เซี่ยชูมั่วคลุ้มคลั่งมาถึงขั้นนี้แล้วทำไมยังไม่กำจัดทิ้งอีก

 

 

ชื่อเสียงของท่านอ๋องกับเยี่ยเม่ยถูกทำลายแล้วนะ! ดูท่าท่านอ๋องไม่สนใจชื่อเสียงของตน ทั้งยังรู้สึกว่าการเปิดเผยความคิดออกไปไม่ใช่เรื่องใหญ่ด้วยสินะ

 

 

อีกทั้งไม่แน่ว่าท่านอ๋องคิดว่าภาพวาดนี้ จะทำให้เป่ยเฉินเสียเยี่ยนผู้เป็นศัตรูหัวใจรู้สึกไม่สบายใจได้ ดังนั้นท่านอ๋องถึงเบิกบานใจจนน่าประหลาด

 

 

แต่มีคนแอบก่อเรื่องอยู่เบื้องหลัง พุ่งเป้ามาที่ท่านอ๋อง ท่านอ๋องเองก็ไม่คล้ายเป็นคนใจกว้างขนาดนี้นิ

 

 

เป่ยเฉินอี้กวาดตามองเขา ไม่คลายปมความสงสัยของชิงเกอ ลงมือเดินหมากต่อไป เพียงเอ่ยว่า “วันหน้าเดี๋ยวเจ้าก็รู้เอง!”

 

 

ตอนนี้ชิงเกอไม่พูดอะไรอีก

 

 

……

 

 

จวนจงซาน

 

 

เหมี่ยวเจินแอบเข้ามาทางประตูหลัง เมื่อเข้ามาแล้วก็ไม่พูดพร่ำคุกเข่าลงทันที “ใต้เท้า ข้าน้อยมีความผิด!”

 

 

“เป็นอะไรไป เจ้าแอบออกมาตอนกลางวันเช่นนี้ ไม่กลัวเซี่ยชูมั่วจะสงสัยหรือ” จงซานมองนางด้วยแววตาแปลกใจ

 

 

ในเวลานี้เชียนซินสาวใช้ของจงซานก็วิ่งเข้ามา เอ่ยปากว่า “ใต้เท้า เกิดเรื่องแล้ว!”

 

 

พูดไปนางก็ยื่นรูปภาพสะเปะสะปะที่เมื่อสตรีเห็นแล้วเป็นต้องขัดเขินออกมาให้กับจงซาน “ใต้เท้า นี่คือสิ่งที่กำลังกระจายอยู่ข้างนอก…”

 

 

จงซานเห็นแล้วสีหน้าหนักใจลงทันที

 

 

ยามนี้เหมี่ยวเจินรีบกล่าวว่า “ใต้เท้า ข้าน้อยมาก็เพราะเหตุนี้ เรื่องนี้หาใช่เรื่องเล็กๆ ข้าน้อยไม่กล้าปล่อยให้เสียเวลา จึงรีบกลับมาทันที เรื่องนี้เซี่ยชูมั่วทำลงไปโดยไม่บอกข้าน้อย นางหาได้ปรึกษากับข้าน้อย ข้าน้อยก็…”

 

 

อึ้งไปเช่นกันได้หรือไม่

 

 

สิ่งที่น่ากลัวที่สุดในโลกก็คือคนที่แข็งแกร่ง ไม่สิ เป็นคนที่อวดฉลาดต่างหาก!

 

 

จงซานฟังแล้วก็ได้สติทันที เขายังไม่ทันเอ่ยอะไรกับเหมี่ยวเจินก็รีบสั่งการเชียนซินว่า “เจ้ารีบไปตามลั่วซิงเฉิน บอกเขาว่าไม่ว่าอย่างไรต้องบอกกับเยี่ยเม่ยให้ได้ว่าห้ามสังหารเซี่ยชูมั่วเป็นอันขาด นางเป็นหมากที่สำคัญมากสำหรับพวกเรา!”

 

 

“เจ้าค่ะ!” เชียนซินไม่ถามมากก็รีบไล่ตามออกไป

 

 

คราวนี้เหมี่ยวเจินไม่กล้าเอ่ยวาจาสักครึ่งคำ คุกเข่าสงบเสงี่ยมอยู่บนพื้น นางไม่ส่งเสียง นางรู้ความร้ายแรงของเรื่องดีมากกว่าคนอื่น นางย่อมรู้สาเหตุที่ใต้เท้าส่งนางไปไว้ข้างกายเซี่ยชูมั่ว วันนี้หากหมากตัวสำคัญถูกกำจัดไปก็น่าเสียดายยิ่งแล้ว

 

 

จงซานมองนาง “ทันทีที่รู้เรื่องเจ้าก็รีบกลับมารายงานข้า ถือว่าทำคุณไถ่โทษ ขอเพียงยั้งเยี่ยเม่ยไว้ได้ เรื่องนี้ก็ไม่นับเป็นเรื่องใหญ่อีก! เจ้ากลับไปก่อนเถอะ ก่อนที่เซี่ยชูมั่วจะกลายเป็นหมากไร้ค่า เจ้าคอยอยู่ข้างกายนาง สร้างความเชื่อใจให้นาง อย่าให้นางรู้ว่าเจ้ามาหาข้าที่นี่ รีบกลับไปได้แล้ว!”

 

 

“เจ้าค่ะ!”

 

 

หลังจากตอบรับเหมี่ยวเจินก็จากไปอย่างรวดเร็ว

 

 

จงซานยื่นมือออกมานวดคลึงหว่างคิ้วส่อแววเหนื่อยล้า

 

 

เดิมทีเขาก็กลุ้มใจจะแย่แล้ว ยามนี้เงยหน้ามองเห็นจงรั่วปิงถือกระบี่ยาว เตรียมออกจากบ้านไปอย่างรีบร้อน

 

 

สีหน้าจงรั่วปิงในยามนี้ถมึงทึง เขารีบเอ่ยไล่หลังนางไปว่า “เจ้าจะไปไหน”

 

 

“ข้าได้ยินว่าซือหม่าหรุ่ยถูกเยี่ยเม่ยส่งเข้าคุกไปแล้ว ข้าจะไปช่วยนาง!” จงรั่วปิงตอบโดยไม่แม้หันกลับมามอง

 

 

จงซานรีบสั่งว่า “ไม่อนุญาตให้ไป!”

 

 

“เพราะอะไร” จงรั่วปิงหันหน้ากลับมาด้วยความไม่พอใจ

 

 

จงซานกล่าวว่า “ข้าบอกว่าห้ามไปก็คือห้ามไป เจ้าไม่จำเป็นต้องรู้! กลับห้องเจ้าไปซะ พวกเจ้าปิดประตูให้ดี หากไม่มีคำสั่งข้า วันนี้คุณหนูห้ามออกไปไหนทั้งนั้น!”

 

 

“ขอรับ!” บ่าวรับคำสั่งปิดประตูลง

 

 

ยามนี้จงรั่วปิงโมโหแล้ว ชี้หน้าจงซานเอ่ยว่า “ท่านพ่อ ท่านเป็นคนสอนข้าตลอดว่า เป็นคนต้องมีคุณธรรม เพื่อสหายแล้วต่อให้หลั่งเลือดก็ห้ามขมวดคิ้ว ยามนี้เยี่ยเม่ยคิดเอาชีวิตซือหม่าหรุ่ย ท่านกลับรั้งให้ข้าอยู่ในบ้าน ห้ามไปไหนทั้งนั้น นี่ท่านกำลังตบหน้าตัวเองอยู่ใช่หรือเปล่า คำสั่งสอนที่ท่านเคยบอกกับข้าท่านลืมไปหมดแล้วหรือ”

 

 

จงซานสีหน้าเย็นชา “ข้าไม่อยากฟังคำพูดเหลวไหลของเจ้า ไม่ให้ออกไปก็คือห้าม! เจ้าอยู่ในจวนให้ดี อย่ายั่วโมโหข้า!”

 

 

จงรั่วปิงมีความคิดเป็นของตัวเอง ย่อมไม่มีทางเปลี่ยนจุดยืนเพราะท่าทีของจงซานแน่ อีกอย่างจงซานก็ไม่ใช่บิดาแท้ๆ ของนาง ขัดคำพูดเขาก็ไม่เท่ากับขัดคำพูดของบิดาแท้ๆ

 

 

ดังนั้นนางจึงหันหน้ากลับไปยืนหยัดว่า “ข้าจะไปให้ได้! องครักษ์ในจวนนี้มีความสามารถแค่ไหน ท่านพ่อเองก็คงรู้ พวกเขาไม่ใช่คู่มือของข้า”

 

 

“ใช่หรือ” จงซานเลิกคิ้ว

 

 

สายตากวาดมองไปด้านหลัง ไม่ช้าก็มียอดฝีมือสองคนกระโดดออกมายืนอยู่ด้านข้างจงซาน จงรั่วปิงเพียงฟังเสียงลมหายใจและฝีเท้าของพวกเขาก็รู้ทันทีว่าคนทั้งคู่เป็นยอดฝีมือ เกรงว่าจะไม่ด้อยไปกว่านางด้วย

 

 

จงรั่วปิงอึ้งไปแล้ว มองจงซานอย่างไม่เชื่อสายตา “ท่านพ่อ ท่านมีองครักษ์ลับ ทำไมข้าไม่เคยรู้มาก่อนเลย”

 

 

“หากเจ้ารู้แล้วยังจะเรียกองค์รักษ์ลับหรือ เจ้าก็รู้ว่าข้าเป็นบัณฑิต ไม่มีแรงแม้แต่ฆ่าไก่ ดังนั้นข้างกายข้าจะไม่มียอดฝีมือได้อย่างไร” จงซานตอบด้วยสีหน้าเรียบเฉย

 

 

จงรั่วปิงมองคนทั้งสองก็เข้าใจแล้ว วันนี้นางคงออกไปจากบ้านไม่ได้แน่

 

 

นางเอ่ยด้วยความโมโห “หากซือหม่าหรุ่ยตาย ข้าจะไม่มีวันให้อภัยท่านแน่!”

 

 

จงซานเบือนสายตาเห็นกิ่งไม้ที่ห่างออกไปสั่นไหว รับรู้ว่าน่าจะเป็นคนของเซียวชิน ด้วยเหตุนี้จึงแสดงละครต่อไป เขาเอ่ยเสียงเย็นชาว่า “เป็นตายอยู่ที่ชะตา ร่ำรวยอยู่ที่สวรรค์! หากเจ้าไม่อภัยข้าจริงๆ ข้าก็ทำอะไรไม่ได้ พวกเจ้าเฝ้านางไว้ให้ดี หากนางจะออกไปให้ได้ก็จับนางไว้ ป้อนยาสลายกำลังให้นางกิน นางอยากไปไหนก็ปล่อยนางไป!”

 

 

เมื่อกินยาสลายกำลังก็ไม่อาจใช้กำลังภายในได้ภายในสิบสองชั่วยาม ต่อให้นางไปช่วยซือหม่าหรุ่ย แม้แต่ประตูคุกก็ยังไม่อาจเข้าใกล้ได้

 

 

ยามนี้นางโมโหจนขาดสติ ชี้หน้าจงซาน “จงซาน เจ้าแก่หน้าตาย! ข้าผิดหวังในตัวท่านมาก! เพื่อเยี่ยเม่ยแล้ว ท่านกลับขาวเป็นดำไม่รู้จักแยกแยะหรือไง ซือหม่าหรุ่ยใช่คนที่คิดจะขโมยของอย่างนั้นหรือ”

 

 

จงซานจ้องจงรั่วปิง กล่าวเสียงนิ่ง “ไม่ว่านางจะเป็นคนขโมยของหรือไม่ แต่ว่าเรื่องยื่นมือเข้าช่วยก็คงไม่ถึงคราวของเจ้า! เจ้าอยู่ที่บ้านให้ดี อย่าให้พวกเขาลงมือทำร้ายเจ้า พวกเราพ่อลูกอาจเสียความสัมพันธ์ มองหน้ากันไม่ติดอีก! ”

 

 

“ท่าน…” จงรั่วปิงโมโหแทบคลั่ง คล้ายกับว่าวันนี้นางเพิ่งได้รู้จักจงซาน

 

 

นางหันกลับไปมุ่งมั่นจะออกจากบ้านให้ได้

 

 

จงซานมองคนด้านหลัง คนทั้งสองก็รีบก้าวเข้าไปลงมือกับจงรั่วปิง ไม่รู้ว่าจงซานไปหายอดฝีมือทั้งสองมาจากไหน เพียงชั่วเวลาหนึ่งก้านธูป จงรั่วปิงก็สยบลงใต้เงื้อมมือคนทั้งสอง

 

 

อย่าว่าแต่คิดจะทำอะไรเลย แค่ขยับสักนิดยังทำไม่ได้ คนทั้งสองมัดนางไว้แล้ว

 

 

จงซานกล่าวด้วยเสียงไม่พอใจ “เจ้ารนหาเรื่องเสียจริง!”

 

 

เมื่อเอ่ยจบเขาก็มองคนที่จับตัวจงรั่วปิงไว้