ส่วนที่ 1 ภาคเมื่อครั้งเป็นนักเรียน ตอนที่ 103 หลงรักเตียงของเจ้า

ท้าลิขิตพลิกโชคชะตา

เขาเดินไปถึงด้านหน้าเตียง พลิกผ้าห่มที่อยู่ห่างออกไปออก ปลายนิ้วสัมผัสชัดเจน เตือนให้เขาคงจะเปลี่ยนผ้าห่มที่หนาได้แล้ว…อืม เพราะว่าฤดูใบไม้ร่วงได้มาถึงอากาศจึงเย็นหรอกหรือ

ม่ออวี่เบิกตาตื่นนอน นางหยิบสำลีที่อยู่ในหูออก ลุกขึ้นนั่ง บิดขี้เกียจหนึ่งที จึงหาวออกมา ข้างๆ ไร้คนจึงลุกขึ้นมา นั่งอยู่ด้านหน้ากระจกทองแดงจัดระเบียบใบหน้า หวีผมดำขลับให้นุ่มสลวย หลังจากนั้นจึงเริ่มล้างเครื่องประทินโฉมบนใบหน้าที่จางออก

นางได้แสดงปาฏิหาริย์ของผู้แกร่งกล้าขั้นรวบรวมดวงดาวอีกครั้ง นิ้วมือยาวเล็กปรากฏหยดน้ำหลายเม็ดออกมา อยู่ภายใต้แสงอาทิตย์ราวกับว่าเป็นอัญมณีที่ส่องแสงแวววาว

จ้องมองนางนำหยดน้ำตบบนใบหน้าเบาๆ ประณีตละเอียดอ่อนถูไปมา เฉินฉางเซิงอดไม่ได้จึงพยักหน้าออกมา

หลังจากภาพครั้งที่แล้วม่ออวี่ตื่นนอนจัดการเครื่องประทินโฉม เฉินฉางเซิงมักจะคิดถึงเรื่องนี้ คิดว่าที่จริงแล้วช่างสิ้นเปลืองการใช้ชีวิตเสียเหลือเกิน

ใช่แล้ว มิใช่การทำลายสิ่งของให้เสียหายตามอำเภอใจ แต่เป็นการสิ้นเปลืองชีวิต

หยดน้ำที่เป็นประกายงดงาม นางใช้พลังปราณแท้เพื่อรวบรวม พลังปราณแท้ ใช้สมาธิดึงแสงดวงดาวเปลี่ยนกลับมา การทำสมาธิใคร่ครวญเป็นสิ่งที่ต้องใช้เวลา เวลาก็คือชีวิต

บำเพ็ญเพียรมาถึงขั้นนี้ กลับใช้พลังมาล้างเครื่องประทินโฉมบนใบหน้า แน่นอนว่าเป็นการสิ้นเปลืองชีวิต

จ้องมองหนุ่มน้อยท่าทางเมินเฉยในกระจกทองแดง ม่ออวี่รู้ว่าเขากำลังคิดสิ่งใด กล่าวว่า “มีเพียงแค่น้ำที่ดึงมาจากฟากฟ้า ถึงจะเป็นน้ำที่บริสุทธิ์ที่สุด ไม่ต้องอยู่ในภาชนะใดๆ ถึงจะไม่โดนสิ่งสกปรก ใช้มาล้างใบหน้าให้สะอาดเป็นสิ่งล้ำค่าไม่อาจหาใดเปรียบ”

เฉินฉางเซิงนิ่งเงียบไม่เอ่ยสิ่งใด

ม่ออวี่ดึงกระดาษซับหน้าออกมาจากลิ้นชัก เช็ดหยดน้ำที่หลงเหลืออยู่บนใบหน้าอย่างเบามือ ในใจครุ่นคิดกล่าวเรื่องนี้กับบุรุษ จริงแล้วก็เหมือนกับไก่สนทนากับเป็ด

พลัน นางคิดว่าการอธิบายนี้ไม่ถูกต้อง

หลังจากนั้น นางจึงคิดว่าตนเพราะเหตุใดต้องอธิบายกับเขาด้วยเล่า

“ความเงียบสงบของสำนักฝึกหลวงสองสามวันมานี้ จะยังคงเป็นเช่นนี้จนถึงก่อนการสอบใหญ่”

นางยืดตัวลุกขึ้น จ้องมองเฉินฉางเซิงใบหน้าไร้ความรู้สึกกล่าวว่า “เจ้าก็คงจะชัดเจนยิ่งนัก นี่หมายถึงการใจกว้างและเมตตาเพียงใด ดังนั้นดีที่สุดพวกเจ้าก็ซื่อตรงเสียหน่อย”

เฉินฉางเซิงครุ่นคิด มิได้เอ่ยสิ่งใด

“ได้ยินมาว่า…ในการสอบใหญ่ เจ้าเตรียมที่จะเอาประกาศแรกอันดับแรกรึ” ม่ออวี่กล่าวด้วยอารมณ์ที่สนุกสนานยิ่งนัก

เฉินฉางเซิงได้ยินประโยคนี้รู้สึกแปลกใจเล็กน้อย

เขาออกจากซีหนิงมาถึงยังจิงตู เป้าหมายที่สำคัญที่สุดก็คือการเอาประกาศแรกอันดับแรกในการสอบใหญ่ ทว่าเรื่องนี้ ถ้าหากกล่าวออกไป อาจจะถูกผู้อื่นวิพากษ์วิจารณ์และหัวเราะเยาะมากเสียกว่าการสมรสกับสวีโหย่วหรง ด้วยเหตุนี้เขาเพียงแค่เคยกล่าวกับคนที่เชื่อใจที่สุดสองคน

ลั่วลั่วกับถังซานสือลิ่วล่วงรู้ มังกรดำตัวนั้นก็ล่วงรู้

แล้วม่ออวี่ได้ยินมาจากที่ไหนกัน

เขาคิดไปถึงเรื่องนี้ เพียงแค่จำไม่ได้ว่าครั้งก่อนเคยเอ่ยเรื่องนี้กับซวงเอ๋อร์ที่อยู่ในจวนขุนพลเทพตงอวี้หรือไม่

เขาไม่อยากประกาศก้องเป้าหมายของตนต่อสาธารณชน ทว่าในเมื่อถูกคนถาม และยังเป็นคนที่ไม่ใช่ว่าจะไม่รู้จัก การพูดปดกับการปิดบัง แต่ไหนแต่ไรมิได้เป็นนิสัยที่เคยชินของเขา

“ถูกต้อง ข้าการจะลองดูเสียหน่อยว่ามีความเป็นได้หรือไม่” เขาจ้องมองม่ออวี่พลางเอ่ยออกมา

ท่าทางของม่ออวี่แปรเปลี่ยนเป็นเยือกเย็นขึ้นมา เพราะว่าท่าทางที่เฉินฉางเซิงกล่าวประโยคนี้สงบนิ่ง ทำให้นางมิอาจยิ้มออกมาได้ ขมวดคิ้วเล็กน้อยเอ่ยออกมา “ถึงแม้ข้าจะไม่ชอบเจ้า ทว่าข้ารู้ว่าเจ้ามิใช่คนโง่เขลาที่บ้าระห่ำอวดดี”

เฉินฉางเซิงกล่าว “เพียงแค่คิดเท่านั้นเอง”

“หลายวันก่อน เจ้าเคยเจอผู้ใดหรือไม่”

อยู่ๆ ม่ออวี่ก็ถามออกมา นางถามก็คือเคยเจอผู้ใดหรือไม่ ไม่ได้อธิบายถึงลักษณะเฉพาะ แม้แต่ชื่อก็ไม่มี เพราะว่านางมั่นใจอย่างยิ่ง ถ้าหากเฉินฉางเซิงเจอคนผู้นั้นก็จะต้องจำได้เป็นแน่ และจะต้องรู้ว่าตนถามถึงผู้ใด

เฉินฉางเซิงอยากจะเอาประกาศแรกอันดับแรก เป็นจักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์กล่าวกับนาง

สำนักฝึกหลวงสงบอย่างยิ่ง และก็เป็นเพราะจักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์ทรงประทานสิ่งนี้ให้

นางไม่เข้าใจความคิดของจักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์มาตลอด เพราะเหตุใดค่ำคืนนั้นถึงเปลี่ยนแปลง อยากจะหาความสัมพันธ์ที่ซุกซ่อนอยู่ในนั้น

เฉินฉางเซิงตะลึงงัน ในใจครุ่นคิดสองสามวันมานี้ตนฝึกบำเพ็ญเพียรอยู่สำนักฝึกหลวง แม้แต่ประตูสำนักก็มิได้ก้าวออกไป แล้วจะไปเจอผู้ใด…

เขาพลันคิดไปถึงสตรีวัยกลางคนที่นั่งดื่มน้ำชาในสวนร้อยหญ้า อดไม่ได้ที่จะสั่นสะท้านเล็กน้อย ม่ออวี่กำลังหยั่งเชิงสตรีวัยกลางคนผู้นั้น แล้วนางอยากจะทำสิ่งใด ตามอำนาจในพระราชวังของม่ออวี่ เขากังวลว่าจะนำความยุ่งยากมาให้สตรีวัยกลางคน

“ผู้ใด?” เขาไม่ได้ยอมรับ และก็ไม่ได้กล่าวปฏิเสธ แต่เป็นการย้อนถาม

นี่เป็นวิธีโต้ตอบที่ฉลาดหลักแหลม ม่ออวี่แท้จริงแล้วมิได้คิดมากเกินไป นางเห็นรูปหน้าที่สะอาดสะอ้านของเฉินฉางเซิง คิดไปถึงความรู้สึกที่แสดงออกมาของจักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์เมื่อกล่าวถึงหนุ่มน้อยผู้นี้ ยิ่งนานยิ่งรู้สึกว่าเรื่องนี้แปลกประหลาด

เมื่อความคิดเปลี่ยนเล็กน้อย นางจ้องมองเฉินฉางเซิงจึงคลี่ยิ้มออกไป ในเวลาปกติดวงตาหยิ่งยโสเย็นชา เพียงชั่วพริบตามีความน่ารักที่ดึงดูดผู้คนออกมา เอ่ยถามเสียงเบา “ข้านอนอยู่บนเตียงของเจ้ามาสองครั้ง ไม่รู้ว่ามีกลิ่นอะไรหลงเหลือไว้หรือไม่ ตอนกลางคืนเมื่อเจ้าห่มผ้าห่ม ไม่รู้ว่าได้กลิ่นหรือไม่”

เมื่อนางยิ้มดวงตาหรี่ขึ้นมา ครั้นแล้วความน่ารักก็แปรเปลี่ยนเป็นเบาบางนุ่มนวล น้ำเสียงก็แหบแห้ง ทว่ากลับน่าฟัง

เฉินฉางเซิงถอยกลับไปสองก้าว รักษาระยะห่าง ตอบกลับไปว่า “ไม่มี”

ม่ออวี่เดินไปข้างหน้าตามเขา ดวงตาเบิกโต ระยะห่างใกล้อย่างยิ่ง จ้องมองเขากล่าวถามอย่างจริงจัง “เพราะเหตุใดเล่า”

นางคล้ายกับว่าตั้งใจทำบางอย่างอย่างสุดความสามารถ ดวงตากลับสุกสว่างไสว ง่ายอย่างยิ่งที่จะทำให้บุรุษรู้สึกตื่นเต้น

“เพราะว่าวันนั้นหลังจากเจ้าจากไป ข้าก็เปลี่ยนผ้าห่ม”

เฉินฉางเซิงกล่าว “อีกประเดี๋ยวหากท่านไปแล้ว ข้าก็จะเปลี่ยนผ้าห่ม”

ในห้องแปรเปลี่ยนเป็นสงบนิ่งอย่างยิ่ง แสงสีทองของป่าฤดูใบไม้ร่วงด้านนอกหน้าต่างมีสายลมพัดเบาๆ ราวกับว่ากำลังหัวเราะเยาะตั๊กแตนที่มีท่าทางกระโดดอันน่าเกลียดอย่างยิ่ง

ร่างกายของม่ออวี่แข็งทื่อ หลังจากชั่วครู่ นางค่อยๆ ยืนขึ้น จ้องมองดวงตาเขาพลางเอ่ยถาม “เพราะเหตุใด”

เฉินฉางเซิงกล่าวด้วยความสัตย์จริง “เกี่ยวกับสุขอนามัย”

ลมหายใจของม่ออวี่แปรเปลี่ยนเป็นหนักหน่วงกระชั้นชิดขึ้นมา น้ำเสียงเยือกเย็น “เจ้าคิดว่าข้าไม่สะอาดรึ”

เฉินฉางเซิงกล่าวตอบอย่างจริงจัง “ข้ารู้ว่าการรักความสะอาดมิใช่ความเคยชินที่ดีนัก แต่เมื่อเจ้านอนทุกครั้งล้วนแต่ไม่ถอดเสื้อผ้า…นี่ไม่ได้จริงๆ”

ม่ออวี่อยากจะทุบทำลายอาคารหลังเล็กนี้ทิ้งเสีย อยากจะสังหารเขาและนำกระดูกมาบดละเอียดแล้วโยนทิ้งเสีย นางเดินไปยังประตูตึกๆ พลันหยุดย่างก้าว นางคิดไปถึงประโยคที่เฉินฉางเซิงกล่าวก่อนหน้านี้ หันกายเอียงศีรษะถามออกไป “เจ้าไม่พอใจที่เสื้อผ้าข้าสกปรก หรือเป็นเพราะว่าตัวข้าสกปรกเล่า”

เฉินฉางเซิงไม่รู้ว่าควรจะตอบอย่างไร เวลานี้จากมุมมองของเขา นางเอียงหัวถามด้วยความประหลาดใจ ที่จริงแล้วน่ารัก จนรู้สึกว่าเหมือนกับลั่วลั่ว แล้วจะเหมือนกับแม่นางม่ออวี่ที่มีตำแหน่งสูงส่งและคนที่มีจิตใจอำมหิตได้อย่างไร

ม่ออวี่จ้องมองเขายิ้มอ่อนหวาน น้ำเสียงน่ารักกล่าวออกมา “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ เช่นนั้นหลังจากนี้ข้าจะถอดเสื้อผ้า แม้แต่ชุดข้างในก็ถอดออกเสีย เปลือยตัวล่อนจ้อนห่มผ้าห่มของเจ้า หากเป็นเช่นนี้ หลังจากนั้นเจ้าจะยังเปลี่ยนอีกไหม”

เฉินฉางเซิงจะเคยพบเจอสถานการณ์เช่นนี้ได้อย่างไร อ้าปากเล็กน้อย ไม่รู้ควรจะเอ่ยสิ่งใด

ม่ออวี่ก้มหน้าเขินอายเล็กน้อยพลางเอ่ยต่อ “ถ้าหากนี่ยังไม่ได้…เช่นนั้นข้าจะอาบน้ำเสียก่อน ทำความสะอาดร่างกายให้สะอาดสะอ้าน เช่นนี้ดีหรือไม่”

เฉินฉางเซิงอ้าปากค้าง มีเพียงเสียงหนึ่งที่เปล่งออกมา เสียงนั้นแน่นอนว่าไม่ใช่ภาษามังกรที่นักพรตจี้สอนเขา

“ห๊ะ”

“อายรึ” ม่ออวี่ใช้มือปิดปากหัวเราะพลางเอ่ยถาม ในดวงตาเต็มไปด้วยความอิ่มเอิบใจ

“หรือว่าไม่ต้องการแล้ว”

เฉินฉางเซิงตื่นจากภวังค์ จ้องมองนางกล่าวด้วยคำพูดที่มาจากใจจริง “ถึงอย่างไรบุรุษสตรีมีข้อแตกต่าง โดยเฉพาะเจ้ามีห้องอยู่ในพระราชวัง มีจวนอยู่ในสวนส้มจี๊ด เพราะเหตุใดจะต้องมานอนหลับที่สำนักฝึกหลวงด้วยเล่า เพราะเหตุใดจะต้องมานอนหลับบนเตียงของข้า นี่หากผู้อื่นล่วงรู้ ชื่อเสียงที่มีต่อหญิงสาวเช่นเจ้า…”

ม่ออวี่จะมีเวลาฟังคำสั่งสอนของเขาได้อย่างไร ขนตาขยับเล็กน้อย กล่าวเสียงเบา “หรือว่าเจ้าไม่หวั่นไหว”

เฉินฉางเซิงครุ่นคิด เกาหัวพลางเอ่ยว่า “น้อยมากที่ข้าจะคิดเรื่องราวระหว่างบุรุษสตรี อีกทั้ง…แท้จริงแล้วไม่ค่อยจะเข้าใจ”

ในสายตาของม่ออวี่เต็มไปด้วยความรู้สึกขบขัน กล่าวว่า “เจ้าไม่เข้าใจ…ข้าสามารถสอนเจ้าได้”

เฉินฉางเซิงถอยไปข้างหลังสองก้าว มาถึงด้านหน้าหน้าต่าง กล่าวคำที่เต็มไปด้วยเหตุผลถูกต้อง “แม่นาง ข้ามีหนังสือสมรสอยู่กับตัว”

ห้องของเขาไม่สูงมาก อยู่ที่ชั้นสอง กระโดดไปบนพื้นเบาอย่างยิ่ง

“ไม่เย้าหยอกเด็กน้อยเช่นเจ้าแล้ว”

ม่ออวี่หัวเราะเข้ากันกล่าวว่า “หากกล่าวแล้ว เจ้ากับเด็กบ้าบิ่นสวีโหย่วหรงอันที่จริงก็เหมือนกันอย่างยิ่ง เพียงแค่ต้องการ สามารถนำหนังสือสมรสออกมาขวางเมื่อไหร่ก็ได้ เพียงแค่ ถ้าหากเจ้าไม่ใช่ว่าที่สามีของสวีโหย่วหรงเล่า”

เฉินฉางเซิงส่ายศีรษะพลางเอ่ยว่า “เป็นไปไม่ได้”

เขาไม่ได้ครุ่นคิด ก็บอกคำตอบออกไป นี่ทำร้ายคนอย่างยิ่ง

ม่ออวี่รู้สึกโมโห พลางกล่าว “เพราะเหตุใด”

เฉินฉางเซิงเอ่ยว่า “เพราะว่าเจ้าป่วย”

ม่ออวี่โกรธจัด กล่าวว่า “เจ้าสิป่วย!”

เฉินฉางเซิงในใจครุ่นคิดที่จริงแล้วตนต่างหากที่มีโรค เพียงแค่ว่าไม่ปรารถนาให้ผู้อื่นได้ล่วงรู้ มองนางกล่าวอย่างตั้งใจ “ข้ากล่าวถึงอาการป่วยจริงๆ เจ้ากังวลมากเกินไป นอนไม่หลับเหงื่อไหล ข้าคิดว่าไม่ว่าจะอยู่ที่พระราชวังหรือว่าสวนส้มจี๊ด เจ้าคงยากที่จะนอนหลับ ถึงมาที่นี่เวลาเช้าตรู่”

ม่ออวี่ขมวดคิ้วเล็กน้อย จ้องมองเขามิได้เอ่ยสิ่งใดออกมา ในใจครุ่นคิดเจ้ารู้ได้อย่างไร

ระยะเวลาหนึ่งปีมานี้ นางนอนหลับอย่างยากลำบาก ยามกลางคืนเดิมทียากจะหลับได้ ยามกลางวันก็รับใช้จักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์ ต้องอ่านข้อราชการ เดิมทีไม่มีเวลาว่างที่จะปิดเปลือกตา ทำได้เพียงอดทน คืนวันผ่านไปซ้ำๆ เช่นนี้ ถึงแม้นางเป็นผู้แกร่งกล้าขั้นรวบรวมดวงดาวก็ใกล้จะทนไม่ไหวเสียแล้ว

นางพกสำลีอุดหูเพื่อกั้นเสียงติดตัว สายคาดเอวมีถุงหอมทำให้สงบผูกติดไว้ ล้วนเพื่อสามารถทำให้นอนหลับ

ทว่าสิ่งเหล่านี้ล้วนแต่ใช้ไม่ได้ผล จนกระทั่งหลายวันก่อน ตระกูลเทียนไห่โจมตีสำนักฝึกหลวง นางเป็นคนที่อยู่เบื้องหลัง มาดูความครึกครื้นที่สำนักฝึกหลวง เพื่อง่ายต่อการควบคุมเหตุการณ์ เมื่ออยากจะบีบบังคับให้เฉินฉางเซิงยกเลิกหนังสือสมรส สุดท้ายกลับนอนหลับสนิทอยู่บนเตียงหลังนี้โดยไม่รู้ตัว

นางไม่เข้าใจว่านี่เป็นเพราะอะไร

เตียงนี้ของเฉินฉางเซิง นอกจากสะอาดสะอ้านก็ไม่ได้มีตรงไหนที่พิเศษ เพราะเหตุใดกลับทำให้ตนนอนหลับได้สนิทเช่นนี้ ผ้าปูที่นอนพิมพ์ลายดอกไม้ไม่ชัดเจน วัตถุดิบที่ใช้ก็เป็นผ้าฝ้ายธรรมดา เพราะเหตุใดถึงรู้สึกมีกลิ่นที่จางๆ อ่อนๆ สามารถทำให้ตนสงบนิ่งไร้สิ่งใดเปรียบได้

ม่ออวี่ไม่เข้าใจว่านี่เป็นเพราะเหตุใด คิดว่าประสบการณ์วันนั้นเป็นเพียงเรื่องบังเอิญ ทว่าหลายวันมานี้ อาการนอนไม่หลับของนางยิ่งนานยิ่งรุนแรง โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังจากจักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์ไปสวนร้อยหญ้า นางคิดเรื่องราวมากเกินไป เดิมทียากจะนอนหลับ จนกระทั่งถึงวันนี้ที่จริงแล้วทนไม่ไหว ด้วยเหตุนี้จึงมาที่นี่

นางบอกตนเอง วันนี้นางมาสำนักฝึกหลวงเพื่อจะตักเตือนเฉินฉางเซิง เวลาเดียวกันก็อยากจะลองหยั่งเชิงความสัมพันธ์ระหว่างจักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์กับเรื่องนี้ ทว่าเพียงมองเห็นเตียงของเฉินฉางเซิง นางก็รู้ว่าเดิมทีตนเพียงอยากจะมานอนหลับบนเตียงของเขา

“เจ้ากังวลมากไปหรือไม่” ม่ออวี่จ้องมองเขาพลางเอ่ยถาม ท่าทางหนักแน่นจริงจัง ด้านลึกของนัยน์ตามีความรู้สึกเยือกเย็น