ประตูผนึกดินแดน

 

เย่หยวนคนนี้ที่อยู่ต่อหน้าต่อตาหลู่หลินเฟย ให้ความรู้สึกดั่งว่าเหนือทุกสรรพชีวิต

ความแข็งแกร่งระดับชั้นนี้ยังเป็นอะไรไปได้อีกหากมิใช่อาณาจักรพระเจ้า

นอกจากนี้หลู่หลินเฟยก็ยังสัมผัสได้จางๆ บุคคลที่มาช่วยก่อนหน้านี้มีรัศมีกลิ่นอายคล้ายคลึงกับศาสตร์แห่งสวรรค์!

 

ฟางเทียนหันมองหลู่หยินเฟยด้วยสายตาสุดเห็นอกเห็นใจ ก่อนกล่าวขึ้นว่า

“สายตาของเจ้ามิได้มีปัญหา เย่หยวนกลายเป็นเซียนอาณาจักรพระเจ้าแล้วจริงๆ!”

 

ทั่วทั้งกายาหลู่หลินเฟยสั่นเทาไสวไม่หยุด เลื่อนสายตาเข้าจับจ้องเย่หยวนเผยให้เห็นถึงความไม่อยากจะเชื่ออยู่เปี่ยมหัวใจ

เพื่อแผนการในวันนี้ หลู่หิลนเฟยได้เตรียมการทุกอย่างมาเป็นเวลาเนินนานไม่รู้กี่ปี คงมีเพียงสรวงสวรรค์เท่านั้นที่ทราบว่าเขาลงแรงกายแรงใจไปมหาศาลเพียงใด

ก่อนวันนี้หนึ่งวัน หลู่หลินเฟยมีความมั่นใจอย่างมาก

เขาเชื่อว่าวิธีที่ตนคิดค้นขึ้นมาจะเป็นวิธีที่ล้ำหน้าและอัจฉริยะที่สุดในรอบหนึ่งแสนปีของดินแดนศักดิ์สิทธิ์

แต่นี่ก็มิอาจบอกได้เช่นกันว่า มันจะสามารถทำให้เขาทะลวงขึ้นสู่อาณาจักรพระเจ้าได้ แต่ไม่มีวิธีการใดจะดีไปกว่านี้แล้ว

ทว่าในท้ายที่สุด เขาก็ทำล้มเหลว!

เขาคือหนึ่งในผู้คนที่ประสบความล้มเหลวในรอบหนึ่งแสนปีที่ผ่านมา และนั้นคือทั้งหมด

 

อย่างไรก็ตามแต่ ณ ตอนนี้กลับมีเซียนอาณาจักรพระเจ้าโผล่ออกมายืนอยู่ต่อหน้าต่อตาเขาจริงๆ!

ไม่มีอะไรที่จะทำให้รู้สึกแย่ไปกว่านี้แล้ว

 

เย่หยวนทราบดี การที่ตนปรากฏตัวขึ้นมาในเวลานี้กลับมิใช่เรื่องเหมาะสมนัก แต่ความสัมพันธ์ระหว่างเย่หยวนกับหลู่หลินเฟยก็มิได้ตื้นเขินนัก

หากพินิจพิจารณาให้ดี เย่หยวนก็ถือเป็นศิษย์ของหลู่หลินเฟยกลายๆ

ดังนั้นแล้ว หากต้องทนเห็นหลู่หลินเฟยถูกฆ่าตายโดยทัณฑ์ฟ้า เย่หยวนเองก็รับไม่ได้เช่นกัน

 

“เป็นไปไม่ได้! กระทั่งข้ายังล้มเหลว แล้วเจ้า…เจ้าทำสำเร็จได้อย่างไร?”

หลู่หลินเฟยโพล่งกล่าวขึ้นด้วยอารมณ์สุดแสนกระวนกระวายใจ

คำพูดคำจานี้ของหลู่หลินเฟยฟังดูเย่อหยิ่งถือตัวยิ่งกว่าใคร แต่ถึงกระนั้น เขามีทุนรอนมากพอที่จะทำเช่นนั้น

เขาได้คิดค้นวิธีชักนำศาสตร์แห่งสวรรค์เข้าสู่กายาโดยการพึ่งพาศาสตร์แห่งค่ายกล ความบ้าบิ่นเช่นนี้ กล่าวได้ว่าเขาไม่เป็นสองรองจากเย่หยวนเลย

แม้แต่ฟางเทียนก็ยังด้อยกว่าหลู่หลินเฟยในแง่มุมนี้

 

เย่หยวนยิ้มและกล่าวว่า

“ไม่มีสิ่งใดยากเลย เจ้าก้าวเดินในเส้นทางแห่งค่ายกล ส่วนข้าก้าวเดินอยู่บนเส้นทางแห่งโอสถ เจ้าพยายามสร้างศาสตร์แห่งสวรรค์ขึ้นมาโดยใช้ค่ายกล ข้าเองก็หลอมสร้างศาสตร์แห่งสวรรค์โดยใช้โอสถเช่นกัน และนั้นคือทั้งหมด”

 

สายตาของหลู่หลินเฟยผลัดเปลี่ยนเป็นความตั้งใจ เขากล่าวพึมพำขึ้นอย่างไม่แน่ใจว่า

“หลอมสร้างศาสตร์แห่งสวรรค์ด้วยโอสถ… หลอมสร้างศาสตร์แห่งสวรรค์ด้วยโอสถ! แค่…แค่นั้นงั้นรึ?”

ทั้งหมดมีเพียงแค่นั้นจริงๆ เพียงแต่เขาประสบความล้มเหลว ในขณะที่เย่หยวนประสบความสำเร็จ!

หลู่หลินเฟยตระหนักถึงความลึกซึ้งอันมากความหมายจากคำกล่าวของเย่หยวนได้ทันที คนหนึ่งได้รับศาสตร์แห่งสวรรค์ผ่านเส้นทางแห่งโอสถ ส่วนอีกคนผ่านเส้นทางแห่งค่ายกล

ทั้งหมดดูท่าจะคล้ายคลึงเหมือนกัน แต่ในความเป็นจริงแล้วกลับแตกต่างโดยสิ้นเชิง!

วาจาคำพูดของเย่หยวนค่อนข้างดูคลุมเครืออย่างมาก แต่นั้นก็ทำให้หลู่หลินเฟยรู้สึกดีขึ้นอย่างบอกไม่ถูก

 

เย่หยวนกำลังบอกเขาเป็นนัยว่า เส้นทางที่เขาเดินนั้นถูกต้องแล้ว เพียงแต่ความคิดที่นอกกรอบเกินไปจึงเป็นสาเหตุที่ทำให้ล้มเหลว

หลู่หลินเฟยอดนึกหวนถึงทัณฑ์ฟ้าเมื่อครู่มิได้ ความน่ากลัวนั้นได้กัดกินลึกถึงขั้วหัวใจโดยไม่รู้ตัว

ทันทีทันใดหลู่หลินเฟยพลันรู้สึกผิดประหลาดกับร่างกายตนเอง ถึงเขาจะคว้าน้ำเหลวในการก้าวขึ้นสู่อาณาจักรพระเจ้า แต่นั้นก็ทำให้เขาสัมผัสถึงธรณีประตูแห่งอาณาจักรพระเจ้าแล้วเช่นกัน ถึงกระนั่นเอง มันก็ยังไม่เพียงพอที่จะรับมือกับทัณฑ์ฟ้าก่อนหน้ามิได้

 

“เย่หยวน ทัณฑ์ฟ้าเมื่อครู่นี้…ถึงจะเป็นเซียนอาณาจักรพระเจ้าก็ไม่มีทางต้านทานได้ไหวแน่ เจ้าทำได้อย่างไรกัน?”

หลู่หลินเฟยกล่าวถามด้วยความสงสัย

 

ฟางเทียนยิ้มและกล่าวตอบว่า

“เย่หยวนมิใช่เซียนอาณาจักรพระเจ้าทั่วไป เนื่องจากตัวเจ้าปลีกวิเวกเก็บตัวมาโดยตลอดที่ผ่านมา จึงมิอาจทราบเลยว่าเกิดอะไรขึ้นกับดินแดนศักดิ์สิทธิ์บ้าง ณ ปัจจุบัน เย่หยวนกลายเป็นผู้ปกครองดินแดนศักดิ์สิทธิ์ไปแล้ว ความสามารถในการควบคุมเต๋าของเขาทำให้อยู่เหนือสรรพชีวิต!”

 

“ผู้…ผู้ปกครอง?”

ม่านตาดำของหลู่หลินเฟยหดแคบตีบตันในทันใด คำนี้สร้างความตกใจให้แก่เขาเป็นอย่างยิ่ง

 

เย่หยวนหันมองอีกฝ่ายและกล่าวขึ้นด้วยรอยยิ้มว่า

“ตาแก่หลู่ เจ้าอย่าเพิ่งท้อแท้ถอดใจไป ตราบใดที่เจ้ายังคงก้าวเดินต่อไปบนเส้นทางสายนี้ สักวัน เจ้าจะได้รับยอดเต๋ามาแน่นอน แก่นแท้ของสิ่งนี้หาใช่ศาสตร์แห่งสวรรค์ แต่เป็นยอดเต๋าที่ติดตัวไปจนตาย ส่วนที่ช่วยก่อนหน้า เป็นเพียงสิ่งตอบแทนที่เจ้าเคยมอบความรู้ความเข้าใจแก่ข้า”

 

หลู่หลินเฟยสีหน้าซีดขาวลงเล็กน้อย พลางกล่าวเย้ยหยั่นตัวเองขึ้นว่า

“การจะได้ยอดเต๋ามาหาใช่เรื่องง่ายกระมัง? เจ้าทำได้แล้วจึงกล่าวได้! บางทีเส้นทางที่ข้าเริ่มก้าวเดินตั้งแต่แรกอาจไม่ถูกต้อง ความพยายามของหลู่คนนี้นับว่าสูญเปล่าโดยแท้”

 

แต่เย่หยวนกลับส่ายหัวและกล่าวตอบด้วยรอยยิ้มว่า

“ยอดเต๋าทุกศาสตร์แขนงล้วนนำไปสู่จุดหมายเดียวกัน ดังนั้นความพยายามทั้งหมดของเจ้าจะไปสูญเปล่าได้อย่างไร? ในภายภาคหน้า หากข้าบ่มเพาะฝึกฝนจนสูงกว่าอาณาจักรบรรพชนพระเจ้าไปแล้ว ข้าจะเป็นคนนำศาสตร์แห่งสวรรค์กลับคืนมาเอง! ยามนั้นเจ้าจะได้ขึ้นกลายเป็นเซียนอาณาจักรพระเจ้าสมใจ! ตาแก่หลู่ โปรดดูแลตัวเองให้ดีและรอข้าจนกว่าจะถึงวันนั้น!”

 

ทันทีที่กล่าวตบ เย่หยวนก็พาฟางเทียนและกวนควานเทียนจากไปทันที

 

หลู่หลินเฟยเงยมองฟ้าไกลสุดสายตา ถึงพวกเย่หยวนทั้งสามจะจากไปแล้ว แต่เขายังคงยืนนิ่งไม่ได้สติอยู่ครู่ใหญ่

เพียงประโยคสั้นๆของเย่หยวน แต่นั้นกลับไปเปิดเผยข้อมูลอีกมากมาย!

หรือเป็นไปได้ไหมว่า เย่หยวนจะมีวิธีนำพาศาสตร์แห่งสวรรค์กลับมายังดินแดนศักดิ์สิทธิ์ได้อีกครั้ง?

เรื่องนี้มีความเป็นไปได้สูงมาก!

มุมมองของเย่หยวนในปัจจุบัน เป็นจุดที่เขาไม่สามารถมองเห็นได้อีกแล้ว

นอกจากนี้ความหมายในคำกล่าวของเย่หยวนก็ยังชัดเจนยิ่ง นอกเหนือจากอาณาจักรบรรพชนพระเจ้าแล้ว ยังมีอาณาจักรพลังที่อยู่สูงกว่า!

ทว่าสิ่งเหล่านั้นห่างไกลเกินไปแล้วสำหรับตัวเขา

สุดท้ายนี้ คำกล่าวทิ้งท้ายของเย่หยวนได้นำพาความหวังของหลู่หลินเฟยกลับคืนมาอีกครั้ง!

 

เขาที่ถูกทัณฑ์ฟ้าจากสรวงสวรรค์ฟาดเข้าใส่ นี่ทำให้ความแข็งแกร่งของเขาลดลงอย่างมาก แต่ด้วยความช่วยเหลือของเย่หยวน ที่ช่วยลดทอนความรุนแรงของทัณฑ์ฟ้าไป อย่างน้อยที่สุดเขาก็ยังสามารถรักษารากฐานพลังเอาไว้ได้ครบถ้วนสมบูรณ์ดี

 

ตราบใดที่เขาไม่ย้อท้อและหมั่นฝึกฝนอย่างหนัก สักวันหลู่หลินเฟยจะสามารถกลับคืนสู่สภาวะสูงสุดได้อีกครั้ง

 

 

………………………

 

 

 

สามเดือนต่อมา ณ ดินแดนทางทิศตะวันออก จุดสิ้นสุดแห่งแดนทะเลผสานนภา ยามนี้ปรากฏกลุ่มหมอกหนาเข้าปกคลุมทั่วทั้งบริเวณ

กลุ่มหมอกที่ยอดยาวสุดสายตานี้ ต่างทำให้ผู้คนรู้สึกเปลี่ยวเหงาและอ้างว้างอย่างบอกไม่ถูก แม้แต่เย่หยวนที่ทอดสายตาจับจ้องยับงรู้สึกครั่นคร้ามอยู่ไม่น้อยเช่นกัน

 

รอบข้างเย่หยวนปรากฏหลายร่างยืนเคว้งกลางเวหา ทั้งฟางเทียน, กวนควานเทียน, เยวี่ยเมิ่งลี่, อิ้งหมัวหู่, หลงเถิง และคนอื่นๆอีกมากมายที่เดินทางมาเพื่อเฝ้าดูเย่หยวน

 

เบื้องหลังเย่หยวนมีสี่ร่างวิญญาณสัตว์อสูรยืนประจำตำแหน่งพร้อม ซึ่งพวกมันก็คือ จิตวิญญาณผู้พิทักษ์แห่งเผ่าสี่สัตว์เทวะนั้นเอง!

 

“อะไร? กลัวรึไง? เช่นนั้นก็ไม่ต้องไปแล้ว! อยู่ที่นี่ดูแลผู้คนต่อไปดีกว่า! ห้วงอวกาศนั้นทั้งปั่นป่วนและอันตรายเกินจินตนาการ ร่างของเจ้าอาจถูกห้วงอวกาศไร้เสถียรนั้นฉีกเป็นชิ้นๆ! ว่าไง…เจ้ายังจะยืนยันคำเดิมอยู่หรือไม่?”

สุ้มเสียงหนึ่งแผดสะท้านฉีกห้วงแห่งความว่างเปล่าดังออกมา เขามิใช่ใครอื่นนอกจากคุนหวูอย่างไม่ผิดเพี้ยน

 

เย่หยวนสูดไอเย็นแช่มลึกและกล่าวตอบไปว่า

“ท่านอาวุโสอย่าพยายามโน้มน้าวใจข้าอีกเลย ผู้เยาว์คนนี้ตั้งสินใจเด็ดขาดแล้ว!”

 

“เฮ้ออ… เจ้าเด็กคนนี้ คงไม่คิดเหลียวกลับหากไม่ชนใต้กำแพง! ลืมมันไปเถอะ ในเมื่อเจ้าแสวงหาความตายเช่นนี้ เราเองคงห้ามมิได้เช่นกัน!”

คุนหวูกล่าวขึ้นเจือน้ำเสียงหงุดหงิดและผิดหวังในเวลาเดียวกัน

 

เย่หยวนเหลียวหลังหันกลับไปมองจิตวิญญาณผู้พิทักษ์ทั้งสี่อย่างแช่มช้า และกล่าวว่า

“เย่หยวนคนนี้จำต้องรบกวนพวกท่านทั้งสี่แล้ว!”

จิตวิญญาณผู้พิทักษ์ทั้งสี่นี้เป็นมวลพลังที่เกิดขึ้นจากค่ายกล จึงหาได้มีความรู้สึกนึกถึงไม่ แต่ที่ทั้งสี่ดูเชื่อฟังแบบนี้เป็นเพราะพวกมันอยู่ภายใต้การควบคุมของตรามังกรศักดิ์สิทธิ์ นั้นจึงเป็นสาเหตุที่เย่หยวนสามารถนำทั้งสี่มายังที่แห่งนี้ได้

 

เมื่อกล่าวจบ เย่หยวนก็ชูตรามังกรศักดิ์สิทธิ์ขึ้นมา รัศมีพลังศักดิ์สิทธิ์เปล่งประกายเฉิดฉายไปทั่วน่านฟ้าย่านทะเลในทันที

จิตวิญญาณผู้พิทักษ์ทั้งสี่ได้แยกตัวออกไปยืนประจำทิศของตัวเอง จากนั้นก็เร่งโคจรพลังเวียนรอบตรามังกรศักดิ์สิทธิ์ซึ่งอยู่เป็นใจกลาง

ทันทีทันใดลูกพลังงานประหลาดพลันก่อตัวขึ้นเหนือร่างจิตวิญญาณทั้งสี่ เมื่อพวกมันอ้าปากพร้อมแหงนศีรษะชี้ฟ้า คลื่นพลังทั้งสี่ก็พวยพุ่งออกมาตระหง่านสูงเสียดฟ้า

 

 

“ประตูผนึกดินแดน จงเปิดออก!”

คลื่นพลังลำแสงทั้งสี่ถูกยิงออกไปและเข้าบรรจบรวมกันเหนือน่านฟ้า

กลิ่นอายบรรพกาลโบราณอย่างไม่เคยมีมาก่อนพลันถูกปลดปล่อยออกมาให้สัมผัส พร้อมกับประตูขนาดยักษ์บานหนึ่งที่ปรากฏขึ้นจากห้วงแห่งความว่างเปล่าประจักษ์แก่ทุกสายตา

มันเป็นประตูศิลาโบราณที่มีขนาดมหึมายิ่ง!

 

แรงกดดันที่พรั่งพรูออกจากประตูศิลาโบราณบานนี้ ต่างทำให้ทุกคนที่พบเห็นราวกับจิตวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ของพวกเขาแทบพังทลายแตกสลายในชั่วอึดใจ

เพียงแรงกดดันหอบหนึ่งที่พัดผ่านออกมา ก็สามารถสยบผู้คนจนไร้พลังอำนาจได้อย่างแท้จริง

 

ทั่วกายาเย่หยวนสั่นกระตุกเล็กน้อย เขาหยิบใช้ศาสตร์แห่งสวรรค์เข้าห้อหุ้มทุกคนเอาไว้ในทันที แรงกดดันปริมาณมหาศาลที่กดทับพวกเขาก่อนหน้า ยามนี้พลันอันตรธานหายสิ้นในพริบตา

ทุกคนล้วนแหงนมองประตูศิลาโบราณกลางนภาสูงนั้นด้วยความตกใจสุดขีด

 

“นี่คือประตูผนึกดินแดน? ช่างทรงพลังเกินไป! หากมิใช่เซียนอาณาจักรพระเจ้า แค่รับรู้ได้ถึงการมีอยู่ของมันก็เจียนตายแล้ว!”

ฟางเทียนกล่าวขึ้นพลางถอนหายใจเฮือกใหญ่

 

“นึกไม่ออกเลยว่า เหล่าเซียนอาณาจักรพระเจ้าเมื่อหนึ่งแสนปีก่อนไปรู้ความลับนี้เข้าได้อย่างไร เหอะ เจ้าพวกเห็นแก่ตัวนั้น คงเป็นการดีที่สุดแล้วที่ถูกห้วงอวกาศฉีกกระชากจนตาย!”

อิ้งหมัวหู่กล่าวขึ้นด้วยอารมณ์แสนขุ่นเคือง