วิหารสักการะเทพทั้งเจ็ดพังทลายลงอย่างรวดเร็ว ทุกสิ่งอย่างแปรสภาพเป็นอนุภาคเล็กๆ ละเอียดคล้ายกับเม็ดทราย และในพริบตามันก็กระจัดกระจายเป็นหมอกสีเทา

เวลานี้ ใจกลางดินแดนชิงอำนาจได้คละคลุ้งไปด้วยหมอกสีเทา

ซึ่งแม้จะปรากฏขึ้น แต่ขณะเดียวกัน ฉากนี้ก็ถูกซ่อนเอาไว้ชั่วคราว มิได้ถูกสังเกตเห็นโดยสิ่งมีชีวิตต่างๆ ในทันที

แอนนากับซูเค่อเอ๋อยืนอยู่ท่ามกลางหมอกหนา เฝ้ารอคอยอย่างเงียบๆ

“มันจะเป็นคำทำนายแบบไหนกันนะ?” แอนนาอดไม่ได้ที่จะถาม

“หนูเองก็สนใจเหมือนกัน เพราะท้ายที่สุดนี้ อย่างไรเสีย มันก็ไม่ใช่สิ่งที่คนธรรมดาส่วนใหญ่จะสามารถมาเห็นด้วยตาตัวเองได้” เค่อเอ๋อกล่าว

และไม่ปล่อยให้ทั้งสองต้องรอนานจนเกินไป

ในตอนแรก แม้โดยรอบมันจะไม่มีอะไรเกิดขึ้น แต่สักพัก หมอกสีเทาก็เริ่มเกาะกลุ่ม รวมกันก่อตัวเป็นรูปร่างของมนุษย์…ร่างมนุษย์นี้ดูเหมือนกับเปลือกที่ว่างเปล่า มิแตกต่างไปจากแม่พิมพ์

เปลือกมนุษย์ค่อยๆ ดูดซับหมอกสีเทาทั้งหมด ยิ่งดูดนาน ตามตัวของมันก็เริ่มสาดประกายแสงเจิดจ้า

จากนั้น เสียงของมันก็ก้องกังวานขึ้น

“สิ่งที่เกิดขึ้นในคำทำนาย นั่นคือการล่มสลายของภายนอกดินแดนชิงอำนาจที่กำลังจะมาถึง”

“และมันเป็นไปไม่ได้เลยที่จะต่อกร หากต้องพึ่งพาพลังของผู้ศรัทธาเพียงอย่างเดียว”

มนุษย์แสงผายมือออก และชี้ขึ้นไปบนท้องฟ้า

“นั่นมันกำลังจะทำอะไรน่ะ? ดูไม่เหมือนกับกำลังบอกคำทำนายอยู่เลย?” แอนนาถามอย่างรวดเร็ว

เค่อเอ๋อรีบตอบกลับมา “หนูเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่ามันเกิดอะไรขึ้น บางทีนี้อาจจะเป็นเพราะภัยพิบัติได้มาถึงแล้ว ดังนั้นเทพวิญญาณเลยทำการกระตุ้นบางอย่างที่พวกเขาเคยจัดเตรียมเอาไว้ล่วงหน้าหรือเปล่า?”

ทว่าวินาทีต่อมา สีหน้าของทั้งสองก็แปรเปลี่ยนไป

ได้ยินถึงเสียงของมนุษย์แสงกล่าวอีกครั้ง

“ภัยพิบัติจะต้องได้รับการแก้ไขในทันที มิฉะนั้นแล้ว หากสายเกินไป โลกเก้าร้อนล้านชั้นจะไม่อาจมีวิธีใดต้านทานมันได้อีกเลย”

“ตามกลยุทธ์ที่ถูกจัดเตรียมเอาไว้ล่วงหน้า ขอทำการอัญเชิญเทพทั้งเจ็ดกลับมาอีกครั้ง”

ในมือของมนุษย์แสง บังเกิดประกายระยิบระยับเปล่งออกมาออกมา แทรกซึมเข้าไปในมิติที่ว่างเปล่า และยิงมันหายเข้าไปในระยะทางอันไร้ที่สิ้นสุด

ลำแสงนี้เปี่ยมไปด้วยความศักดิ์สิทธิ์ แข็งกล้า น่าเคารพ และนอบน้อม กระทั่งแอนนากับซูเค่อเอ๋อที่เคยข้ามผ่านประสบการณ์อันหลากหลายมามากมาย ก็ยังแทบมิอาจฝืนยืนไหว จำต้องคุกเข่าลงต่อหน้าแสงนี้

แอนนากลั้นหายใจ ปากเปล่งเสียงกระซิบ “อย่างที่เธอเดาเอาไว้เลย ทวยเทพได้จัดเตรียมวิธีการบางอย่างเอาไว้ล่วงหน้าจริงๆ”

เค่อเอ๋อกล่าวด้วยน้ำเสียงไร้วิญญาณ “แต่หนูเองก็ไม่รู้เหมือนกัน ว่ามันจะถึงขั้นเป็นการอัญเชิญเทพทั้งเจ็ดกลับมา!”

“ทำไมล่ะ นั่นมันเป็นเรื่องที่ดีไม่ใช่หรือ? เพราะถ้าทวยเทพกลับมา พวกเขาจะได้นำพาทุกสรรพชีวิตเข้าต่อกรกับภัยพิบัติไง” แอนนาพูดด้วยความสงสัย

“ไม่ใช่แบบนั้น เพราะในบันทึกของพวกเรา…” เค่อเอ๋อเอ่ยไปเพียงครึ่งประโยคโดยไม่รู้ตัว แต่ก็ค้นพบได้อย่างทันท่วงทีว่าตนเองพูดมากเกินไป เด็กสาวจึงหุบปากลงทันที

“โปรดจงหวนกลับมา” มนุษย์แสงถอนหายใจยาว

แสงจรัสแทรกซึมเข้าไปในความว่างเปล่าอันไร้ที่สิ้นสุด จากนั้นก็เฝ้ารออยู่นานหลายสิบลมหายใจ

อย่างไรก็ตาม นอกเหนือไปจากเสาแสงที่งดงามนี้แล้ว มันก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้นอีกเลย

ไร้ซึ่งการมาเยือนของเทพวิญญาณ

สักพักหนึ่ง มนุษย์แสงก็ลดมือของตนลง และเสาแสงที่ตัดผ่านผืนฟ้าก็กระจัดกระจายไปทันที

ไม่รู้ว่าทำไมเหมือนกัน ในเวลานี้คล้ายกับว่ามนุษย์แสงจะดูอ้างว้างเป็นพิเศษ

มันลดระดับลงอย่างเงียบๆ ลอยมาหยุดอยู่เบื้องหน้าของแอนนาและเค่อเอ๋อ คล้ายกับกำลังพินิจสาวทั้งสอง

สองสาวโค้งคำนับพร้อมกัน

เค่อเอ๋อคำนับตามขนบของเทพแห่งโชคชะตา ส่วนแอนนาคำนับตามหลักคำสอนของเทพแห่งความตาย

นี่คือสิ่งที่ผู้ศรัทธาพึงกระทำ ยามอยู่ต่อหน้าทวยเทพ

มนุษย์แสงพยักหน้าเล็กน้อย

“วันเวลาได้ผ่านพ้นไปนานเกินไปแล้วหรือไร เหตุใดผู้ที่ยืนอยู่ตรงหน้าข้าจึงมีเพียงผู้ศรัทธาในโชคชะตาและความตายเท่านั้น?”

มันยกมือขึ้นทันที และสองหมอกสีเทาก็ลอยไปตกลงในมือของแอนนาและเค่อเอ๋อ

“ในฐานะที่พวกเจ้ามีความพยายามที่จะปลุกเทพวิญญาณ และช่วงเวลาสุดท้ายของทุกสิ่งมีชีวิตได้มาถึงแล้ว เจ็ดเทพจึงได้เตรียมของขวัญเอาไว้ให้ เป็นสิ่งตอบแทนในการอัญเชิญพวกเขา”

ทันใดนั้นเอง กลุ่มหมอกสีเทาทั้งสองก็แปรสภาพเป็นหนังสือ

หนึ่งเป็นหนังสือปกสีขาวบริสุทธิ์ อีกหนึ่งเป็นหนังสือปกสีดำ

หนังสือปกขาวบริสุทธิ์บินไปข้างหน้าเค่อเอ๋อ

และแน่นอน ว่าปกดำย่อมตกลงเบื้องหน้าแอนนา

มนุษย์แสงกล่าว “นี่คือหนังสือแห่งโชคชะตาและความตาย ข้าหวังว่าพวกเจ้าจะเคารพรักมัน และเรียนรู้จากมันเช่นเดียวกันกับที่น้อมนำตามหลักคำสอนของเทพวิญญาณ”

ซูเค่อเอ๋อเม้มริมฝีปากของเธอแน่น และโค้งคำนับด้วยความเคารพอีกครั้ง โดยไม่เอ่ยสิ่งใด

แต่ทางแอนนา เธออดไม่ได้ที่จะเอ่ยถาม “แล้วเทพทั้งเจ็ดองค์ล่ะ? ถูกอัญเชิญแล้วทำไมถึงไม่ปรากฏตัวออกมา?”

เค่อเอ๋อดึงแขนเสื้อเธอ ปากเปล่งเสียงกระซิบ “มนุษย์แสงคือสัญลักษณ์ของกฎเกณฑ์ที่ถูกสร้างขึ้นโดยอำนาจของทวยเทพ  มันอาจจะไม่สามารถตอบคำถามของคุณได้ก็ได้นะ”

แต่แท้จริงมนุษย์แสงกลับนิ่งงันไปครู่

จากนั้นก็กล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงเศร้าสร้อยอย่างไม่เคยปรากฏมาก่อน “เทพวิญญาณทั้งเจ็ดไม่ตอบสนองต่อการอัญเชิญในครานี้”

“ซึ่งเป็นไปได้มากทีเดียว ว่าพวกท่านอาจร่วงโรย ตกตายลงไปแล้ว”

“ในช่วงเวลาที่รัศมีแห่งทวยเทพมืดมนจนถึงขีดสุด แต่ความชั่วร้ายกลับเติบใหญ่และเริ่มเหิมเกริม”

“ดังนั้นตอนนี้ ข้าจึงจำต้องงัดกลยุทธ์สุดท้ายออกมา เพื่อเป็นการต่อสู้ล้างแค้นให้แก่เทพทั้งเจ็ด ที่ตระเตรียมการเอาไว้ในกรณีที่พวกเขาตายลง”

มนุษย์แสงกล่าว มันยกมือขึ้น ยิงลำแสงไปบนท้องฟ้าอีกครั้ง

ช่วงเวลาเดียวกันนั้นเอง โลกกว่าสองร้อยล้านชั้นก็พลันรับรู้ได้ถึงอำนาจอันศักดิ์สิทธิ์ที่หลุดรอดออกมาจากใจกลางดินแดนชิงอำนาจ

ภาพฉายของมนุษย์แสงปรากฏขึ้นทั่วทุกมุมโลก

ข้ามผ่านตลอดทั้งสองร้ยล้านชั้น มันปรากฏขึ้นต่อหน้าทุกสิ่งมีชีวิตในเวลาเดียวกัน นี่เกือบจะเป็นอำนาจระดับเดียวกันกับทวยเทพ!

ไม่ต้องกล่าวถึงอำนาจเทวะทั้งเจ็ดชนิดที่กำลังไสวไปมาตลอดเวลาจากบนตัวของมนุษย์แสง

ท่ามกลางโลกนับไม่ถ้วน ผู้คนต่างพากันคุกเข่าลง แสดงถึงความเคารพ

มนุษย์แสงลอยล่องอยู่ในอากาศอย่างเงียบๆ คล้ายกับกำลังพินิจถึงทุกสิ่งมีชีวิตในโลกสองร้อยล้านชั้น

มันเอ่ยปากขึ้นอย่างกะทันหัน “สิ่งมีชีวิตนับพันล้านเอ๋ย จงตั้งใจฟังให้ดี”

“เทพทั้งเจ็ดได้ตายลงไปแล้ว”

“ช่วงเวลาสุดท้ายของทุกสรรพชีวิตกำลังจะมาเยือน”

“นับจากช่วงเวลานี้ไป ระบบของเทพสวรรค์และระบบชีวิตจะถูกทำลายลงโดยสมบูรณ์!”

ย้อนเวลากลับไปสักเล็กน้อย

ในช่วงที่แอนนาเพิ่งเข้าไปในวิหารสักการะของเจ็ดเทพ

เช่นเดียวกันในดินแดนชิงอำนาจ อาณาเขตของหน้าใหม่

บนเนินเขาสูง

ทุกชนิดของเสียงสายลมที่พัดกระพือจากการระเบิดเทคนิคดาบ สะท้อนไปตลอดทั้งเขาชัน ดังก้องขึ้นมาถึงหอคอย ทะลุขึ้นไปถึงชั้นฟ้า

กู่ฉิงซานในชุดเกราะดำ และหน้ากากเกราะทองยืนอยู่ตรงขอบหอคอยปราการ เฝ้ามองดูเบื้องล่างอย่างเงียบๆ

ดาบขุนเขาเทวะและเช่าหยินวิ่งฝ่าฝูงแกะไปอย่างรวดเร็ว และบางครั้งก็ระเบิดเทคนิคลับแห่งดาบอันทรงพลังออกมา

หลังจากนั้นไม่นาน ในระยะที่ไกลออกไป สองดาบก็ได้สังหารปีศาจแกะดำทั้งฝูงที่อยู่บริเวณโดยรอบจนสิ้น อาศัยประโยชน์จากช่องว่างในช่วงเวลาที่ดาบบินลอยไปไกล กลุ่มปีศาจแกะดำที่แข็งแกร่งก็เริ่มปีนป่ายขึ้นมาจนถึงประตูหอคอย

กู่ฉิงซานยกมือขึ้น เอื้อมคว้าลูกศร วางมันลง ดึงสาย และยิงออกไป

ฟิ้ว!

ลูกศรถูกผละออก ทิ่มเข้าไปในดวงตาของแกะดำ เจาะเข้าไปถึงส่วนลึกของกะโหลกมันโดยตรง

กระทั่งเสียงกรีดร้องน่าสังเวชก็ยังไม่ทันจะได้เปล่งออกมา ปีศาจแกะดำตนนั้นได้สิ้นใจทันที

…เพลงธนู ร้อยก้าวผ่านหยาง!

นี่คือสกิลธนูของกู่ฉิงซานที่ถูกลืมเลือนไปแล้ว ทว่าหลังจากที่ได้เรียนรู้สกิลธนูจากโลกเทวะและโลกล่องเวหา เขาก็สามารถกลับมาเข้าใจมันได้อีกครั้ง

ปีศาจแกะดำอีกหลายตนฉวยจังหวะนี้ เร่งความเร็วขึ้น กระโจนสูง พยายามจะโจมตีหอคอยให้แตกพ่ายในคราเดียว

กู่ฉิงซานคว้าลูกศรมาแนบกับคันธนูอย่างรวดเร็ว

ฟิ้ว ฟิ้ว ฟิ้ว ฟิ้ว ฟิ้ว ฟิ้ว!

ยิงต่อเนื่อง!

โผล๊ะ!

ศรมากมายแปรเปลี่ยนเป็นภาพติดตา ระดมยิงเข้าใส่ปีศาจแกะดำที่อยู่บนพื้นดิน

บนท้องฟ้าไกล ดาบขุนเขาเทวะเปลี่ยนร่างเป็นฉานนู่ คว้าจับดาบเช่าหยิน

ในเสี้ยววินาที ฉานนู่ก็หายวับไป

เธอปรากฏตัวขึ้นอีกครั้งบนหอคอยปราการ ยืนอยู่ข้างกายกู่ฉิงซาน

สกิลเทวะ ย่นระยะเหลือเพียงหนึ่งนิ้ว!

“นายน้อย เมื่อครู่ดูเหมือนข้าจะสนุกมือเกินไปหน่อย เลยไม่ทันหันหลังกลับมามองสถานการณ์ทางฝั่งท่าน” ฉานนู่กล่าวด้วยความอับอาย

“แค่เรื่องเล็กน้อยน่า เจ้าเองก็ไม่ได้ต่อสู้อย่างหนักมาเป็นเวลานานแล้วนี่ ดังนั้นนานๆ ที ไปอาบเลือดของศัตรูจนท่วมมันก็ดีเหมือนกัน” กู่ฉิงซานกล่าวอย่างไม่ใส่ใจ

เขาเก็บคันธนูและลูกศร

“พวกเราควรจะไปกันได้แล้ว” เขากล่าว

ฉานนู่อุทานด้วยความสุข “มันเรียบร้อยแล้วใช่หรือไม่?”

“อืม ข้าตระหนักได้ว่าระบบกำลังถูกดาวน์โหลดอยู่” กู่ฉิงซานพยักหน้า

ในสายตาของเขา หน้าต่างสีเขียวที่ส่อกลิ่นอายอำนาจของชีวิตค่อยๆ เริ่มก่อตัวขึ้น

บรรทัดตัวอักษรขนาดเล็กปรากฏบนหน้าต่างเขียว

“ขอแสดงความยินดีด้วย คุณได้รับความสนใจจากระบบ”

“จากนี้ไป ระบบจะพาคุณข้ามผ่านสามพันหกร้อยล้านโลก ส่งไปยังสถานที่แรกเริ่มแห่งการวิวัฒนาการของระบบชีวิต”

“คุณยินดีที่จะติดตั้งระบบนี้ และเดินทางไปพร้อมกับระบบหรือไม่?” ระบบเอ่ยถามในที่สุด

กู่ฉิงซาน “ฉันยินดี”

ด้วยคำพูดของเขา ม่านแสงสีเขียวพลันห่อหุ้มรอบกาย สาดประกายกะพริบไหวในเสี้ยววินาที

แล้วกู่ฉิงซานก็หายตัวไปจากอาณาเขตหน้าใหม่

ทั้งตัวถูกห่อหุ้มด้วยชั้นแสงสีเขียว พลังงานบางอย่างฉุดดึงเขาข้ามโลกนับไม่ถ้วนในกระแสมิติอันเชี่ยวกราก

สำหรับกระแสมิติในดินแดนชิงอำนาจ หากเปรียบเทียบกับกระแสมิติในโลกกระจัดกระจายแล้ว บอกได้เลยว่าแตกต่างกันดั่งหน้ามือกับหลังเท้า

เพราะภายในกระแสมิติของดินแดนชิงอำนาจ มันเต็มไปด้วยการดำรงอยู่อันแปลกประหลาดมากมายนับไม่ถ้วน

มอนสเตอร์ทุกชนิดในมิติ บางตนถึงขั้นครอบครองพื้นที่มิติบางส่วนเป็นของตนเอง บางตนก็คอยดักรอบนเส้นทางเข้าสู่โลกบางแห่ง

กู่ฉิงซานเห็นถึงมอนสเตอร์ที่มีขนาดใหญ่โตกว่าเรือใบของทางสมาคมผู้พิทักษ์หอสูงหลายเท่าตัว มันกำลังบินอย่างสบายใจเฉิบในความว่างเปล่า

ระหว่างกำลังโผบิน มอนสเตอร์ตัวนั้นก็คอยเหยียดแขนทั้งหกของมันออกไปพลางๆ ยืดออกไปคว้าจับมอนสเตอร์และยานบินที่เชื่องช้าเกินกว่าจะหลบหนี จับโยนเข้าปากตน

กู่ฉิงซานพยายามทำการรับรู้ถึงกลิ่นอายของมอนสเตอร์ตัวนั้น

ดูเหมือนว่ามันจะแกร่งยิ่งกว่าตัวเขาหลายเท่านัก

อีกอย่าง เห็นได้ชัดว่ายานอวกาศเมื่อครู่น่ะเป็นเทคโนโลยีขั้นสูง แต่ระหว่างเดินทาง มอนสเตอร์ตนนั้นกลับเร็วยิ่งกว่า มันคว้าจับพวกเขาและกลืนกินไปเลยโดยตรง

มองจากท่าทีของมอนสเตอร์หกแขน ดูมันจะมีความสุขมากทีเดียว

เนื่องจากรูปร่างภายนอกของมันทำมาจากโลหะ ประจวบกับแขนทั้งหกข้าง ทำให้ตัวมันแลดูคล้ายกับแมงมุมเหล็ก

บางทีอาจเป็นเพราะมันได้กลืนกินอารยธรรมจากโลกด้านเทคโนโลยีเข้าไปมากมาย จนร่างกายแปรสภาพเป็นแบบนั้นก็เป็นได้

กู่ฉิงซานเฝ้ามองดูมันอย่างเงียบๆ และอดไม่ได้ที่จะถอนหายใจ

มอนสเตอร์ในมิติที่ว่างเปล่าพวกนี้ มักจะปฏิบัติต่อสิ่งมีชีวิตที่เดินทางผ่านโลกเป็นอาหาร ภายในกระแสมิติจึงเปรียบดั่งสนามล่าของพวกมัน

โชคยังดีที่ตนเองได้รับการปกป้องจากระบบ มิฉะนั้นแล้วสำหรับหน้าใหม่ มันคงจะเป็นเรื่องยากที่จะเดินทางผ่านกระแสมิติในดินแดนชิงอำนาจ

ทว่าเมื่อเดินทางมาได้ถึงจุดหนึ่ง จู่ๆ กู่ฉิงซานก็คล้ายถูกแรงกดดันบางอย่าง โถมทับเข้าใส่อย่างฉับพลัน

มันเป็นความรู้สึกวิกฤตอันมิอาจอธิบายได้

มันเป็นสัมผัสเดียวกันกับความรู้สึกที่มักจะตระหนักได้ก่อนจะถึงฆาต!

กู่ฉิงซานอดไม่ได้ที่จะยกมือขึ้นมาแตะบนหน้าผาก

สัมผัสได้ถึงเหงื่อเย็นที่ผุดมาไม่หยุดหย่อน

ทำไมถึงเป็นแบบนี้?

เห็นได้ชัดว่าเขากำลังจะติดตามระบบชีวิตไปยังโลกอื่น แล้วทำไมการรับรู้ทางจิตวิญญาณ[1] มันถึงได้เกิดขึ้นในเวลานี้กัน?

แต่เขาไม่มีเวลาจะทันได้คิดเกี่ยวกับมัน แถบตัวอักษรสีแดงเลือดก็ปรากฏขึ้นในสายตา

นี่คือการแจ้งเตือนฉุกเฉินของหน้าต่างเทพสงคราม

“โปรดทราบ ระบบชีวิตกำลังพังทลายลง”

กู่ฉิงซานเบิกตากว้าง

เขาไม่มีเวลาจะได้เอ่ยถาม เพียงได้ยินถึงเสียงเสียดแหลมอย่างรุนแรงในหูของตนเท่านั้น

ปัง!

ชั้นแสงสีเขียวที่คอยห่อหุ้มรอบตัวเขาได้สลายไป

กู่ฉิงซานพบว่าร่างอันไร้ซึ่งการป้องกันใดๆ ของเขาลอยเคว้งอยู่ในกระแสมิติที่ว่างเปล่า

มอนสเตอร์มากมายสังเกตเห็นเขาในทันที

“ท่าไม่ดีแล้ว!”

กู่ฉิงซานกรีดร้องอย่างลับๆ

เมื่อมาถึงจุดนี้ เข้าก็สามารถเข้าใจถึงมันได้โดยสมบูรณ์

ว่านี่คงจะเป็นโทษทัณฑ์แรกของตนในขอบเขตพันวิบัติ!

เขากำลังจะตอบโต้ แต่กลับพบว่าพวกมอนสเตอร์มิได้ถลาเข้ามา

กู่ฉิงซานงง

แต่ทันใดนั้นเอง เขาก็สังเกตเห็นว่ามีร่างเรืองแสงปรากฏขึ้นต่อหน้ามอนสเตอร์เหล่านั้น

ทุกชนิดของมอนสเตอร์ต่างสั่นกลัว ก้มหน้างันงก

และเบื้องหน้าเขา ก็ปรากฏร่างเรืองแสงที่ว่าขึ้นเช่นกัน

มนุษย์แสงที่ครอบครองพลังแห่งทวยเทพ อำนาจที่มิอาจมีผู้ใดเทียบเทียมได้

หลังจากนั้น มนุษย์แสงก็เอ่ยปาก

“สิ่งมีชีวิตนับพันล้านเอ๋ย จงตั้งใจฟังให้ดี”

“เทพทั้งเจ็ดได้ตายลงไปแล้ว”

“ช่วงเวลาสุดท้ายของทุกสรรพชีวิตกำลังจะมาเยือน”

“นับจากช่วงเวลานี้ไป ระบบของเทพสวรรค์และระบบชีวิตจะถูกทำลายลงโดยสมบูรณ์!”

“ทวยเทพทรงสร้างอำนาจแห่งสองระบบขึ้น และอำนาจทั้งสองที่ว่านั่น ปัจจุบันทั้งหมดได้ตกอยู่ในมือของข้าแล้ว”

“ด้วยอำนาจแห่งเทพทั้งเจ็ดจากโบราณกาลนี้ มันจะช่วยเปิดหนทางใหม่ในการต่อสู้กับความชั่วร้ายสำหรับทุกสิ่งมีชีวิต”

“นี่คือการแก้แค้นของเทพทั้งเจ็ด และยังเป็นโอกาสสุดท้ายของพวกเจ้าอีกด้วย”

“โอกาสที่ว่านั่นก็คือ…”

“หนทางสู่การเป็นเทพ!”

………………………………….

[1] ลางสังหรณ์