บทที่ 52 เวทค้างคาวกรีดร้อง

Throne of Magical Arcana ศึกบัลลังก์เวทอาร์คานา

บทที่ 52 เวทค้างคาวกรีดร้อง Ink Stone_Fantasy

คืนนี้อากาศร้อนชื้นจนแทบหายใจไม่ออก บ่งบอกว่าพายุกำลังจะมา

ลูเซียนเลือกที่จะใช้เส้นทางที่แตกต่างจากครั้งก่อนโดยสิ้นเชิง และนั่นทำให้เขาต้องใช้เวลากว่าสิบนาทีเพื่อเดินไปให้ถึงบ้านร้างที่มีต้นหลิวสูงใหญ่อยู่หน้าประตู

ทว่า ลูเซียนไม่ได้แสดงตัวในทันที กลับลอบสังเกตการณ์อยู่ในเงามืดจากต้นหลิว เขาเห็นเงาร่างของคนสามคนในชุดคลุมสีดำยืนอยู่โดยที่มีหมวกคลุมปิดบังใบหน้า เมื่อพิจารณาจากความสูงและขนาดตัวแล้ว หนึ่งในนั้นก็คือสไมล์ อีกคนคือนักปราชญ์ แต่อีกคนลูเซียนไม่แน่ใจว่าเป็นนักเวทฝึกหัดคนไหนที่ได้พบคราวก่อน

หลังจากเดินไปรอบๆ เงามืดใกล้ๆ นั้น ลูเซียนก็ไม่พบว่ามีผู้ใดซุ่มอยู่ แต่เขาก็ไม่ลดความระแวดระวังลง เมื่อกลับมายังจุดซ่อนตัวแรก เขาก็ล้วงเอาวัตถุสีดำหน้าตาแปลกๆ ซึ่งเป็นส่วนประกอบในการร่ายคาถาออกมา

ลูเซียนอ้าปาก คล้ายจะเริ่มร่ายคาถา แต่กลับไม่มีเสียงใดหลุดรอดออกมา มีเพียงวัตถุในมือเขาเท่านั้นที่เริ่มสั่นสะเทือนเร็วขึ้นเรื่อยๆ และคลื่นที่มองไม่เห็นด้วยตาเปล่าก็แผ่กระจายจากสิ่งนั้นไปรอบทิศทาง

นี่คือ ‘เวทค้างคาวกรีดร้อง’ เวทมนตร์บทแรกที่ลูเซียนคิดค้นขึ้น

ลูเซียนสร้างมันขึ้นโดยเลียนแบบการ ‘ตรวจสอบ’ ด้วยความถี่เหนือเสียงของค้างคาว ซึ่งเป็นเหมือนกับเรดาร์ทางชีวภาพ เขาใช้ความถี่เหนือเสียงร่วมกับเวทมนตร์ระดับฝึกหัดที่ชื่อ ‘เวทดักจับกระแสจิต’ และพลังจิตเพื่อตรวจดูว่ามีใครแอบซ่อนตัวอยู่รอบๆ นี้หรือไม่

ตอนที่ลูเซียนศึกษา ‘เวทดักจับกระแสจิต’ เขาได้รู้มาว่านักเวทฝึกหัดและนักเวทมีหลากหลายวิธีในการปิดซ่อนกระแสจิตเวทมนตร์ของพวกเขา ทว่าเวทอำพรางทุกบทที่อยู่ต่ำกว่าระดับหกระบุว่าจะต้องไม่ใช้เวทมนตร์สนับสนุนหรือป้องกันพร้อมกับตอนใช้เวทอำพราง เว้นแต่ว่าจะเป็นผลต่อเนื่องของเวทมนตร์บางบท ดังนั้นภายใต้สถานการณ์ทั่วไปแล้ว ถ้าพวกเขาใช้เวทอำพรางเพื่อปิดซ่อนกระแสจิตเวทมนตร์ ก็ไม่มีช่องว่างใดสำหรับวิธีตรวจสอบรูปแบบอื่นๆ เลย นั่นจึงทำให้ ‘เวทค้างคาวกรีดร้อง’ มีประโยชน์อย่างยิ่ง

แน่นอนว่าถ้านักเวทเก่งๆ ได้รู้ล่วงหน้าว่ามีเวทมนตร์อย่าง ‘เวทค้างคาวกรีดร้อง’ พวกเขาก็จะหาทางหลบเลี่ยงได้ แต่อย่างน้อยลูเซียนก็สามารถสลายคลื่นความถี่ จากนั้นก็ร่ายเวทอำพรางกระแสจิตเวทมนตร์ตนเองได้ การเลือกบทเวทที่เหมาะสมระหว่างต่อสู้กับนักเวทนั้นถือเป็นเรื่องสำคัญมากทีเดียว

ในเวทมนตร์ระดับฝึกหัดนั้นมีเวทธาตุแสงน้อยมาก ลูเซียนถึงกับอยากสร้างเวทมนตร์ที่เหมือนกับแสงอินฟราเรดเพื่อตรวจจับความร้อน อย่างไรเสีย การมีเวทมนตร์ตรวจจับมากกว่าหนึ่งอย่างก็รู้สึกปลอดภัยกว่า

คลื่นความถี่เหนือเสียงแผ่ออกมาจากสื่อกลางการร่ายคาถาในมือของลูเซียนเป็นระลอกคลื่น เมื่อใดที่มันกระทบเข้ากับบางอย่าง คลื่นส่วนนั้นก็จะสะท้อนกลับมาหาวัตถุสีดำหน้าตาแปลกประหลาด ลูเซียนที่แผ่พลังจิตของตนไปที่วัตถุนั้นจึงค่อยๆ มองเห็นสภาพแวดล้อมได้ชัดเจนราวกับตอนกลางวัน แม้จะอยู่ท่ามกลางความมืดก็ตาม

‘รัศมีแผ่ออกไปได้ถึงร้อยเมตรจากจุดที่ข้าอยู่ จะเว้นก็แต่ภายในตัวบ้านที่ตรวจสอบไม่ได้ ส่วนข้างนอกนี่มีแต่หนูที่ไม่ได้แผ่กระแสจิตเวทมนตร์ออกมา’ ลูเซียนวิเคราะห์ผลจากการตรวจสอบ และรู้สึกเสียดายอย่างยิ่งที่ไม่ได้สร้างเวทมนตร์แสงอินฟราเรดขึ้นมา ไม่เช่นนั้นเขาคงมองเห็นภายในตัวบ้านแล้ว ‘เดี๋ยวนะ มีนกฮูกตัวหนึ่งอยู่บนต้นไม้ อืม เป็นโดโร… แล้วก็มีอีกาอยู่บนต้นนั้น เฮ้ อีกางั้นเหรอ’

หลังจากเห็นอีกาตัวนั้น ลูเซียนก็ผ่อนคลายขึ้นมาก จากประสบการณ์คราก่อน เจ้าของอีกาตัวนี้ดูจะเป็นพวกอยากรู้อยากเห็นที่จะไม่ทำอะไรหากไม่มั่นใจมากกว่า ช่วงที่ผ่านมาเขาไม่ได้เคลื่อนไหวอันใด ไม่ได้ติดต่อกับใคร และแน่ใจว่าไม่ได้เปิดเผยข้อมูลอะไรออกไป ดูเหมือนว่าเจ้าของอีกาจะยังต้องการทดสอบและสังเกตการณ์เขาเพิ่ม

หลังจากหยุดใช้ ‘เวทค้างคาวกรีดร้อง’ วัตถุในมือลูเซียนก็พลันเหี่ยวแห้งและกลายเป็นเหมือนกองเส้นด้ายที่ค่อยๆ ร่วงลงพื้นผ่านระหว่างนิ้วมือเขา

นี่คือ ‘ต่อมใต้สมองค้างคาว’ พลังจิตของลูเซียนในตอนนี้ยังไม่เพียงพอจะใช้คลื่นความถี่เหนือเสียงได้เกินกว่านี้ และเขาก็ต้องใช้อวัยวะของค้างคาวเป็นสื่อกลางในการร่ายคาถาให้สำเร็จ

ในตอนที่ลูเซียนกำลังจะสังเกตการณ์ต่ออีกสักพักเพื่อให้แน่ใจว่าไม่มีความผิดปกติอื่นใดอีก แล้วค่อยออกไปพบกับสไมล์และนักปราชญ์ จู่ๆ นักเวทฝึกหัดอีกคนก็ส่งเสียงขึ้น “ท่านศาสตราจารย์ ข้าคิดว่าท่านคงมาถึงใกล้ๆ นี้แล้ว แต่คงไม่อยากออกมาเพราะเห็นข้าเป็นแน่ ความจริงแล้วเป็นอาจารย์ของข้าที่ค้นพบร่องรอยของปีศาจในครานี้ ท่านอยากแสดงความมีน้ำใจกับท่านศาสตราจารย์ ด้วยหวังจะได้พบปะพูดคุยกับท่านนักเวทผู้มีความรู้ลึกล้ำ”

การเปลี่ยนน้ำเสียงไม่อาจบดบังความแหบห้าวแบบพิเศษในเสียงนั้น นางก็คือนักเวทฝึกหัดที่ชื่อ ‘น้ำผึ้งขาว’ นั่นเอง

หลังจากได้ยินคำพูดของนาง ลูเซียนก็ตัดสินใจเดินออกมาจากเงามืดข้างหลังบ้าน ราวกับว่าเขาโผล่ออกมาจากความมืด แล้วเดินเอื่อยเฉื่อยผ่านต้นหลิว “ขอบคุณอาจารย์เจ้า แม้ข้าจะรู้ว่ามีดวงตาคู่หนึ่งจับจ้องเราจากบนต้นไม้นั้น ข้าก็ยังหวังจะฝากเจ้าไปขอบคุณเขาอย่างเป็นทางการอีกครั้งอยู่ดี”

“ท่านศาสตราจารย์ ท่านรู้ได้อย่างไร” น้ำผึ้งขาวประหลาดใจมากเสียจนเกือบลืมดัดเสียง นางเหลือบมองไปทางต้นไม้ที่ลูเซียนว่า แต่เพราะมันมืดมาก นางจึงมองไม่เห็นอะไร ‘เขาหาแอชลีย์เจอได้อย่างไรในที่มืดถึงเพียงนี้ แล้วแอชลีย์ก็ปกปิดกระแสจิตเวทมนตร์ไว้แล้วด้วย’

น้ำผึ้งขาวยิ่งรู้สึกว่าศาสตราจารย์ผู้นี้ช่างลึกลับและแปลกประหลาดกว่าที่เคยคิด

อีกาตัวนั้นคล้ายถูกสายฟ้าฟาด มันแทบจะร่วงหล่นจากกิ่งไม้ โชคยังดีที่มันกางปีกขึ้นทัน มันบินวนรอบหนึ่งก่อนจะโผไปอีกทางและหายลับไป

นักปราชญ์และสไมล์ต่างก็ไม่คาดคิดว่าพวกเขาจะถูกติดตามและจับจ้องโดยสัตว์เลี้ยงของนักเวท จึงอดตัวสั่นเทาไม่ได้ หากว่าอีกฝ่ายเป็นพ่อมดหรือแม่มดที่คิดปองร้ายแล้วล่ะก็ พวกเขาสองคนคงตกอยู่ในอันตรายเป็นแน่แท้ ทั้งคู่มองไปทางน้ำผึ้งขาว ก่อนจะเอ่ยด้วยเสียงกึ่งโกรธเคืองกึ่งเย็นชา “เจ้าควรจะอธิบายมาเสียดีๆ”

น้ำผึ้งขาวแสดงท่าทีอ่อนน้อม และกล่าวขออภัยอย่างจริงใจ “ข้าขออภัยที่ปิดบังพวกเจ้า พวกเจ้าช่วยรับของขวัญจากข้าด้วยเถิด ท่านอาจารย์เพียงอยากจะพบกับท่านศาสตราจารย์ และหากว่าท่านตกอยู่ในอันตรายตอนไปจับปีศาจ ท่านอาจารย์ก็อาจช่วยเหลือผ่านแอชลีย์ได้ แต่ตอนนี้แอชลีย์จากไปเสียแล้ว”

ส่วนการสังเกตการณ์พลังของ ‘ศาสตราจารย์’ นักเวทลึกลับผู้นี้ นางไม่ได้พูดออกไป ทว่าทุกคนในที่นั้นต่างเข้าใจดี

ในเมื่ออีกฝ่ายเป็นนักเวท สไมล์กับนักปราชญ์จึงทำอะไรไม่ได้อีกหลังจากแสดงออกถึงความไม่พอใจ ช่องว่างระหว่างพลังนั้นกว้างเกินไป หากว่าพวกเขาสังหารน้ำผึ้งขาวเพราะเหตุนี้ บางทีอีกาตัวนั้นอาจบินกลับมาสังหารพวกเขาทันทีเลยก็ได้ ดังนั้นเมื่อเห็นว่าน้ำผึ้งขาวกล่าวขออภัยและสัญญาว่าจะชดเชยให้ตามมารยาท ทั้งสองจึงพยักหน้ารับ “ข้าหวังว่าจะไม่เกิดเรื่องเช่นนี้อีกในอนาคต ที่นี่คือนครอัลโต้ การกระทำเช่นนี้อาจทำให้อาจารย์เจ้าถูกมองว่าเป็นสายลับจากทางศาสนจักรและเป็นศัตรูกับนักเวทและนักเวทฝึกหัดทุกท่าน คราก่อนที่แม่มดและท่านนักเวทจากกองบัญชาการสภาเวทมนตร์แห่งทวีปถูกลอบโจมตีโดยคนของศาสนจักร เราต่างก็สงสัยว่าจะมีสายลับอยู่ในหมู่พวกเราแล้ว”

ลูเซียนเดินมาหยุดเบื้องหน้าคนทั้งสาม ก่อนจะเอ่ยด้วยเสียงแหบแห้งที่ฟังดูราวกับเหล็กขึ้นสนิมกับขีดครูดกับดาบ “เจ้าช่วยบอกข้าได้ไหมว่าปีศาจอยู่ที่ใด”

“ในคฤหาสน์หลังเก่าของบารอนโลรองต์ เขตขุนนาง กว่าสามรุ่นแล้วที่ไม่มีใครในตระกูลสามารถปลุกพรในสายเลือดได้ ด้วยเหตุนี้ สถานะและบทบาทสำคัญๆ ในแคว้นออร์วาริตจึงลดลง ทั้งคฤหาสน์เก่าๆ นั้นมีข้ารับใช้อยู่เพียงไม่กี่คน แทบจะเรียกว่าร้างได้เลย แต่เมื่อไม่นานมานี้ ขณะที่แอชลีย์บินผ่านในตอนกลางคืน เขาก็ได้ยินเสียงดังมาจากด้านในคฤหาสน์ ด้วยความอยากรู้อยากเห็น เขาจึงบินลงไปดู และก็พบว่าในนั้นกำลังมีงานสังสรรค์มั่วโลกีย์ ชายหญิงมากมายในนั้นดูคลุ้มคลั่ง และมีใครคนหนึ่งยืนอยู่บนแท่นบูชาเล็กๆ ตรงกลาง กำลังพยายามรวบรวมพลัง และคนผู้นั้นก็คือบารอนโลรองต์ แอชลีย์ยังได้กลิ่นไอปีศาจจางๆ จากตัวเขาอีกด้วย” น้ำผึ้งขาวอธิบายถึงการค้นพบอย่างละเอียด ด้วยกังวลว่าศาสตราจารย์อาจเข้าใจผิด

“หลังจากสังเกตการณ์อยู่ช่วงหนึ่ง ท่านอาจารย์ของข้าก็มั่นใจว่าพวกเขานัดหมายพบกันอีกครั้งในคืนนี้ และมันอาจเป็นเวลาสำคัญในการสังเวย”

นักปราชญ์พยักหน้า ก่อนที่เสียงแก่ชราเต็มไปด้วยอารมณ์หลากหลายจะเอ่ยขึ้น “ขุนนางหลายๆ คนที่ไม่มีลูกหลานได้เป็นอัศวินทั้งยังไม่ได้รับน้ำแห่งแสงศักดิ์สิทธิ์จากทางศาสนจักร พวกเขาย่อมหาวิธีการอื่นเพื่อปลุกพรในสายเลือด แม้จะรู้ดีว่าอาจถูกปีศาจล่อลวง ก็ยังยอมเสี่ยง” ดูเหมือนว่าเขาจะเคยเห็นเรื่องพวกนี้มามากพอควร

การจะเป็นขุนนางได้นั้นต้องได้รับสืบทอดมาทั้งยศถาบรรดาศักดิ์และเขตพื้นที่การปกครอง หากว่าขุนนางผู้นั้นฝ่าฝืนข้อบัญญัติสิบข้อแรกในกฎหมายศักดิ์สิทธิ์ เขาจะถูกถอดยศและริบเขตการปกครองคืนองค์ราชา แต่หากไม่มีผู้ใดในตระกูลปลุกพรในสายเลือดได้ติดต่อกันหลายรุ่น นั่นหมายความว่าตระกูลนี้กำลังเสื่อมลง และจะถูกตระกูลอื่นๆ กลืนกินอาณาเขตไปเรื่อยๆ จนกระทั่งเหลือเพียงแต่ฐานันดรอันว่างเปล่าไร้ความหมาย และกลายเป็นคนสิ้นเนื้อประดาตัว แต่ถึงแม้จะไม่ถูกถอดยศ ชื่อเสียงที่สั่งสมมาก็จะถูกลืมเลือน สุดท้ายก็จะไม่ต่างอะไรกับสามัญชนทั่วไป

ลูเซียนเองก็พอจะรู้ต้นตอของเรื่องนี้แล้ว เขาเชื่อว่าลัทธิ ‘เขาเงิน’ เริ่มเคลื่อนไหวแล้วหลังจากที่เงียบหายไปกว่าสองเดือน “เจ้ารู้หรือไม่ว่าปีศาจตนนี้แข็งแกร่งเพียงใด แล้วจะเข้าไปในเขตขุนนางได้อย่างไร”

เขตขุนนางนั้นล้อมรอบไปด้วยกำแพงสูง ในเวลานี้ประตูกำแพงของเขตปิดไปนานแล้ว และทหารยามคงยอมเปิดให้เพียงขุนนางที่อาศัยอยู่ในนั้น

“ท่านอาจารย์ประเมินจากขนาดของแท่นบูชาแล้วคาดว่าน่าจะเป็นปีศาจระดับต่ำที่มีพลังเทียบเท่าอัศวินทั่วไป แต่หากทำลายพิธีการสังเวยได้ก่อนที่มันจะสำเร็จ มันจะก็สำแดงพลังได้เพียงอัศวินฝึกหัดระดับสูง” น้ำผึ้งขาวไม่คิดว่าเรื่องนี้มีความเสี่ยงอันใด นั่นเพราะนาง และคนอื่นๆ อย่างเช่นนักปราชญ์ย่อมกำจัดปีศาจที่มีพลังระดับนี้ได้ และศาสตราจารย์ก็เป็นผู้ที่แข็งแกร่งอย่างยิ่ง แต่ที่นางไม่ทราบก็คือเขาหาใช่นักเวทระดับสูงไม่

นักปราชญ์เอ่ยต่อ “น้ำผึ้งขาวไม่รู้ว่าจะติดต่อกับนกฮูกอย่างไร นางจึงมาหาข้า และข้าก็บังเอิญรู้เส้นทางลับที่จะนำเข้าไปสู่เขตขุนนางได้ในคืนนี้ ข้าจึงติดตามมาเพื่อนำทางให้แก่ท่านศาสตราจารย์ คราวก่อนที่ท่านช่วยไขข้อสงสัยทำให้ข้าเกือบจะวิเคราะห์โครงสร้างเวทมนตร์ของข้าได้สำเร็จแล้ว ข้าจึงอยากตอบแทนท่าน หากท่านจะอนุญาต ศัตรูในระดับนี้ไม่จำเป็นต้องถึงมือท่านหรอก”

นักปราชญ์ซาบซึ้งในน้ำใจของศาสตราจารย์อย่างมาก ดังนั้นเมื่ออาจารย์ของน้ำผึ้งขาวนึกสงสัยในพลังของศาสตราจารย์ และอยากจะสังเกตการณ์ผ่านเหตุการณ์นี้ เขาก็พลันรู้สึกหวาดกลัว ด้วยเกรงว่าภาพลักษณ์อันทรงพลังของศาสตราจารย์ในความคิดเขาจะถูกทำลายย่อยยับ และศาสตราจารย์อาจถูกสังหารโดยอาจารย์ของน้ำผึ้งขาวเพราะพลังของเขาถูกเปิดโปงก็ได้ ซึ่งนั่นจะทำให้เขาสูญเสียผู้ที่จะปรึกษาหารือได้ในอนาคตไป ภายใต้แรงกระตุ้นจากอารมณ์อันหลากหลาย เขาจึงอาสาติดตามไปโดยไม่ทันยั้งคิด

ลูเซียนกังวลว่าพวกลัทธิ ‘เขาเงิน’ นี้อาจทำให้เกิดเรื่องเหนือความคาดหมายได้ การที่เขายิ่งมีคนมาก ก็ยิ่งรู้สึกปลอดภัยมากขึ้น และดูเหมือนว่านักปราชญ์เองก็คงจะมีอุปกรณ์เวทมนตร์ที่คล้ายกันกับแหวน ‘หนี้แค้นเหมันต์’ อีกด้วย เขาจึงนิ่งคิดอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นจึงพยักหน้าและตอบว่า “เมื่อทุกอย่างจบลงแล้ว เจ้าจะถามคำถามกับข้าก็ได้”

ทันทีที่เขาได้ผงวิญญาณแค้นมาและแยกตัวจากคนพวกนี้ไปอย่างลื่นไหล เขาก็จะหายตัวไปจากวงสังคมนักเวทฝึกหัดสักพัก ดังนั้น หากพลังแท้จริงของเขาถูกเปิดโปงและทำให้ภาพลักษณ์แสนทรงพลังของเขาพังทลายลงจึงไม่สำคัญอีกต่อไป

“ข้าขอไปช่วยด้วยคนได้หรือไม่ ท่านศาสตราจารย์” ทางหนึ่ง น้ำผึ้งขาวต้องการจะชดเชยให้กับการเสียมารยาทของตน แต่อีกทางหนึ่งคือ หน้าที่สังเกตการณ์พลังของศาสตราจารย์กลายเป็นของนางแล้วเมื่อแอชลีย์บินจากไป

แน่นอนว่าลูเซียนตกลง ทำไมเขาจะไม่ต้องการตัวประกันที่เสนอตัวเองเช่นนี้เล่า

สไมล์นิ่งคิดอยู่นาน การที่เขาเป็นคนผู้เดียวที่ทราบวิธีการติดต่อกับศาสตราจารย์ ทำให้ตำแหน่งของเขาในวงสังคมนักเวทฝึกหัดพัฒนาขึ้นมาก แต่หากหน้าที่นี้ถูกนักปราชญ์กับน้ำผึ้งขาวแย่งชิงไป บวกกับการที่เขาสูญเสียความสัมพันธ์กับแม่มดและศาสตราจารย์อย่างต่อเนื่อง และรวมถึงเรื่องที่เขามีพลังน้อยที่สุดในวงสังคม นั่นทำให้ในอนาคต เขาอาจถูกกีดกันไปเป็นคนชายขอบยิ่งกว่าเดิม ซึ่งนั่นไม่ส่งผลดีต่อการพัฒนาพลังของเขาเลย ดังนั้นเขาจึงขอติดตามไปด้วยเช่นกัน

จากนั้น นักปราชญ์ก็นำทางลูเซียนและอีกสองคนเพื่อเข้าไปในเขตขุนนาง

……………………………………….