พระองค์ก็ต้องแบกรับนามของความอัปยศเอาไว้ จนกระทั่งสถานการณ์บ้านเมืองสงบ ฝ่าบาทจึงจะล้างมลทินในนามผู้ร้ายให้แก่พระองค์”

“หลังจากนั้น องค์ชายใหญ่ก็ต้องเขียนหนังสือไปถึงฝ่าบาท แสดงอุดมการณ์ที่มีออกไป และไปเป็นผู้บัญชาการของกองทัพชายแดนตะวันออก เอ่ยสาบานว่าจะรบกับแคว้นอี๋ เพื่อปกป้องประเทศต้าหยูให้คงอยู่สงบสุขต่อไป”

โหรวอี๋ถึงได้เข้าใจว่าเป็นองค์ชายใหญ่ที่ไม่ได้รับความเป็นธรรม ใจของนางมีความสุขมากขึ้นเรื่อย ๆ นางรินสุราส่งให้กับฟู่เสี่ยวกวนด้วยความเคารพ และกล่าวเสียงแผ่วว่า “ขอบคุณคุณชายมากเจ้าค่ะ”

ฟู่เสี่ยวกวนยกยิ้ม และยกแก้วขึ้นมา “แคว้นอี๋ได้เริ่มการรบแล้ว กองทัพชายแดนตะวันออกยอมต้านเอาไว้มิอยู่ พระองค์ต้องการผู้ช่วยที่แข็งแกร่งผู้หนึ่งร่วมรบไปกับกองทัพชายแดนตะวันออกด้วยหรือไม่ ?”

“ผู้ใดกัน ? ” หยูเวิ่นเทียนก็ยกแก้วสุราขึ้นเช่นกัน และทั้งสองดื่มไป 1 จอก

“เฟ่ยอัน ! ”

“เขารึ ? ” หยูเวิ่นเทียนคิ้วขมวด

ฟู่เสี่ยวกวนรับกาสุรามาและรินให้หยูเวิ่นเทียนหนึ่งแก้ว “สถานการณ์ทัพหน้าบัดนี้คับขันยิ่งนัก ต่อให้พระองค์ไปในตอนนี้ก็มิมีเวลามาทำความคุ้นชินกับกองทัพนั้น ข้าคิดว่า ถึงแม้เฟ่ยอันจะจับจอบมานานหลายปี แต่เขามีประสบการณ์เกี่ยวกับกองทัพ นั่นเป็นสิ่งที่มีประโยชน์ต่อพระองค์มากที่สุดในตอนนี้”

หลังจากนั้นก็เงียบลง ทั้งสองดื่มสุรา โหรวอี๋ส่งหนังสือและพู่กันไปให้ฟู่เสี่ยวกวนอย่างเงียบ ๆ ฟู่เสี่ยวกวนก็ลงนามไปอย่างเงียบ ๆ โหรวอี๋ค่อนข้างงุนงงหลังจากที่ได้เห็นลายมือนั้น สองตาคู่นั้นที่มองไปทางฟู่เสี่ยวกวนแสดงออกมาอย่างเห็นได้ชัดว่าเขานั้นกระทำอย่างขอผ่านไปที

“พระองค์ยังมีปัญหาอันใดอีกรึ ? ”

“ฝากเจ้านำไปทูลต่อเสด็จพ่อและพระสนมซั่ง ตัวข้าเวิ่นเทียนผู้นี้…ศพจะห่อด้วยหนังม้าจะมิกลับมายังเมืองหลวงอีก ! ”