บทที่ 5 ศัตรูพัวพัน

บุหลันเคียงรัก

องค์หญิงของพวกเขานั้นน่ากลัวว่าจะมิได้อ่อนแอเหมือนอย่างที่มหาเทพคิดไว้เสียแล้ว…ฉีหนานเดินตามหลังหญิงสาวพลางแอบคิด

 

 

มหาเทพจงซานวัยหนุ่มนั้นมีนิสัยโอบอ้อมอารี ฮูหยินยิ่งอ่อนโยนนุ่มนวล องค์หญิงกลับไม่เหมือนทั้งสองแม้แต่นิดเดียว นิสัย ‘ไม่สนใครทั้งนั้น ข้าจะทำแบบนี้’ ไม่แยแสใคร ไม่รู้จริงๆ ว่าได้มาจากไหน

 

 

หากนางยังคงทำแบบนี้ เกรงว่าเมื่ออายุครบห้าแสนปีแล้วจะขายไม่ออก คิดถึงตรงนี้ ฉีหนานก็ไม่อดไม่ได้ต้องหยิบยกเรื่องแต่งงานก่อนอายุห้าแสนปีขึ้นมาพูด

 

 

เทพฝูชางช่างแสนดีจริงๆ ! ชาติตระกูลช่างเหมาะสมกัน อายุห่างกันไม่มากนัก ที่สำคัญคือ เทพหนุ่มไม่มีข่าวเสียหายอะไรเลย นี่เป็นสิ่งที่หายากยิ่งในหมู่เทพวัยหนุ่ม

 

 

องค์หญิงกลับทำให้บุรุษผู้นั้นโกรธจัดจนวิ่งออกไป ฉีหนานรู้สึกว่าต้องมีสักวันหนึ่งที่ตนจะต้องถูกนางทำให้โกรธจนตาย

 

 

เหล่าเทพที่พูดคุยกันอยู่ไม่ไกลจู่ๆ ก็ลดเสียงลง ฉีหนานมีเรื่องคิดมากอยู่ภายในใจ เหลือบมองอย่างไม่ใส่ใจแวบหนึ่ง กลับพบเทพหนุ่มรูปงามในชุดสีขาวจูงราชสีห์เก้าเศียร เดินผ่านกลุ่มฝูงชน มุ่งตรงมายังตำหนักหมิงซิ่ง หากมิใช่เทพฝูชางแล้วจะเป็นใคร อย่าบอกนะว่าเขาก็มาคารวะขอเป็นศิษย์ท่านมหาเทพไป๋เจ๋อด้วย? ในโลกนี้ยังมีเรื่องบังเอิญแบบนี้อยู่ด้วย!

 

 

ในใจเขาเป็นกังวลขึ้นมาอย่างไม่รู้ตัว ยกมือขึ้นมาหมายจะรั้งองค์หญิงให้หยุด เตือนให้ระมัดระวังตัว ใครจะรู้ว่าผ่านไปอึดใจเดียว หันไปอีกที องค์หญิงน้อยของเขาก็ยืนไกลๆ อยู่อีกด้านหนึ่ง ไม่คิดจะเดินเข้าไปทักทายเทพฝูชางสักนิด

 

 

ฉีหนานร้อนรนขึ้นมา พบกันโดยบังเอิญแล้ว เผชิญหน้ากันกลับทำเป็นไม่รู้จัก ลับหลังไปไม่รู้ว่าพวกเทพเหล่านี้จะขบขันเรื่องตระกูลจู๋อินไม่รู้จักมารยาทกันขนาดไหน!

 

 

เมื่อเห็นว่าเทพฝูชางค่อยๆ เคลื่อนตัวเข้าใกล้ ฉีหนานจึงจำเป็นต้องก้าวขึ้นมาก้าวหนึ่ง โค้งตัวคำนับ “เทพฝูชาง องค์หญิงของเราขอคารวะท่าน”

 

 

สายตาเยือกเย็นของฝูชางมองผ่านเขาไป หยุดอยู่ที่ร่างของเสวียนอี่ผู้อยู่เบื้องหลัง มองเพียงปราดเดียวก็เบือนไปทางอื่น พยักหน้าเล็กน้อยแล้วพูดเรียบๆ “องค์หญิงมังกรมีมารยาทแล้วสินะ”

 

 

…องค์หญิงมังกรหมายความว่าอย่างไร? ! แม้ชื่อขององค์หญิงเขาก็ยังคร้านจะจำ?

 

 

ฝูชางจูงราชสีห์เก้าเศียร เห็นได้ชัดว่าไม่ได้คิดจะหยุด มุ่งเดินวนรอบตัวนาง ขณะที่กำลังคิดจะเดินไปด้านหลัง ทันใดนั้นก็เห็นเสื้อของฉีหนานมีดอกโบตั๋นเริงระบำห้อยอยู่ ฝีเท้าเขาพลันชะงักงันทันที

 

 

“…เจ้าก็ยังเด็ดดอกโบตั๋นเริงระบำมาอยู่ดี? “

 

 

สุ้มเสียงอันมีเสน่ห์ของฝูชางเปลี่ยนเป็นเสียงต่ำยิ่ง เก็บซ่อนพายุร้ายบางอย่างได้ไม่มิดนัก เขาหันตัว ดวงตาทั้งคู่ลึกล้ำราวก้นบาดาล เพ่งมองที่เสวียนอี่

 

 

ฉีหนานลูบดอกโบตั๋นหิมะที่ติดอยู่บนสาบเสื้อตามจิตใต้สำนึก ไม่แน่ใจความหมายอันลึกซึ้งของคำถามที่เทพถามมา รีบเอ่ยปากขึ้น “ท่านเทพฝูชาง นี่เป็นเพียง…”

 

 

มือขาวเรียวบางยกขึ้นขวางหน้าเขาไว้ ให้เขาเก็บคำพูดกลับเข้าไป

 

 

เสวียนอี่นิ่งเงียบมองเทพฝูชางด้วยสายตาเยือกเย็น เสียงเนิบนาบอ่อนเบาของนางฟังแล้วนอกจากจะไม่ทำให้บรรยากาศผ่อนคลายขึ้น กลับยิ่งร้อนระอุราวกับราดน้ำมันบนกองเพลิง “ดอกไม้ดอกเดียว หม่อมฉันชอบ เด็ดแล้วก็คือเด็ดแล้ว ไยท่านเทพต้องโกรธเคืองกันด้วย”

 

 

ฝูชางมองนางอย่างไร้อารมณ์ มองไม่ออกว่าอารมณ์ดีหรือร้าย เพียงพูดย้ำทีละคำอย่างเนิบช้า “ดอกโบตั๋นเริงระบำเป็นพันธุ์ไม้วิเศษแห่งพิภพนี้ สามหมื่นปีถึงจะบานสักครั้ง ราชาบุปผาทะนุถนอมมาก รดน้ำใส่ปุ๋ยด้วยตนเองทุกวัน”

 

 

เสวียนอี่ยิ้มบางๆ “ต้องเป็นโบตั๋นที่ล้ำค่าหาได้ยากยิ่งเช่นนี้ ถึงจะคู่ควรกับตระกูลจู๋อิน”

 

 

ฝูงชางจ้องนางสักพัก แล้วจึงปล่อยบังเ**ยนราชสีห์เก้าเศียร เดินเข้ามาใกล้นางทีละก้าว

 

 

ฉีหนานตะลึงงัน ไม่ว่าท่านเทพต้องการจะทำสิ่งใด คำพูดทั้งหมดนั้นนับว่ายั่วให้ชายหนุ่มโกรธแล้ว หากเกิดหุนหันพลันแล่นปะทะกันจริงๆ ล้วนไม่ใช่เรื่องดีสำหรับเทพบูรพากับมหาเทพจงซาน

 

 

ชายหนุ่มยกมือขึ้น ดึงโบตั๋นเริงระบำที่ติดอยู่ตรงสาบเสื้อออก แล้วทิ้งลงบนพื้นโดยไม่เอ่ยคำแก้ตัวใด กลับพบว่าโบตั๋นโปร่งบางดอกนั้นแตกออกเป็นเสี่ยงๆ อย่างไร้สุ้มเสียง แต่ละส่วนเป็นละอองหิมะ ที่แท้ก็ปั้นมาจากหิมะขาว

 

 

ฉีหนานหัวเราะพลางพูด “ท่านเทพฝูชาง องค์หญิงเพียงหยอกล้อท่านเท่านั้น โบตั๋นเริงระบำสูงค่าเยี่ยงนี้องค์หญิงจะเก็บมาอย่างง่ายดายได้อย่างไร นางยังเด็กนัก พูดเล่นไปเรื่อย ขออภัยท่านเทพ อย่าได้ถือสาหาความนางเลย”

 

 

เทพฝูชางขมวดคิ้วแน่น จ้องชิ้นส่วนโบตั๋นหิมะที่แตกบนพื้นอยู่นาน แล้วจึงเงยหน้าขึ้นมองเสวียนอี่ นางค่อยๆ ลูบลายปักดอกไม้ที่แขนเสื้ออย่างอ้อยอิ่ง ถามขึ้น “เมื่อครู่ท่านเทพโกรธเป็นฟืนเป็นไฟเดินเข้ามา อยากมาทำร้ายข้าหรือเจ้าคะ”

 

 

เขาทำเหมือนไม่ได้ยิน มองฉีหนาน เพียงประสานมือยกขึ้นแล้วกล่าวเรียบๆ “ตระกูลจู๋อินสมคำร่ำลือจริงๆ “

 

 

เสียงอ่อนเบาของเสวียนอี่ดังขึ้นอีกครั้ง “ตระกูลหวาซวีเองก็ทำให้ข้าได้เปิดหูเปิดตาแล้วเช่นกัน”

 

 

ตอนนี้ฉีหนานมีความรู้สึกอยากมุดดินหนี คำพูดจากเทพอื่นกล่าวเกินจริงที่ไหนกัน ที่แท้ก็เป็นการกระทบกระเทียบอย่างเปิดเผย องค์หญิงเป็นคนตรงไปตรงมาแบบนี้เสมอ ที่เขาวุ่นวายอยู่นานนี่สุดท้ายเพื่อใครกัน? !

 

 

ฝูงชางยังคงทำเป็นไม่ได้ยิน หันไปจูงราชสีห์เก้าเศียร หาพื้นที่ว่าง เฝ้ารอตำหนักหมิงซิ่งเปิด

 

 

เสวียนอี่นับก้าวถอยหลังอย่างสง่างาม พูดอย่างเบิกบานใจ “เห็นทีท่านเทพฝูชางคงมาคารวะขอเป็นศิษย์ท่านเทพไป๋เจ๋อ ข้าเองก็ไม่อยากอยู่ร่วมสำนักกับคนหยิ่งยโสแบบนี้ ฉีหนาน เราไปกันเถอะ”

 

 

ฉีหนานตะลึงตาค้างทันที คาดไม่ถึงว่าองค์หญิงน้อยจะมาไม้นี้ ยังไม่ได้พบท่านเทพไป๋เจ๋อก็จะกลับแล้ว ขามาเขาภาวนามาตลอดทาง เกรงว่านางจะอาละวาดอะไรขึ้นมา ตอนนี้นางเกิดอาละวาดขึ้นมาจริงๆ แล้ว ที่น่ากลัวคือ เขาก็หาทางทำให้นางอารมณ์เย็นลงไม่ได้!

 

 

เทพฝูชางที่อยู่ตรงหน้าสีหน้าขุ่นเคือง ตั้งแต่รู้จักชายหนุ่มมา ฉีหนานไม่เคยเห็นว่าครั้งไหนที่ใบหน้าเยือกเย็นของเขาจะดูไม่ได้เท่านี้มาก่อน ผมของฉีหนานเริ่มมีสีขาวแซมขึ้นสองสามเส้น หมายจะขอโทษตามมารยาท แต่จะเอ่ยปากอย่างไรดี

 

 

ตามององค์หญิงที่ต้องการขึ้นรถกลับจงซานตามอำเภอใจ ฉีหนานร้อนใจจนผมหงอกเพิ่มขึ้น อดไม่ได้ร้องเรียก “องค์หญิง…”

 

 

ประตูที่ปิดสนิทมาโดยตลอดของตำหนักหมิงซิ่งจู่ๆ ก็เปิดออก เสียงแผ่วเบาทว่าชัดเจนเฉียบขาดหัวเราะดังขึ้น “หึๆ เมื่อมาถึงแล้ว เหตุใดจึงต้องกลับไป ข้าตั้งตารอเกล็ดมังกรมาตลอด ขอให้องค์หญิงช่วยให้ความปรารถนาข้าเป็นจริงด้วยเถิด อย่าเพิ่งรีบจากไปเลย”

 

 

เหล่าเทพที่รื่นรมย์กันอยู่บริเวณนั้นพากันตกตะลึงพรึงเพริด นี่คือเสียงของท่านมหาเทพไป๋เจ๋อ! นี่ท่านมหาเทพอยู่หลังประตูบานนั้นดูความครึกครื้นมาตลอดเลยหรืออย่างไร?!

 

 

เสวียนอี่จึงต้องเดินกลับไป ฉีหนานยิ้มออกมาพลางรับกล่องหยก พูดเรียบๆ “ผู้น้อยรับทราบแล้ว”

 

 

เพียงชั่วอึดใจ เห็นเพียงเทพตัวน้อยผิวขาวสะอาดสองคนค่อยๆ เดินออกมาจากตำหนักหมิงซิ่ง กล่าวขึ้นว่า “ขอเชิญท่านเทพทั้งหลายเข้าตำหนัก ท่านมหาเทพรอพวกท่านอยู่ภายใน”

 

 

เหล่าเทพที่มารอกันหลายชั่วยามพากันก้าวข้ามประตูตำหนัก ผ่านไปครู่ใหญ่ กลับไม่เห็นว่าจะมีคนออกมา เสวียนอี่พูดขึ้นอย่างแปลกใจ “การทดสอบของท่านเทพไป๋เจ๋อเข้มงวดเป็นที่สุดไม่ใช่หรือ เหล่าทวยเทพเมื่อครู่นี้สอบผ่านทั้งหมดเลยหรือ”

 

 

ฉีหนานไม่รู้จะตอบว่าอย่างไร เพียงเอ่ย “องค์หญิงทำใจให้สบาย ไม่ต้องคิดมาก”

 

 

เสวียนอี่ก้มหน้าคิดครู่หนึ่ง มือกุมกล่องหยกไว้อย่างกังวลใจแล้วก้าวเข้าสู่ประตูตำหนัก

 

 

เหมือนว่าฉีหนานพูดอะไรบางอย่างอยู่ด้านหลัง แต่นางฟังไม่ถนัด ภาพที่เห็นเบื้องหน้าจู่ๆ ก็เปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว แต่ทว่าด้วยเวลาเพียงชั่วพริบตาเดียว นางก็ผ่านประตูตำหนักเข้ามาใกล้ห้องหนังสือที่ไม่ใหญ่นักห้องหนึ่ง

 

 

ภายในห้องหนังสือเต็มไปด้วยชั้นวางหนังสือมากมาย บนนั้นมีหนังสือวางอยู่จำนวนนับไม่ถ้วน แม้มีมากแต่กลับไม่รก สะอาดสะอ้าน หน้าชั้นหนังสือมีชายชราหนวดขาวกำลังนั่งอ่านม้วนไม้ไผ่ แจกันดอกไม้ด้านมุมตะวันตกก็มีเทพหนุ่มองค์หนึ่งนั่งอยู่ เครื่องแต่งกายล้วนเป็นอาภรณ์ราคาแพง กำลังอ่านหนังสืออย่างใจจดใจจ่อ

 

 

ด้านล่างของหน้าต่างวงเดือน ฝั่งหนึ่งเป็นโต๊ะหนังสือไม้กฤษณาจากทะเลประจิม ด้านหน้าหน้าต่างนั้นมีชายชราอีกคนนั่งอยู่ กำลังจรดพู่กันวาดภาพ ข้างๆ นั้นยังมีเทพธิดาหน้าตางดงามในชุดสีขาวอีกคนหนึ่ง ม้วนชายแขนเสื้อขึ้นมา ค่อยๆ ฝนหมึก แท่งหมึกที่อยู่ในจานนั้นส่งเสียงเสียดสีออกมาเบาๆ กระถางเครื่องหอมสัมฤทธิ์ข้างโต๊ะมีควันสีเขียวลอยวนอ้อยอิ่ง กลิ่นหอมเย็นกระจายไปทั่วห้อง เทพตัวน้อยผิวขาวคนหนึ่งกำลังใช้แท่งสัมฤทธิ์เขี่ยเถ้าเครื่องหอมนั้นออก

 

 

เทพเจ้าทั้งห้าองค์ ใครคือมหาเทพไป๋เจ๋อ

 

 

เสวียนอี่กวาดสายตาไปทั่วห้องนั้นรอบหนึ่ง เกิดความเข้าใจขึ้นมาทันที นี่คือบททดสอบที่เขาให้นาง? ขอเพียงแค่นางเลือกมั่วๆ ไปเท่านั้น ก็จะถือว่าไม่ผ่านการทดสอบ และสามารถกลับเขาจงซานได้อย่างมีความสุข

 

 

เช่นนั้นนางจงใจเลือกมั่วๆ ไปดีหรือไม่ น่าปวดหัวจริงๆ

 

 

มือกุมกล่องหยก หญิงสาวกวาดตามองร่างเทพเจ้าทั้งห้าอีกครั้ง ค่อยๆ เดินไปยังเทพตัวน้อยที่กำลังเขี่ยเถ้าเครื่องหอม โค้งตัวคำนับลง เอ่ยขึ้นว่า “ผู้น้อยเสวียนอี่ ตระกูลจู๋อิน คารวะท่านมหาเทพไป๋เจ๋อ”