บทที่ 105 เทพธิดาแห่งจันทราลืมตาขึ้น

จอมมารแค่อยากเป็นคนดี [反派少爷只想过佛系生活]

บทที่ 105 เทพธิดาแห่งจันทราลืมตาขึ้น
บทที่ 105 เทพธิดาแห่งจันทราลืมตาขึ้น

มี ‘คู่รัก’ ทั้งหมดสิบเจ็ดคู่

ภาคีไม่ได้แยกพวกเขาออกจากกัน แต่เคลื่อนย้ายพวกเขาทั้งหมดเข้าไปในวงแหวนเวทมนตร์แห่งการสังเวยหน้ารูปปั้นเทพธิดา

ภายใต้ผลของน้ำพรากวิญญาณ ทั้งสามสิบสี่คนเหล่านี้จึงหมดสติไปเป็นที่เรียบร้อย

สมาชิกของภาคีเพียงใช้สปิริตในการต่อต้านขัดขืนเท่านั้น หลังจากนั้นพวกเขาก็เรียกสปิริตกลับไป และเริ่มเคลื่อนย้ายคนเหล่านั้นด้วยตัวเอง

เพราะมีสมาชิกในภาคีอยู่สิบหกคน ดังนั้นจึงเคลื่อนย้ายพวกเขาทั้งหมดได้ค่อนข้างรวดเร็ว

ในที่สุดพวกเขาก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอก หลังจากที่ทุกคู่ถูกย้ายเข้าไปในวงแหวนเวทมนตร์

คุณปลาดาวก็กล่าวขึ้นด้วยความพอใจว่า “ทุกอย่างพร้อมแล้ว สิ่งที่เราต้องทำในตอนนี้คือ รอให้ระฆังดังขึ้น”

จากนั้นสมาชิกของภาคีก็คุกเข่าลงต่อหน้ารูปปั้นเทพธิดา และเริ่มสวดภาวนาอย่างเงียบ ๆ

ด้านนอกวิหาร

ดาร์กชะโงกหัวมองสถานการณ์อย่างระมัดระวัง

สมาชิกของภาคีทั้งสิบหกคนกำลังหันหน้าเข้าหารูปปั้น และสวดภาวนาอย่างจริงจัง

เมื่อมองจากภายนอก ดาร์กก็มองเห็นแต่แผ่นหลังของพวกเขาเท่านั้น

‘บางทีนี่อาจเป็นโอกาส?’

‘ถ้าใช้ [ชีพจรมืด] ฉันอาจจะจัดการพวกเขาจนหมดในทันทีเลยก็ได้’

ความคิดนี้ปรากฏขึ้นในจิตใจของดาร์ก

แต่สุดท้ายเขาก็ปฏิเสธความคิดนี้

การ์ดเมจิกหมวด [ราคะ] จะทำให้พลังของรูปปั้นเทพธิดาเปลี่ยนไป ดังนั้นการใช้มันที่นี่จึงไม่ต่างจากการทำลายตัวเอง

และหากเขาลงมือพลาดไปแม้แต่นิดเดียว คนเหล่านั้นก็จะรู้ตัวทันทีแน่นอน อีกอย่าง ตอนนี้เขาเป็นเพียงนักเรียนชั้นปีหนึ่งที่ไม่มีประโยชน์อะไรเลย คิดจะสู้กับคนพวกนั้นแน่นอนว่าเปอร์เซ็นต์แพ้ย่อมมีมากกว่าชนะ

คนที่อันตรายที่สุดน่าจะเป็นปลาดาว ซึ่งเป็นบุคคลสำคัญของภาคี

อันที่จริง ในสถานการณ์เช่นนี้ ทางออกที่ดีที่สุดคือแจ้งให้อาจารย์ทราบ

เนื่องจากศาสตราจารย์เคเซอร์ไม่เต็มใจที่จะลงมือเองโดยไม่ทราบสาเหตุ ดังนั้นดาร์กจึงควรไปหาศาสตราจารย์คนอื่น!

แต่เขาไม่มีเวลาพอที่จะทำอย่างนั้น

ดูเหมือนว่าภาคีกำลังคิดจะทำอะไรบางอย่างในไม่ช้า ถ้าไปหาอาจารย์ตอนนี้ เมื่อเขากลับมา มันก็คงจะสายเกินไปแล้ว

แต่พวกเขากำลังพยายามจะทำอะไรอยู่?

ฟื้นคืนพระชนม์เทพธิดาหรือ?

ถ้าเคร่งศาสนานัก ทำไมไม่ไปอยู่สถาบันโฮลี มิสเทอรีล่ะ?

คิดว่าเทพธิดาสามารถฟื้นคืนได้ง่าย ๆ แบบนี้เลยเหรอ?

ดาร์กไม่อาจเข้าใจได้

รูปแบบพฤติกรรมของสมาชิกของลัทธินี้แปลกเกินไป

‘ตอนนี้เป็นเวลาประมาณห้าทุ่มห้าสิบนาทีแล้ว พวกเขากำลังรอเวลาเที่ยงคืน ช่วงเวลาสุดท้ายของคืนอันศักดิ์สิทธิ์หรือเปล่า?’

‘ฉันควรทำยังไงดี?’

‘ฉันจะทำอะไรได้บ้าง?’

ดาร์กก้มหน้าเอนหลังพิงกำแพงและครุ่นคิดอย่างรวดเร็ว

‘ในหนังสือบอกว่ายังไงนะ?’

‘ในกรณีแบบนี้…’

‘เราต้องวัดจุดแข็งของเราก่อน’

‘คิดว่าตัวเรามีอะไรบ้าง?’

‘แล้วเราทำอะไรได้บ้าง?’

‘ก่อนจะทำอะไร จงคิดหาทางออกก่อนเสมอ’

ดาร์กได้ไอเดียบางอย่างมาอย่างช้า ๆ

ร่องรอยของความตื่นตระหนกในดวงตาพลันหายไป และเขาก็กลับมาสงบลงอีกครั้ง

ก่อนหน้านี้ ดาร์กไม่รู้ว่าสภาพจิตใจของเขาดีขึ้นถึงจุดนี้แล้ว

ไม่ว่าจะเป็นชาติก่อนหรือชาตินี้ ตัวเขาก็ไม่ใช่คนที่สามารถคิดอย่างสงบในสถานการณ์อันตรายได้

ทว่ามาตอนนี้ ดูเหมือนว่าเขาจะสามารถคิดโดยไม่ใช้อารมณ์นำได้แล้ว

ความกลัวจะไม่ช่วยเขาในทางใดทางหนึ่ง

ส่วนความโกรธจะมีผลตรงกันข้ามเท่านั้น

เขาเป็นเหมือนเด็กที่จู่ ๆ ก็บุกเข้าไปในฉากฆ่าฟัน และเตรียมที่จะฉกมีดแล่เนื้อจากมือของผู้ใหญ่

เวลาผ่านไปทีละนิด

สมาชิกของภาคีเปลี่ยนจากการสวดภาวนาเงียบ ๆ ในตอนแรก ไปเป็นค่อย ๆ สวดภาวนาออกมาเสียงดัง

สิ่งที่ออกมาจากปากของพวกเขาคือ คำกล่าวและคำภาวนาที่ฟังไม่ได้ศัพท์

ทว่ามันชัดเจนและรวดเร็ว ศักดิ์สิทธิ์และสวยงาม

คำสวดภาวนาของทุกคนดูเหมือนจะแตกต่างกัน

แต่ให้ผลเหมือนกับเครื่องดนตรีทุกชนิดในวงซิมโฟนี

แต่ละกลุ่มมีจังหวะของตัวเอง พอรวมกันออกมาก็เป็นท่วงทำนองที่สุดยอด

คำสวดภาวนาของสมาชิกในภาคี กลายเป็นเพลงสวดสรรเสริญอันศักดิ์สิทธิ์

สัญลักษณ์คาถาวงแล้ววงเล่ากลายสภาพเป็นของแข็ง กระโดดโหยงเหยงไปรอบ ๆ รูปปั้นเทพธิดา

มันเป็นคาถาสีขาว สีดำ และสีทอง สลับกับสีชมพูที่มีเสน่ห์

หมอกอันเลือนรางค่อย ๆ ลอยขึ้น

มันเป็นหมอกสีชมพูอ่อนที่ไหลออกมาจากรูปปั้นเทพธิดา

และค่อย ๆ ลามไปสะสมที่ใต้สุดของวิหาร

ดาร์กเอนตัวกลับมาพิงกำแพงอีกครั้ง ก่อนจะกลั้นหายใจไว้

จากมุมมองของเขานั้น สามารถมองเห็นหมอกจำนวนมากค่อย ๆ คืบคลานไปบนร่างของสมาชิกของภาคีที่ก้มหัวลงต่อหน้ารูปปั้นเทพธิดา

สายหมอกเริงระบำราวกับอสรพิษที่พยายามเจาะทะลุผ่านหู จมูก ปาก และแม้กระทั่งทุกรูในร่างกายของพวกเขา

แล้วก็ออกมาอีกครั้ง

ดูเหมือนว่าพวกเขาได้รับการล้างบาปจากเทพธิดา แต่ก็เหมือนกับว่าพวกเขากำลังถูกล้างสมองโดยรูปปั้นเทพธิดาด้วยเช่นกัน

ดาร์กขมวดคิ้ว

เขาสังเกตเห็นว่าหมอกได้ลามไปหาคู่รักทั้งสามสิบสี่คนแล้ว

ราวกับระแวดระวัง มันแยกละอองหมอกออกเป็นสายเล็ก ๆ แล้วค่อยเข้าทางหูซ้าย ทะลุออกมาทางหูขวาของคู่รักเหล่านั้น เชื่อมโยงใยถึงกันทุกคู่

บางคนมีปฏิกิริยาตอบสนอง

แต่บางคนก็ไม่มีปฏิกิริยาใด ๆ

หมอกไม่สนใจคนที่ไม่ตอบสนอง มันห้อมล้อมแค่ผู้ที่มีปฏิกิริยาเท่านั้น

ในท้ายที่สุด ผู้คนทั้งหมดสิบสี่คน เจ็ดคู่ ก็ถูกหมอกล้อมรอบ

เมื่อความเข้มของหมอกเพิ่มขึ้น ก็มีร่องรอยของของเหลวใสซึ่งถูกหมอกที่เกาะระหว่างหูนำออกมา ของเหลวใสนี้ในไม่ช้าก็กลายเป็นฟองอยู่ข้างหูของคู่รักเหล่านั้น

สิ่งนี้ทำให้นึกถึงฉากที่เฒ่าจอห์นใช้ตะขอแห่งโชคชะตา ดึงความคิดฟุ้งซ่านออกจากจิตใจของดาร์ก ที่ร้านขายของเก่าบนถนนนักเดินทาง

สารเหลวที่หมอกดูดออกมาตอนนี้ดูจะคล้ายคลึงกันเลย?

เนื่องจากความเข้าใจของเขามีจำกัด ดาร์กจึงทำได้เพียงคาดเดาเท่านั้น

เมื่อสารเหลวถูกดึงออกมากขึ้นเรื่อย ๆ สารเหลวที่เป็นของคู่รักแต่ละคู่ก็พลันดึงดูดกันและกัน

พวกมันเป็นเหมือนฟองสบู่ในน้ำ ลอยขึ้นเหนือหัวทีละเล็กทีละน้อย หลอมรวมกันเป็นฟองขนาดใหญ่

พื้นผิวของฟองสบู่กลายเป็นหลุมเป็นบ่อ ราวกับเป็นภาพนูนบนผนัง

ในวิหารเล็ก ๆ แห่งนี้ที่เงียบสงัดมาหลายปี

มีคบไฟสองแถวที่ลุกโชนอยู่บนผนังพร้อมกับเปลวเพลิงที่ริบหรี่

รูปปั้นอันศักดิ์สิทธิ์และบริสุทธิ์เริ่มมีรัศมีที่นุ่มนวลมากยิ่งขึ้น

หมอกสีชมพูค่อย ๆ กระจายออกไปทั่วบริเวณ

สาวกทั้งสิบหกคนที่สวมชุดอาหารทะเลต่างสวดภาวนากันอย่างเคร่งขรึม

ท่วงทำนองอันไพเราะดังก้องกังวานไปทั่วทั้งวิหาร

ฟองอากาศใสขนาดใหญ่เจ็ดฟอง กลิ้งไปมาในอากาศเหนือหัวของผู้คนที่ทำหน้าที่เป็นเครื่องสังเวย

ในทิศทางที่มองไม่เห็นจากมุมมองของดาร์ก สีหน้าแห่งความสุขเริ่มปรากฏบนใบหน้าของคู่รักทั้งเจ็ด

ทันใดนั้น

ในวงแหวนเวทมนตร์ที่ซับซ้อน ซึ่งมีศูนย์กลางอยู่ที่รูปปั้นเทพธิดา เทียนสีแดงหลายสิบเล่มพลันจุดขึ้นโดยไม่มีการเตือนล่วงหน้า

เปลวเพลิงไล่จากบางไปหนา

น้ำมันจากเทียนหยดลงบนตัวเทียน

บนเพดานวิหาร แสงเทียนสะท้อนมันราวกับกระจก

วงกลมของเปลวไฟริบหรี่อยู่ในนั้น

ทันใดนั้น ประกายแสงดุจดวงประทีปพลันส่องสกาว ราวกับระลอกคลื่นบนพื้นผิวของทะเลสาบ

เพดานทั้งหมดล้วนสะท้อนเป็นแสงสีเงินชั้น ๆ

และแล้ว…

เพดานก็หายไป

มันถูกแทนที่ด้วยท้องฟ้ายามค่ำคืนที่สดใส และมีดวงจันทร์ที่สว่างไสวคอยเฝ้าดูทุกอย่าง

ช่วงเวลาที่แสงจันทร์ส่องลอดเข้ามาในวิหาร…รูปปั้นของเทพธิดาพลันลืมตาขึ้น!