ฉันเปิดประตูบานแรกที่ติดกับทางเดินซึ่งเหล่านักบวชใช้สัญจรพลางออกคำสั่งกับเหล่านักบวชที่เฝ้าหน้าประตู
“วันนี้มีเรื่องเหน็ดเหนื่อยมากเหลือเกิน ข้าอยากพักผ่อนเสียหน่อย นอกจากเซอร์ราธบันมาขอพบแล้ว ข้าไม่พบใครทั้งนั้น แล้วก็ถ้าเป็นไปได้ พยายามอย่าเข้ามาใกล้ด้านในด้วย”
“เข้าใจแล้วค่ะ ท่านนักบุญหญิง”
ฉันปิดประตูลงหลังจากได้ยินคำตอบ ทันทีที่เงาร่างของเหล่านักบวชหายไปจากสายตา ฉันก็หมุนตัวกลับและเปิดประตูที่เชื่อมกับด้านในทันที ฉันเปิดประตูหลายบานอย่างรวดเร็วและเข้าไปด้านในจนคล้ายกับกำลังวิ่ง และในตอนที่ประตูบานสุดท้ายเปิดออก ฉันก็ตะโกนออกไปอย่างข่มกลั้นไม่ไหว
“แอสรัน สำเร็จแล้ว!”
ได้ยินเสียงร้องตะโกนของฉัน แอสรันที่นอนอยู่บนเตียงก็ขยับตัว ฉันจ้องมองเขา จากนั้นก็มองมือตนเอง มันยังสั่นน้อยๆ ไม่หยุด ไม่ใช่เพราะหวาดกลัวหรือประหม่า นี่เป็นความปลาบปลื้มที่รู้สึกได้ตอนทำอะไรบางอย่างสำเร็จ
แม้จะเคยได้ยินมาบ้าง แต่เพราะเพิ่งเคยประสบกับตนเองเป็นครั้งแรก ฉันจึงจ้องมองมือที่สั่นซ้ำแล้วซ้ำเล่าพลางเดินไปเดินมาในห้อง จากนั้นก็ดึงหมอนที่วางอยู่บนโซฟามากอดอย่างแรง ตอนนั้นเองหัวใจถึงได้สงบลงบ้าง
ฉันไม่รู้เลยว่าประคองสติกลับมาถึงที่นี่ได้อย่างไร สิ่งที่จำได้มีเพียงใบหน้าที่เหยเกของคาร์ล เหล่านักบวชที่เดินออกห่างจากเขา และเสียงของราธบันที่บอกว่าฝากเรื่องที่นี่ให้เขาจัดการเองเท่านั้น
“นั่นมันน่าดีใจถึงเพียงนั้นเลยหรือ?”
ฉันตอบกลับไปทันทีเมื่อได้ยินน้ำเสียงราวกับไม่เข้าใจของแอสรัน
“แน่นอนสิ!”
อันที่จริง เรื่องราวทั้งหมดนี้คงไม่มีทางสำเร็จถ้าไม่ได้ความช่วยเหลือจากแอสรัน ใบร้องเรียนที่ติดกับผนังก็เป็นเขาที่ใช้เวทมนตร์ติดเอาไว้ ส่วนไม้และปีศาจที่ไปโผล่ในบ้านพักของคาร์ลก็ล้วนแต่เป็นผลงานของแอสรันเช่นกัน
“ปีศาจตัวนั้นทำได้อย่างไรกัน? มันก้มหัวให้คาร์ลราวกับว่าเขาเป็นเจ้าของมันจริงๆ เลย!”
ที่ฉันไม่กรีดร้องออกมาในตอนที่ปีศาจปรากฏตัวออกมาจากด้านในกล่องไม้เป็นเพราะเมื่อวานแอสรันได้แสดงให้ดูก่อนแล้วว่ามันมีหน้าตาเป็นอย่างไร และแน่นอนว่าเขาให้ดูกล่องไม้ที่ใช้กักขังมันด้วย ทว่ามีเรื่องหนึ่งที่เขาไม่ได้บอกกับฉันก่อน
“คิดๆ ดูแล้ว ท่านบอกว่าพลังเวทที่เหลืออยู่ในกล่องไม้มันไม่เท่าไร แต่มันกลับทะลักออกมาอย่างล้นหลามมาก แล้วยังถูกพลังศักดิ์สิทธิ์ข่มลงได้ง่ายๆ…คงมิใช่ว่า นั่นก็เป็นท่านที่จงใจทำให้มันออกมาเป็นแบบนั้นหรอกใช่ไหม?”
ภาพที่พลังเวทถูกข่มด้วยพลังศักดิ์สิทธิ์และสลายไป ทำให้พลังศักด์สิทธิ์ของฉันดูยิ่งใหญ่และเหนือกว่า ราวกับจงใจสร้างสถานการณ์อย่างไรอย่างนั้น
“ก็ใช่น่ะสิ”
แอสรันเท้าคางพลางมองมาที่ฉันด้วยใบหน้าที่ราวกับถามว่าทำไมถึงได้ถามเรื่องนั้น
“เอาเป็นว่า เป็นอย่างที่คิด…ไม่สิ มันออกมาดีกว่าที่คิดเสียอีก เหล่านักบวชไม่เข้าใกล้คาร์ลที่ถูกนำทางไปยังบ้านพักหลังอื่น และบรรยากาศกับนักบวชคนอื่นที่เหลือก็ไม่ค่อยดีด้วย แม้เขาจะบอกว่าไม่ได้ทำ แต่ไม่รู้เพราะทุกคนได้รับความกระทบกระเทือนจากการเจอปีศาจกับพลังเวทในวิหารหลวงหรืออย่างไร พวกเขาถึงได้เอาแต่พูดถึงเรื่องนี้กันไปทั่ว”
แม้จะแน่นอนอยู่แล้ว แต่เหตุการณ์คราวนี้เป็นเรื่องที่ถูกวางแผนไว้ตั้งแต่แรก
ฉันอยากเอาคืนให้สาสมกับที่โดนมา ดังนั้นฉันจึงเอาคืนด้วยวิธีการเดียวกับที่นักบวชคาร์ลใช้
สร้างสถานการณ์วุ่นวาย จากนั้นก็ทำให้ทุกคนเห็น
และแน่นอนว่าสถานการณ์ที่วุ่นวายนั้น จะต้องเป็นสิ่งที่รุนแรงสำหรับผู้ที่ได้ชื่อว่าเป็นนักบวชที่สุด
แน่นอนหรือ จะเรียกว่าแน่นอนได้ไหมนะ? สิ่งที่ไม่ควรเข้าใกล้ร่างกายของนักบวชผู้นับถือพระเจ้ามากที่สุดก็คือพลังเวท เพราะพลังศักดิ์สิทธิ์เป็นพลังที่ได้รับมาจากพระเจ้าซึ่งช่วยทำให้โลกสงบสุข ส่วนพลังเวทคือพลังที่รวบรวมขึ้นจากสิ่งมีชีวิตอันน่าสะพรึงกลัวจากต่างโลกซึ่งท้าทายอำนาจของพระเจ้า
ทว่าก็มีเหล่านักบวชที่ลุ่มหลงในความดุดันของพลังเวทซึ่งแตกต่างจากความอ่อนโยนของพลังศักดิ์สิทธิ์อยู่บ้างเช่นกัน ตามกฎระเบียบของวิหาร เหล่านักบวชจำพวกนั้นจะต้องถูกลงโทษอย่างเข้มงวดมากกว่าความผิดร้ายแรงใดๆ การลุ่มหลงในกามราคะหรือละโมภทรัพย์สินยังดีเสียกว่า หากได้เข้าไปพัวพันกับข่าวลือที่เกี่ยวข้องกับพลังเวทล่ะก็ ในความเป็นจริง นักบวชคนนั้นคงต้องจบชีวิตการเป็นนักบวชแล้ว
‘ดังนั้น เขาจึงถูกตัดสิทธิ์จากการเป็นผู้เข้าคัดเลือกผู้อาวุโสเป็นอย่างแรก’
แม้ราธบันจะสั่งให้เหล่าอัศวินนำทางให้คาร์ลอย่างสุภาพ แต่เขากลับกล่าวว่าจะสืบสวนข้อกล่าวหาให้ชัดเจน แต่ละคำที่เขาพูดออกมาล้วนแต่มีอคติ ราวกับว่าเขาได้ตัดสินใจแน่ชัดในเรื่องนี้แล้ว
อีกทั้งหลังจากที่คาร์ลและเหล่าอัศวินจากไป ราธบันยังพึมพำคล้ายว่าพูดกับตนเอง
“ปีศาจที่เชื่อฟังคนถึงขนาดนี้อย่างนั้นหรือ… นี่เขาเลี้ยงมันให้เชื่องอย่างนี้ได้อย่างไรกัน”
แม้จะเรียกว่าพูดคนเดียว แต่ก็เป็นถ้อยคำที่พอจะทำให้ผู้คนที่อยู่รอบข้างนั้นได้ยิน
เหล่านักบวชเริ่มหวั่นไหวกันทีละคน สองคน นั่นคือราธบันผู้ที่เคยต่อสู้กับปีศาจมานับไม่ถ้วน ดังนั้นเขาจึงเป็นคนที่มีความรอบรู้เกี่ยวกับปีศาจมากกว่าผู้ใดในวิหารหลวง ปีศาจที่เชื่องจนถึงกับทำให้เขาทำตัวไม่ถูก อีกทั้งยังมิชัดเจนอีกหรือว่าปีศาจตัวนั้นมันเชื่อฟังใครบางคน
คิดได้ถึงตรงนั้น ฉันก็จ้องมองแอสรัน ทันใดนั้น เขาก็สบตาฉันราวกับจะถามว่ามองทำไม
“เฮ้อออ”
ฉันถอนหายใจออกมาทันที อันที่จริง ความผิดที่ฉันใส่ร้ายคาร์ลก็เป็นความผิดที่ฉันกำลังทำอยู่ตอนนี้
‘ถึงแม้อีเบลลีน่าจะเป็นคนเริ่ม…’
เพียงแค่ปีศาจตัวเล็กตัวหนึ่งนั่งลงบนไหล่ยังทำให้ชื่อเสียงอันดีงามของคาร์ลดำดิ่งลงสู่ก้นบึ้ง แล้วนี่ปีศาจที่แข็งแกร่งที่สุดซึ่งปีศาจแบบนั้นยังไม่อาจเทียบได้กลับกำลังนั่งอยู่บนเตียงนอนของฉัน มิหนำซ้ำฉันถึงกับมีอะไรกับปีศาจตัวนั้นแล้วด้วย
‘ถ้าหากว่า…’
ถ้าความสัมพันธ์ของฉันกับแอสรันเป็นถูกแพร่งพรายออกไป ฉันจะเป็นอย่างไร
สันหลังพลันเย็นวาบ ฉันตระหนักได้ว่าราธบันและเลออนกำลังช่วยปิดตาให้กับความจริงอันน่าตกใจขนาดไหน ทั้งยังรู้สึกตัวแล้วว่าแอสรันอยู่อย่างสงบเสงี่ยมจริงๆ
ฉันกอดหมอนขณะลูบแขนที่ขนลุกชันพลางนึกถึงอีเบลลีน่า
ในตอนที่เรียกตัวแอสรันมา อีเบลลีน่าไม่มีทางคิดว่าราธบันและเลออนจะให้ความช่วยเหลือแบบนี้แน่ แต่ทั้งๆ ที่รู้แบบนั้น นางก็ยังคงลากเขามา นักบุญหญิงเป็นผู้ลากตัวตนที่เป็นดั่งภูตผีในสถานที่อันศักดิ์สิทธิ์ของพระเจ้ามาเองอย่างนั้นเหรอ ฉันนึกย้อนถึงช่องความปรารถนาของอีเบลลีน่าในกระดานชนวนที่ยังไม่ได้เขียนอะไรลงไปซึ่งแอสรันเคยนำมาให้ดูอีกครั้ง
ฉันไม่อาจคิดได้ว่านางเรียกแอสรันมาเพียงเพื่อต่อสู้กับคาร์ลเท่านั้น คาร์ลเป็นคนที่หากฉันไม่เรียกกลับมา เขาก็ไม่มีทางกลับมาได้ ฉันรู้ว่าอีเบลลีน่าเรียกแอสรันมาเพื่อขอให้เขาช่วยลบรอยอย่างที่ถูกเขียนไว้เป็นอย่างแรก แต่ว่าเหตุผลที่เรียกแอสรันมา จะมีเพียงแค่นั้นจริงเหรอ?
‘คาร์ลก็ส่วนหนึ่ง แต่สุดท้ายแล้วสิ่งที่อีเบลลีน่าต้องการคืออะไรกันแน่?’
แม้จะถาม แต่อีเบลลีน่าที่กำลังหลับอยู่ในจิตสำนึกก็ไม่มีทางตอบได้ ตอนนั้นเอง แอสรันก็พูดขึ้น
“ทำไมมองข้าด้วยสายตาเช่นนั้น”
ได้ยินดังนั้น ฉันจึงรีบคลายใบหน้ายับย่นแล้วตอบกลับ
“ข้าซาบซึ้ง”
นี่เป็นความจริง ตอนนี้ ชั่วขณะนี้ ฉันรู้สึกขอบคุณในสิ่งที่แอสรันช่วยจนมองเห็นรัศมีเปล่งประกายอยู่ด้านหลังเขาแล้ว แน่นอนว่าไม่ใช่แค่แอสรัน ทั้งราธบันและเลออนเองก็ช่วยด้วยเช่นกัน แต่ทั้งสองคนคงปฏิเสธไม่ได้ว่าเรื่องราวคราวนี้ แอสรันเป็นคนที่ทำงานหนักที่สุด
แอสรันนิ่วหน้าเล็กน้อยเมื่อได้ยินคำตอบของฉัน ก่อนจะจ้องหมอนที่ฉันกอดอยู่เขม็ง
“คนที่ช่วยเจ้าไม่ใช่หมอนปุยนุ่นนั่นเสียหน่อย”
ฉันเข้าใจว่าเขาต้องการอะไรทันทีเมื่อได้ยินดังนั้น ฉันรีบโยนหมอนที่กอดอยู่อ้อมแขนไปบนโซฟาอย่างเปิดเผย ก่อนจะเดินเข้าไปด้านข้าง และดึงแขนเขาเข้ามากอด รู้สึกได้ว่าแขนของเขาที่สัมผัสได้ใต้เสื้อคล้ายผ้าไหมสะดุ้งเบาๆ
“ขอบคุณค่ะ แอสรัน”
“…”
แอสรันเคยกล่าวว่าต้องการคำขอบคุณเป็นค่าตอบแทนสำหรับความช่วยเหลือของเขา ถ้าอย่างนั้น วันนี้ทั้งวันฉันก็จะพูดมันให้เขาฟังอีกเป็นร้อยเป็นพันครั้ง
“จริงๆ นะ นี่เป็นครั้งแรกในชีวิตเลย ที่ข้าทำอะไรสำเร็จเช่นนี้”
ความตื่นเต้นของฉันยังไม่สงบลง พลังเวทนั้นสามารถทำได้หลายอย่างต่างจากพลังศักดิ์สิทธิ์ที่ถูกจำกัดการใช้งาน
‘แต่ถึงจะว่าอย่างนั้น ใครจะคิดว่าเรื่องที่วางแผนไว้จะสำเร็จได้ง่ายแบบนี้’
ทั้งติดใบร้องเรียน กักขังพลังเวทไว้ในกล่อง สร้างปีศาจ รวมถึงยังสร้างสถานการณ์ตรงนั้นว่าพลังเวทถูกพลังศักดิ์สิทธิ์กดข่มจนสลายไปอย่างสง่าผ่าเผยอีก
‘ถ้าทำได้ขนาดนี้ก็เรียกได้ว่ามันทำได้รอบด้านเลยไม่ใช่เหรอ?’
ฉันเข้าใจแล้วว่าทำไมผู้คนจำนวนมากถึงยังเลือกเดินบนเส้นทางของจอมเวทและเตรียมใจรับการถูกต่อต้าน จะมีใครที่ไม่ต้องการสิ่งที่สะดวกสบายแบบนี้ด้วยเหรอ อีกทั้งมันยังเป็นพลังที่สามารถใช้โจมตีได้ ดังนั้นฉันจึงเข้าใจแล้วว่าทำไมหลายๆ อาณาจักรจึงพยายามอย่างยิ่งที่จะรักษาจอมเวทเอาไว้ ทั้งที่รู้ว่าจะถูกประณาม
‘ฉันเองก็สามารถใช้เวทมนตร์ได้เหมือนกันไหมนะ?’
เพราะความตื่นเต้น ทำให้ฉันถามแอสรันออกไปทันที
“แอสรัน ข้าเองก็สามารถใช้เวทมนตร์ได้หรือไม่?”
ทันทีที่ได้ยินคำถามของฉัน แอสรันก็มีสีหน้าเหมือนกับได้ยินเรื่องไร้สาระที่สุดในโลก
“เจ้าจะใช้เวทมนตร์? อย่างไร?”
“อย่างไรหรือ…”
“คิดว่าพลังศักดิ์สิทธิ์ที่อยู่ในร่างเจ้าจะยอมรับพลังเวทอย่างนั้นหรือ? ตอนนี้ข้าอยู่เฉยๆ เจ้าเลยสัมผัสไม่ได้ แต่ที่จริงแค่เจ้าแตะ พวกปีศาจระดับต่ำก็กระเด็นได้ทันที”
พูดได้ถึงตรงนั้น ดวงตาแอสรันก็หรี่ลง จากนั้นมุมปากพลันมีรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ เขาจับฉันนั่งบนเข่าให้หันหน้าเข้าหากัน แล้วดึงเอวเข้าไปอย่างแรง
ทันทีที่สัมผัสเข้ากับหน้าอกใต้ร่มผ้าบาง ฉันก็รู้สึกได้ว่าจังหวะหัวใจของเขาเต้นช้ามากเมื่อเทียบกับมนุษย์ มือที่จับเอวสอดเข้ามาในชุดเครื่องแบบโดยไม่รู้ตัว
“แอสรัน ดะ เดี๋ยวก่อน… อื้ออ!”
มือเย็นหมุนวนเหนือหน้าอก ก่อนจะเคล้นคลึงอย่างนุ่มนวล คงเพราะเขาลูบไล้ยอดอกด้วยความเพลิดเพลิน มันจึงที่ชูชันขึ้นตั้งแต่เมื่อไรไม่รู้ แอสรันบิดมันด้วยนิ้วมือ
“อือ อืม! ถะ ถ้าจับแบบนั้น…!”
อาจเพราะไม่ได้ถูกกระตุ้นแบบนี้มาสักพัก ร่างกายของฉันถึงได้ตอบสนองต่อสัมผัสที่คุ้นเคยอย่างรวดเร็ว มือที่อยู่ไม่สุขของแอสรันทำให้ฉันเริ่มหายใจหอบหนักมากขึ้นเรื่อยๆ
ฉันคิดจะเบี่ยงเอวหนี แต่แอสรันใช้แขนอีกข้างโอบเอวฉันแน่น เป็นแขนข้างที่กลับมาอยู่ในสภาพของมนุษย์แล้ว แต่ไม่รู้ทำไมฉันถึงยังรู้สึกเหมือนถูกโอบไว้ด้วยแขนของสัตว์เดรัจฉานขนาดใหญ่เช่นเดิม แต่ฉันไม่ได้หวาดกลัว
ฉันขยับตัวอยู่อีกหลายครั้ง ก่อนจะผ่อนแรงและทิ้งตัวลงในอกแอสรัน อย่างไรยิ่งฉันพยายามหนีเขาก็ยิ่งไม่ปล่อยอยู่ดี
คงเพราะพอใจที่ฉันทำแบบนั้น มือของเขาที่เย้าแหย่หน้าอกจึงเปลี่ยนมาเคลื่อนไหวอย่างนุ่มนวล เขาเคล้นคลึงหน้าอกอย่างเอาแต่ใจราวกับเป็นของตนเองพลางเลื่อนมือลงไปด้านล่างคล้ายว่ากำลังเล่นสนุก
“ฮา…”
ในตอนที่พยายามจะหายใจเข้าไป แอสรันก็เปิดปากขึ้น
“พลังเวทที่เจ้าสามารถกักเก็บไว้ได้มีเพียงอย่างเดียวเท่านั้น”
หลังจากพูดด้วยน้ำเสียงที่สงบลง แอสรันถอนตัวออกไปเล็กน้อยก่อนจะดึงชุดเครื่องแบบฉันลงมา เสื้อผ้าร่วงหล่นลงอย่างไร้เรี่ยวแรง อากาศเย็นสัมผัสเข้ากับผิวใสที่เผยออกจนขนลุกเบาๆ แอสรันลูบไล้ร่างกายของฉันก่อนจะยกนิ้วมือขึ้น นิ้วของเขาวาดวงกลมวงใหญ่ลงไปบนหน้าท้องแบนราบ
“ที่ตรงนี้ แค่ของข้าเท่านั้น”
ความรู้สึกที่นิ้วเฉียดผ่านราวกับสัมผัสแต่ไม่สัมผัสบนผิวทำให้ฉันหายใจติดขัดกว่าเดิม อีกทั้งในตอนที่ตระหนักได้ว่าพลังเวทเพียงอย่างเดียวที่ฉันกักเก็บได้คืออะไร ใบหน้าก็ร้อนผ่าวขึ้นมาทันที
ไม่ใช่เพียงแค่ลมหายใจหอบหนักขึ้นเท่านั้น ฉันสัมผัสได้ว่าส่วนนั้นของเขากำลังแข็งขึ้นจนน่าตกใจราวกับมันจะเข้ามาในระหว่างขาของฉันเดี๋ยวนี้ แม้ฉันจะเคยคิดมาก่อนว่าช่วงเวลาเหล่านี้อาจจะมาถึงเมื่อถูกทิ้งให้อยู่ตามลำพังกับเขาสองคน แต่ร่างกายของฉันก็ยังสะดุ้งเพราะตกใจกับส่วนนั้นของเขาที่นูนขึ้นมาอย่างชัดเจนเหนือผ้า
“…ข้ามิได้ตั้งใจให้เป็นเช่นนี้”
ทันใดนั้น แอสรันก็เปล่งเสียงออกมาคล้ายกับกำลังอดทนอย่างถึงที่สุด การเคลื่อนไหวของฉัน อย่าว่าแต่ออกห่างจากเขาเลย กลับกลายเป็นยิ่งไปกระตุ้นเขาด้วยซ้ำ เขาเก็บมือที่ก่อกวนเหนือหน้าท้อง แล้วใช้สองมือจับก้นของฉันลากเข้ามา
ส่วนล่างของเขาที่สามารถคาดเดาความยิ่งใหญ่แต่จะอยู่ใต้ร่มผ้ากดเข้าด้านล่างอย่างแนบแน่น ท่านั้นกลับดูน่าเขินอายยิ่งกว่าตอนที่มีอะไรกัน เมื่อฉันเงยหน้าขึ้น เขาก็ขยับร่างกายอย่างเชื่องช้าพร้อมกับหัวเราะเสียงต่ำ ทั้งที่รู้ว่ามันไม่ได้เข้ามาเพราะสวมเสื้อผ้าอยู่ แต่ร่างกายกลับแข็งเกร็งยิ่งกว่าก่อนหน้านี้ที่เคยรับมันเข้ามา
เสียงสวบสาบของเสื้อผ้าที่ถูกันค่อยๆ ดังขึ้นเรื่อยๆ ในห้อง ส่วนนั้นของเขาที่แนบชิดอยู่กับส่วนล่างค่อยๆ ขยายใหญ่ขึ้นพร้อมกับดวงตาสีแดงที่เริ่มมีประกายอันตราย ฉันรีบชวนเขาคุยทันทีเพราะตระหนักได้ว่าหากปล่อยไว้แบบนี้ เขาคงไม่ยอมปล่อยฉันไปจนถึงเช้าแน่
“ตะ แต่ข้าอยากเรียนเวทมนตร์!”
เขาหยุดการเคลื่อนไหวลงเมื่อได้ยินเสียงที่ใกล้กับการตะโกนของฉัน คงเพราะรับรู้ได้ว่าตอนนี้ฉันไม่อยากทำไปมากกว่านี้ เขาฝังหน้าลงมาที่ต้นคอ จากนั้นอีกครู่หนึ่งถึงได้พูดขึ้นมาด้วยน้ำเสียงที่แฝงความหงุดหงิด
“บางทีถ้าพลังศักดิ์สิทธิ์ของเจ้าหายไปจนหมดอาจจะได้ แต่คนที่เป็นนักบุญหญิงอย่างเจ้าจะมีเรื่องเช่นนั้นได้อย่างไร”
ถ้าพลังศักดิ์สิทธิ์หายไปจนหมด…
ฉันกลั้นหายใจโดยไม่รู้ตัว โชคดีที่แอสรันกัดต้นคอของฉันเบาๆ ฉันถึงได้ซ่อนความตกใจเอาไว้ได้ราวกับเป็นความผิดของการกระทำเขา แอสรันใช้ริมฝีปากก่อกวนตรงจุดที่กัดน้อยๆ ก่อนจะเอ่ยถาม
“ทำไมถึงได้เอาแต่สนใจเวทมนตร์นัก?”
“ก็แค่…หากเรียนรู้ไว้ มันน่าจะสะดวกแล้วก็เป็นประโยชน์มาก…”
เป็นความจริง หากฉันสามารถใช้เวทมนตร์ได้ มันคงจะเป็นประโยชน์มากในอนาคตเมื่อพลังศักดิ์สิทธิ์หายไปจนหมด
‘ต่อให้ไม่ใช่แอสรัน แต่ถ้าได้เรียนเวทมนตร์ก็คงดี’
เมื่อฉันจมอยู่ในความคิด เขาก็ถามขึ้นอีกครั้ง
“เจ้าอยากได้อะไรจากเวทมนตร์หรือ?”
ฉันยังนึกไม่ออกว่าควรตอบอะไรเมื่อได้ยินคำถามของเขา แต่อย่างไรฉันก็ไม่อาจบอกเขาได้ว่าพลังศักดิ์สิทธิ์ของฉันจะหายไปในภายหลัง และฉันคิดว่ามันจะเป็นประโยชน์ในตอนนั้น หลังจากพยายามค้นหาคำตอบที่พอฟังได้ สายตาของฉันก็เหลือบไปเห็นท้องฟ้าที่พระอาทิตย์กำลังเคลื่อนต่ำนอกหน้าต่าง
“เอ่อ…ข้าอยากบินบนท้องฟ้าเหมือนอย่างท่าน…”
ครั้งหนึ่ง ฉันเคยถามแอสรันว่าทำไมเขาถึงเข้ามาทางหน้าต่าง ตอนนั้นเขาตอบมาว่ามันสบายมากในตอนที่ตนเองลอยอยู่บนท้องฟ้า แน่นอนว่าต้องไม่ให้ใครเห็น
“อยากทำแบบนั้นมากขนาดนั้นเลยหรือ?”
แอสรันมีสีหน้าไม่เข้าใจเล็กน้อยเมื่อได้ยินดังนั้น ก่อนจะคลี่ยิ้มในไม่ช้า
“เช่นนั้นเจ้าก็น่าจะบอกข้าสิ”
วินาทีต่อมา แอสรันดึงฉันเข้าไปกอดอย่างแรง ชั่วขณะนั้น โลกก็พลันหมุนพลิกกลับ