ในตอนที่ขบวนคนจากตระกูลหยางมาถึงไป๋เหมินเซี่ยคนสองคนยืนอยู่ข้างราวบันไดบนชั้นสองในร้านอาหารด้านข้างกำลังทอดมองดูขบวนนั้น
“ผู้ที่ท่านต้องการพบคือเขางั้นหรือ” ผู้ที่พูดเป็นบุรุษวัยยี่สิบต้นๆ รูปร่างสูงใหญ่สีหน้าของเขาดูเย็นชา แม้จะสวมชุดธรรมดา แต่กลับมีกลิ่นอายดุร้ายอย่างบอกไม่ถูก
คนผู้นี้คือคุณชายใหญ่ตระกูลจง จงรุ่ย และคนที่อยู่ตรงข้ามเขาเป็นจอมยุทธ์ในชุดสีดำ บุคลิกสง่างาม เขาดูอายุพอๆ กับจงรุ่ย ใบหน้าของเขาดูหยิ่งผยองมากกว่าอย่างไม่สามารถเปรียบเทียบกันได้
“เขามาแล้วแน่นอนว่าต้องเป็นเขา” จอมยุทธ์ผู้นั้นพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา
จงรุ่ยส่ายหน้า “ท่านไม่เคยได้ยินหรือว่าคุณชายหยางยามอยู่เมืองหลวงเป็นเช่นไร พวกเราคุมตัวศิษย์พี่ของเขาไว้แน่นอนว่าเขาต้องเดินทางมาที่นี่เรื่องนี้ไม่ได้พิสูจน์อะไรเลย”
จอมยุทธ์ผู้นั้นยิ้มหยันแล้วมองเขาด้วยแววตาเฉียบคม “หากเขามาเพียงเพื่อระบายความแค้นเหตุใดเขาถึงให้ความร่วมมือเป็นอย่างดี ก่อนเดินทางมาที่นี่ได้กระจายข่าวออกมาเพื่อให้การพบกันครั้งนี้ของพวกท่านเป็นไปโดยธรรมชาติหากไม่กลัวทำผิดเขาจะทำเช่นนี้ทำไมกัน”
จงรุ่ยพูดไม่ออก พูดตามจริงพวกเขาคุมตัวหนิงซิวไว้ก่อนแล้วค่อยปล่อยข่าวออกไปเพื่อสร้างบันไดให้แก่หยางชู ครึ่งหนึ่งของบันไดนี้ถูกสร้างขึ้นหยางชูก็มารับช่วงต่ออีกครึ่งหนึ่ง สิ่งนี้หมายความว่าอย่างไรจะให้คนไม่คิดเยอะก็คงไม่ได้
เมื่อเห็นเขาไม่พูดอะไรจอมยุทธ์จึงพูดว่า “เราได้รับข่าวตี๋ชือตายในเงื้อมมือของเขา ทำทุกอย่างชัดเจนเช่นนี้ไม่เรียกว่าฆ่าปิดปากหรือ” จงรุ่ยเงียบ
บุรุษผู้นี้เอามื้อไขว้หลังมองไปที่องครักษ์ตระกูลหยางที่ใกล้เข้ามา และพูดว่า “ข้ารู้ว่าตระกูลจงของพวกท่านในตอนนี้ดีมากอยู่แล้วไม่ต้องการเกี่ยวข้องกับเรื่องเหล่านี้ ข้าเองก็รับปากท่าน ขอเพียงพวกท่านช่วยข้าสืบเรื่องเส้นสนกลในของเขาเรื่องก่อนหน้านี้ถือว่าไม่เคยเกิดขึ้น และจะไม่ยกมาพูดถึงอีก พวกท่านยังเป็นขุนนางที่ซื่อสัตย์และสะอาดเช่นเดิม”
จงรุ่ยเอ่ยปากพูดในที่สุด “จริงนะ”
จอมยุทธ์สบตาเขากลับ “จริง”
จงรุ่ยพยักหน้าแล้วโบกมือ องครักษ์ที่รออยู่ตรงนั้นก็รีบลุกขึ้นยืน และเผชิญหน้ากับองครักษ์ตระกูลหยาง ทั้งสองฝ่ายปะทะคารมราวกับปล่อยประกายไฟแล้วก็มีคำพูดดังออกมาจากรถม้า
ทันทีที่คำว่าเจ้าเมืองซีเป่ยโพล่งออกมาบรรยากาศก็เงียบกริบ ทุกคนต่างรู้ดีว่าคำคำนี้เป็นคำต้องห้ามของตระกูลจง
ตระกูลนี้หยั่งรากอยู่ในซีเป่ยมาสามชั่วอายุคนสามารถต่อสู้ และเอาชนะสงครามได้สิ่งนี้ได้กำหนดถึงตำแหน่งที่พวกเขาไม่ใส่ใจ
แม้ว่าตระกูลจงจะไม่ค่อยเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับการบริหารราชการ แต่ในเขตซีเป่ยทางการจะหลีกทางให้งานของทหารตระกูลจงจึงอยู่เหนือกว่าข้าราชการ การดำรงอยู่ดังกล่าวย่อมจะกระตุ้นความริษยาของฮ่องเต้อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
ตระกูลจงมีจุดอ่อนซึ่งไม่มีอะไรมากไปกว่าชื่อเสียงอำนาจเงินทอง เจ้าเมืองซีเป่ยเป็นคำที่พวกเขาไม่กล้าแตะต้อง เมื่อพูดถึงเรื่องนี้แม่ทัพอย่างจงรุ่ยไม่ออกโรงไม่ได้
“คุณชายสามตระกูลหยางให้เกียรติมาถึงที่นี่ต้องขออภัยที่ข้าไม่ได้ออกมาต้อนรับ” จงรุ่ยลงมาจากร้านอาหาร และเดินช้าๆ มาอยู่ด้านหน้าทหารตระกูลจง
“เมื่อก่อนเจอกันครั้งสุดท้ายที่เมืองหลวงคิดไม่ถึงว่าจะพบกันอีกครั้งที่ซีเป่ย ชีวิตคนไม่แน่นอนจริงๆ!”
เสียงดังออกมาจากรถม้า “นึกว่าผู้ใดที่แท้ก็คุณชายใหญ่ตระกูลจงไม่ใช่ว่าท่านต้องการพบข้าหรอกหรือ ตอนนี้ข้าก็มาหาแล้วท่านจะแสร้งทำเป็นว่าบังเอิญทำไมกัน”
“…” เป็นคำพูดที่ไม่ไว้หน้ากันเลย จงรุ่ยพูดแสดงถึงความเกรงใจตามปกติแล้วเขาไม่ควรตอบกลับด้วยคำพูดสุภาพเช่นนี้ไม่ว่าจะถูกหรือผิดก็ตาม…
ใบหน้าของจงรุ่ยกระตุกในใจเขาคิดว่าสิบปีเหมือนดั่งหนึ่งวันนิสัยไม่เคยเปลี่ยนเลย คนเช่นนี้เป็นคนเจ้าแผนการงั้นหรือเขาไม่อยากเชื่อเลย…
หลังจากเงียบไปครู่หนึ่งจงรุ่ยก็พูดขึ้นว่า “ผู้มาเยือนเป็นแขกในเมื่อคุณชายสามตระกูลหยางเดินทางมาไป๋เหมินเซี่ย ข้าจึงต้องต้อนรับท่านเป็นอย่างดีเรือนรับแขกเราเตรียมพร้อมไว้แล้วเชิญคุณชายพักผ่อนก่อนเถิดแล้วเราค่อยมาดื่มสนทนากัน”
เสียงหัวเราะเบาๆ ดังออกมาจากรถม้า “พูดเช่นนี้มาตั้งแต่แรกไม่ดีกว่าหรือ ข้าปฏิบัติต่อผู้อื่นเช่นเดียวกับที่อีกฝ่ายทำต่อข้า ท่านต้อนรับข้าเช่นนี้ข้าก็เกรงใจ ท่านใช้อำนาจบารมีกดข่มคนที่เพิ่งลงจากม้าก็ไม่แปลกที่ข้าจะเอาคืน”
เส้นเลือดปูดขึ้นที่หน้าผากของจงรุ่ยเขาถอยหลังให้แล้วเหตุใดถึงพูดเช่นนี้ หรือว่าต้องการรู้แพ้ชนะไปเลยงั้นหรือ
เขาข่มอารมณ์เอาไว้แล้วตอบว่า “คุณชายหยางพูดอะไรน่ะเรื่องก่อนหน้านี้คนของข้าไม่รู้ความข้าเลี้ยงสุราไถ่โทษท่านดีหรือไม่”
“คุณชายจงพูดเช่นนี้ข้าจะไม่ไว้หน้าได้อย่างไร” จงรุ่ยถอนหายใจด้วยความโล่งอก รู้สึกเสียใจในภายหลังที่ตนเองไม่เลือกวิธีนี้แต่แรกถึงได้ยื่นหน้าไปให้ผู้อื่นเขาตบ
ช่างเถอะผ่านไปได้ก็ดีแล้วกลับไปค่อยว่ากัน องครักษ์ตระกูลหยางเดินทางเข้าไปในจวนแม่ทัพอย่างยิ่งใหญ่
หมิงเวยที่อยู่ในรถม้าพูดขึ้นว่า “ผิดปกติ”
“อะไรผิดปกติหรือ”
หมิงเวยพูด “ตอนที่คุณชายจงอยู่ในร้านอาหารข้ารู้สึกว่ามีเสวียนชื่ออยู่ข้างกายเขาเจ้าค่ะ”
หยางชูตอบกลับว่า “เรื่องนี้ไม่น่าแปลกใจ อย่างไรตระกูลจงก็ไม่ใช่ตระกูลธรรมดา การรู้สึกถึงเสวียชื่อที่อยู่ข้างกายเขาไม่น่าใช่เรื่องแปลกอะไร”
หมิงเวยส่ายหน้า “ข้ามีลางสังหรณ์ไม่ดีอย่างไรพวกเราต้องระวังตัวให้มากเจ้าค่ะ”
ต้องบอกว่าการต้อนรับของตระกูลจงนั้นดีกว่าของเหลียงจางมาก เรือนรับรองถูกจัดเตรียมไว้นานแล้ว เครื่องเรือนล้วนเป็นของยอดเยี่ยมไม่มีการเตรียมคนคอยจับตามองปฏิบัติราวกับว่าพวกเขาเป็นแขกผู้มีเกียรติจริงๆ
องครักษ์ตระกูลหยางปักหลักเรียบร้อยสุราของจงรุ่ยก็ถูกจัดเตรียมซึ่งเขาก็เป็นคนนำไปมอบให้ด้วยตนเอง หยางชูเดินนำอาสวนออกไปเขากวาดสายตามองแล้วพูดว่า
“เหตุใดถึงไม่เห็นแม่ทัพจงเลย”
จงรุ่ยตอบว่า “ท่านพ่อพาคนไปตรวจชายแดนเร็วสุดใช้เวลาประมาณสามถึงห้าวัน ช้าสุดก็หนึ่งเดือนถึงจะกลับมา”
หยางชูถอนหายใจ “แม่ทัพจงเสียสละในหน้าที่จริงๆ!”
จงรุ่ยยิ้มโดยไม่พูดอะไรแล้วเชิญอีกฝ่ายนั่งลง
หลังจากดื่มแก้วแรกกันเสร็จหยางชูก็ถามว่า “คุณชายจง ท่านจับกุมศิษย์พี่ของข้าหมายความว่าอย่างไรกัน ตอนนี้ข้าเดินทางมาที่นี่แล้วท่านอธิบายออกมาจะดีกว่า”
จงรุ่ยตอบ “คุณชายหยางเดินทางมาจากแดนไกลวันนี้ไม่พูดถึงเรื่องที่ทำให้อารมณ์เสียจะดีกว่าหรือไม่ ให้ข้าทำหน้าที่เป็นเจ้าบ้านที่ดีก่อนไม่ดีกว่าหรือ ไป๋เหมินเซี่ยของพวกเรามีของพิเศษมากมายที่หาจากข้างนอกไม่ได้…”
หลังจากนั้นเขาก็แนะนำอาหารบนโต๊ะ หยางชูไม่ได้ขัดจังหวะปล่อยให้เขาพูดอย่างมีความสุขส่วนตัวเองก็จุดไฟแล้วพัด
รอจนจงรุ่ยพูดจบเขาถึงพูดขึ้นมาว่า “อย่าพูดเรื่องไร้สาระให้ข้าฟังเลย ท่านคิดว่าข้าว่างมากเลยหรือถึงต้องเดินทางมาถึงไป๋เซี่ยเหมินในสภาพอากาศที่หนาวเย็นเพื่อกินลม ท่านมีอะไรก็พูดมาเถิดหากไม่มีก็พาคนไสหัวออกไป หลังจากนี้ต่างคนต่างอยู่ไม่ยุ่งเกี่ยวกัน ข้าไม่คิดคบค้าสมาคมกับตระกูลจงหรอกนะ!”
จงรุ่ย “…”
เขาอดทนอดกลั้นและพูดว่า “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ข้าจะส่งตัวศิษย์พี่คืนให้ท่านก่อน”
เขาปรบมือและสั่งทหารคนสนิทว่า “พาท่านหนิงมาที่นี่”
ทหารคนนั้นเดินออกไปเวลาผ่านไปไม่นานหนิงซิวก็เดินมาทางนี้ช้าๆ
เขาไม่ได้ถูกมัดไม่ได้ผ่ายผอมดูเหมือนว่าตระกูลจงจะดูแลเขาเป็นอย่างดี
หยางชูมองแล้วถามว่า “ศิษย์พี่ท่านไม่ได้รับบาดเจ็บใช่หรือไม่” หนิงซิวส่ายหน้า
“ดี” หยางชูลุกขึ้นยืน
“ศิษย์พี่ปลอดภัยดีเรื่องนี้ถือว่าปล่อยผ่านไป แต่คนในตระกูลจงที่คุมตัวคนของข้าอย่างไร้เหตุผลข้าไม่มีทางใจดีถึงเพียงนั้น คุณชายจงพรุ่งนี้เรามาคิดบัญชีกัน!”
…………