บทที่ 207 การแต่งงานแบบซื้อขาย

ยอดชายากับองค์หนูน้อยแห่งจวนอ๋องอี้

ยอดชายากับองค์หนูน้อยแห่งจวนอ๋องอี้ บทที่ 207 การแต่งงานแบบซื้อขาย

หนานหว่านเยียนหัวเราะออกมาอย่างเหยียดหยาม นางมิอยากไปใส่ใจอารมณ์ของเขา ถึงอย่างไรอีกห้าเดือนนางก็จะได้จากไปแล้ว

“ข้าต้องการเสื้อผ้า จงสั่งให้คนเอามา!”

นางใช้เขาราวกับทาสหรือ?

กู้โม่หานกำหมัดแน่น จากนั้นเดินออกไปเลือกเสื้อผ้าให้นางอย่างเชื่อฟัง

ทำอย่างไรได้เล่า ชีวิตของเสด็จแม่อยู่ในกำมือของนาง

เมื่อหนานหว่านเยียนเห็นเขาเดินทางจากไปแล้ว จึงได้ขึ้นเตียงพักผ่อน

ช่วงเวลาที่อยู่ในพระราชวังนี้ นางจะต้องยื้อชีวิตของหยีเฟยมาให้ได้ นางจะได้กลับไปหาลูกของนาง และรับท่านน้ากลับมาที่จวน

อีกอย่าง ท่าทีของฮ่องเต้ที่มีต่อหยีเฟยในวันนี้ราวกับเป็นทุกข์ใจยิ่งนัก หากนางรักษาหยีเฟยได้จริงละก็ คาดว่าคงจะร้องขอป้ายละตายอาญาสิทธิ์จากฮ่องเต้ได้

แน่นอนว่าป้ายละตายอาญาสิทธิ์นั้น แม้จะอยากได้ก็ยากที่จะได้มา หากมิได้ก็มิเป็นไร ขอเพียงนางได้กลับบ้านก็พอ……

กู้โม่หานเลือกหาเสื้อผ้าให้แก่หนานหว่านเยียนด้วยความหงุดหงิดโมโห ตอนที่กลับมาอีกครั้ง พบว่านางนอนหลับอยู่บนเตียงแล้ว

คิ้วและดวงตาของนางดูอ่อนล้า ท่าทีของชายหนุ่มซับซ้อนขึ้นในทันใด

แม้นางจะเหนื่อยจนแทบขาดใจ แต่เพียงแค่นางอ้าปากเอ่ยก็ทำให้ผู้คนโมโหหงุดหงิดได้

กู้โม่หานวางเสื้อผ้าของนางลงข้างเตียง แล้วกลับไปเอนกายลงบนที่นอนของตน

อีกด้านหนึ่ง เมื่อฮองเฮากลับมายังตำหนักหยูซิน อ๋องเฉิงและพระชายาก็ได้พำนักอยู่ที่พระราชวังด้วย

หนานชิงชิงเอนกายไปที่เตียงอย่างเกียจคร้าน กู้โม่เฟิงนั่งอยู่ข้างนางทำท่าทีครุ่นคิด

หนานชิงชิงเหลือบตามองเขาจู่ๆ นางก็เอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงราวกับจะลองเชิงว่า

“ท่านอ๋อง มิรู้ว่าน้องสาวข้านั้น ความรู้ของนางจะนำมาใช้รักษาหยีเฟยเหนียงเหนียงได้หรือไม่ แต่……หากว่าหยีเฟยเหนียงเหนียงสิ้นใจไปจริงละก็ จะสร้างความเสียหายด้านสภาพจิตใจให้แก่น้องหกมิน้อย”

แม้นางจะกล่าวเช่นนั้น แต่สิ่งที่นางต้องการเห็นก็คือหนานหว่านเยียนที่สูญเสียทุกสิ่งอย่าง

บัดนี้ทักษะทางการแพทย์ของหนานหว่านเยียนค่อนข้างโดดเด่น จึงทำให้มีชื่อเสียงอันดี หากจะปล่อยให้หนานหว่านเยียนช่วยเหลือหยีเฟยสำเร็จ คาดว่านางจะมีชื่อเสียงมากในอนาคต

หนานชิงชิงต้องการจะหยิบยกเรื่องนี้มาเคลื่อนไหวปรุงแต่ง เพื่อที่ต้องการดูทัศนคติของกู้โม่เฟิง

กู้โม่เฟิงขมวดคิ้ว เหลือบตามองไปที่นางราวกับได้ยินคำบางอย่างที่มิควร เขากล่าวอย่างหนักแน่นว่า “เจ้าอย่าคิดกระทำการชั่ว”

“กู้โม่หานนั้นสมควรตายก็จริง แต่หยีเฟยนับได้ว่าตายไปแล้ว มิควรจะจุดไฟไปที่นาง”

เขาต้องการแย่งตำแหน่งรัชทายาท ในฐานะองค์ชาย หากเขามิเข้าแย่งตำแหน่งแล้วจะปกป้องตนเองอย่างไร

แต่กู้โม่หานก็ต้องการชีวิตเขา

ด้วยเหตุนี้เองกู้โม่เฟิงจึงอยากจะให้กู้โม่หานตาย

แต่นี่เป็นเรื่องความคับแค้นระหว่างพี่น้อง มิจำเป็นต้องเอาหยีเฟยเข้ามาเกี่ยวข้อง

หากต้องการใช้เหตุผลของ หยีเฟยมาข่มขู่กู้โม่หาน เสด็จแม่คงจะช่วยเขาตั้งนานแล้ว เหตุใดจึงต้องรอจนถึงบัดนี้……

“แต่ว่าท่านอ๋องเพคะ……” หนานหว่านชิงกัดฟัน ราวกับตั้งใจจะเอ่ยบางอย่างออกมา แต่กู้โม่เฟิงเอนกายลงไปที่เตียงหันไปด้านข้างมิอยากฟัง

น้ำเสียงของเขาดูไร้ซึ่งความอดทน กล่าวอย่างดุเดือดว่า “มิจำเป็นต้องเอ่ยให้มากความ วันพรุ่งนี้เจ้าจงกลับไปที่จวนอ๋องเฉิงเถิด ลูกยังเล็กนัก อย่าได้ปล่อยให้แม่นมดูแลไปเสียทุกเรื่อง”

หนานชิงชิงโมโหหงุดหงิด กู้โม่เฟิง ไอ้คนโง่เง่าหัวรั้น!

นางแอบเกลียดและโกรธแค้น กัดฟันด่าแช่งอยู่ในใจ

“ไอ้พวกมิมีความทะเยอทะยาน โอกาสแสนดีเช่นนี้มาอยู่ตรงหน้าเจ้า กลับมิยอมลงมือ ปล่อยให้อ๋องอี้และพระชายาของเขาแย่งไปได้”

เห็นได้ชัดว่ากู้โม่เฟิงมิต้องการรับรู้สิ่งใด หนานชิงชิงจึงมิได้กล่าวอะไรออกหมัวมัวกความ นางหันหลังกลับไปนางครุ่นคิด

บัดนี้ทุกอย่างเป็นอย่างไรยังมิรู้ หนานหว่านเยียนอาจจะมิได้มีความสามารถเก่งกาจเช่นนั้น

ถึงยังไงหยีเฟยนอนเป็นเจ้าหญิงนิทราเช่นนี้เป็นเวลาสิบกว่าปีแล้ว ประกอบกับอาการเจ็บป่วยของนางในครั้งนี้ก็หนักหนา แม้แต่หมอหลวงก็ประกาศแล้วว่าใกล้สิ้นใจ หนานหว่านเยียนคิดจะไปต่อสู้กับยมทูตงั้นหรือ?

เมื่อคิดได้ดังนั้นนางก็สะลึมสะลือแล้วหลับไป

ค่ำคืนนี้ทุกอย่างเงียบสงบ

เช้าวันต่อมา

กู้โม่หานและภรรยาตื่นขึ้นในเวลาพร้อมเพรียงกัน ทั้งสองคนมองหน้าแล้วชะงักลงเล็กน้อย

กู้โม่หานเห็นใบหน้าของหนานหว่านเยียนที่เพิ่งตื่นยังคงมีรอยแดงเล็กน้อย เขาจึงหันหนี

“ลุกขึ้นได้แล้ว รีบไปดูเสด็จแม่”

หนานหว่านเยียนครึ่งหลับครึ่งตื่นได้ยินชายหนุ่มออกคำสั่ง

นางตะคอกออกมาเบาๆ แล้วชักสีหน้าไปทางกู้โม่หานว่า “เรื่องแค่นี้ต้องให้เจ้ามายุ่งด้วยหรือ!”

เมื่อวานนี้หวางหมัวมัวมิได้เดินทางมาเรียกนาง นั่นหมายความว่าหยีเฟยไข้ลดลงแล้ว

การที่ไข้ลดลงเป็นเรื่องดี

ในมิช้ากู้โม่หานก็จัดเก็บที่นอนบนพื้นและสวมเสื้อผ้าเรียบร้อยเปิดประตูออกไป

เมื่อเปิดประตู ก็พบกับหมัวมัวชราคนหนึ่งยืนยิ้มต้อนรับ

นางคือหลี่หมัวมัวผู้รับใช้ข้างกายของไทเฮา

หลี่หมัวมัวโค้งกายคารวะกู้โม่หานจากนั้นทำมือเป็นท่าทางว่าเชิญ “ไทเฮาทรงรับสั่งให้อ๋องอี้เสด็จไปที่ตำหนักเพคะ”

กู้โม่หานพยักหน้า “อืม”

เขาหันไปมองหนานหว่านเยียน “หากมีเรื่องใดให้ส่งคนไปหาข้าที่ตำหนักไทเฮา”

หนานหว่านเยียนเหลือบมองดูกู้โม่หานแล้วยกมือขึ้นเป็นสัญลักษณ์ว่าตกลง

“ไปเถอะ”

กู้โม่หานมิเข้าใจสัญลักษณ์มือของนาง ได้แต่ตอบรับแล้วเดินทางจากไป

หลังจากที่หลี่หมัวมัวและกู้โม่หานเดินออกไปห่างไกลแล้ว หนานหว่านเยียนจึงได้ลุกขึ้นล้างหน้าเปลี่ยนเสื้อผ้าที่กู้โม่หานจัดเตรียมไว้ให้ จากนั้นแต่งตัวเรียบร้อย สวมหน้ากากอนามัยมุ่งหน้าไปที่ตำหนักอู๋ขู่

เมื่อหนานหว่านเยียนเดินทางมาถึงตำหนักอู๋ขู่ ก็พบว่าหวางหมัวมัวคอยรับใช้อยู่ข้างกายหยีเฟยดวงตาคล้ำดำราวกับมิเคยได้หลับตาเลยทั้งคืน

นางขมวดคิ้วแล้วเดินตรงเข้าไปข้างหน้าเอื้อมมือมาจับชีพจรหยีเฟยกล่าวว่า “หวางหมัวมัว หากเจ้าว่างก็จงไปพักผ่อนเถิด ทางด้านเสด็จแม่อาการดีขึ้นแล้ว เนื่องจากนางไข้ลดลงมิน้อย”

“เมื่อครู่ข้าจับชีพจรของเสด็จแม่ดู พบว่าราบรื่นดี เพียงแค่ทุกครึ่งชั่วโมงส่งคนมาพลิกกายให้เสด็จแม่และคอยลูบหลังนางช่วยให้นางไอเอาเสมหะในร่างกายออกมา”

เมื่อกล่าวจบ นางมิรอให้หวางหมัวมัวตอบกลับ ก็ได้หยิบขวดยาออกมาจากกล่อง แล้วใส่เข็มให้กับหยีเฟย

จากนั้นกำชับหวางหมัวมัวให้ส่งคนมาคอยเฝ้าดู หากด้านในมิมีน้ำยาเหลือแล้วก็ให้เปลี่ยนอีกขวดหนึ่ง

หนานหว่านเยียนได้ทำเครื่องหมายถึงลำดับเอาไว้แล้ว

หวางหมัวมัวได้แต่ฟังและพยักหน้า นางมิต้องการสนทนากับหนานหว่านเยียน

หนานหว่านเยียนก็มิอยากจะสนใจเช่นกัน เมื่อนางจัดเตรียมทุกอย่างเรียบร้อยแล้วก็ก้าวขาเดินออกไปจากตำหนักอู๋ขู่ ตั้งใจจะเดินทางไปตำหนักหลวนเฟิ่งเพื่อเข้าเฝ้าไทเฮาสักหน่อย และรายงานสถานการณ์ให้กู้โม่หานฟัง

หวางหมัวมัวมองไปยังร่างของหนานหว่านเยียนที่เดินจากไป จากนั้นหันกลับมามองดูผู้ที่นอนอยู่บนเตียงหยีเฟยซึ่งถูกช่วยชีวิตกลับคืนมาได้ ดวงตาของนางจู่ๆ ก็แดงเรื่อ

หนานหว่านเยียนช่วยเหนียงเหนียงกลับมาได้แล้วจริงๆ นางมิรู้ว่าจะปฏิบัติต่อหนานหว่านเยียนเช่นไรดี……

ขณะที่หนานหว่านเยียนเดินออกไปจากตำหนักอู๋ขู่มินานนัก ก็มีขันทีชราผู้หนึ่งซึ่งมากไปด้วยประสบการณ์มาหยุดรั้งนางเอาไว้อย่างเร่งรีบ

“ช้าก่อนพระชายา”

หนานหว่านเยียนชะงักฝีเท้าลงแล้วหันไปมองเขาด้วยความงุนงง

เฟิ่งกงกงยิ้มขึ้นอย่างมิได้รีบร้อนใจว่า “ข้าน้อยคือเฟิ่งจงฉวน ขันทีข้างกายของฮ่องเต้ พระชายาอี้ ฝ่าบาทมีรับสั่งให้เสด็จไปเข้าเฝ้า”

หนานหว่านเยียนขมวดคิ้วแต่ก็มิได้รู้สึกถึงความผิดปกติ นางจึงเดินตามเฟิ่งกงกงไป

ภายในตำหนักเฉียนซิน กู้จิ่งซานยืนเอามือไขว้หลังเอาไว้แล้วมองหนานหว่านเยียนจากเบื้องบน รังสีความเข้มงวดแผ่ซ่านออกมา ทำให้รู้สึกดูน่ากลัว

เขาออกคำสั่งให้นางในและขันทีทั้งหลายออกไปข้างนอก เหลือไว้เพียงแค่หนานหว่านเยียนและเขาตามลำพัง

หนานหว่านเยียนรู้สึกว่าในวันนี้ฝ่าบาทดู……มิเหมือนเดิม

นางสงบจิตสงบใจแล้วคารวะด้วยความเคารพนอบน้อม “คารวะเสด็จพ่อ”

กู้จิ่งซานจ้องมองหรี่ตาลง “ลุกขึ้นก่อนแล้วค่อยว่ากัน”

หนานหว่านเยียนลุกขึ้นยืน เดิมทีคิดว่าเขาจะเอ่ยถึงอาการของหยีเฟย เนื่องจากเมื่อวานนี้เขาดูเป็นกังวลนัก

ขณะที่นางกำลังจะกล่าวรายงานก็ได้ยินฮ่องเต้ตรัสอย่างเย็นชาว่า

“ข้ามอบงานแต่งในครั้งนั้นให้เจ้า เพื่อคอยจับตาดูอ๋องอี้ ห้าปีมานี้เจ้ากลับเงียบหายไร้ข่าวสาร ช่วงนี้ข้าพอจะเห็นความเคลื่อนไหวของเจ้าบ้าง”

“ว่ามาเถิด ช่วงนี้อ๋องอี้มีการเคลื่อนไหวได้บ้าง”

น้ำเสียงของเขามิสูงมิต่ำ แต่มีความเยือกเย็นและโกรธเกรี้ยวแฝงอยู่ในนั้น มันหนักหน่วงเสียจนยากจะหายใจ

เมื่อได้ยินดังนั้นหนานหว่านเยียนก็ตกตะลึงยืนอยู่ที่เดิม ในใจของนางรู้สึกหวาดกลัว

ฮ่องเต้ได้ให้เจ้าของร่างเดิมนี้คอยจับตามองดูกู้โม่หาน?

เป็นไปได้หรือไม่ว่าเจ้าของร่างเดิมมิได้ยินยอม แต่เป็นงานแต่งงานที่ถูกซื้อขาย……