ซ่งมู่ชะงักงันด้วยความตกใจ เอ่ยขึ้นว่า “เจ้าอายุยังน้อย มีความคิดเช่นนี้ได้อย่างไร เจ้ารู้จักความลำบากของการออกบวชหรือไม่ นี่ต่างอะไรกับการครองตัวหม้ายให้กับสามีที่เสียชีวิตไปแล้วกัน บิดามารดาของเจ้าต้องไม่ยินยอมอย่างแน่นอน เจ้าต้องคิดให้ถี่ถ้วนรอบคอบก่อนที่จะตัดสินใจทำถึงจะถูก ตกลงว่าบุรุษผู้นั้นเป็นใครกันแน่ เจ้าถึงกับละทิ้งทุกอย่างเพื่อเขาได้เช่นนี้ เหตุใดเขาถึงไม่ออกหน้ามาเพื่อเจ้า คนเช่นนี้ไม่ควรค่า…”
โจวเสาจิ่นได้แต่ฟังอย่างเงียบๆ ทว่ายิ่งอยู่ความคิดก็ยิ่งแจ่มชัดขึ้น
นอกจากท่านน้าฉือแล้วนางไม่อาจเชื่อใจบุรุษผู้ใดได้อีก การแต่งงานกับผู้อื่นไปอย่างรีบร้อนไม่เอาใจใส่ มีแต่จะทำให้ชีวิตของนางยิ่งอยู่ก็ยิ่งเป็นทุกข์มากขึ้น แทนที่จะหลอกผู้อื่นไปเช่นนี้ ไม่สู้นางมีชีวิตอยู่อย่างเงียบๆ ไปคนเดียวยังจะดีกว่า
แต่ก็อย่างที่ซ่งมู่กล่าวมา ผู้ใหญ่ในบ้านจะต้องไม่มีทางเห็นด้วยอย่างแน่นอน จะให้ดีนางควรจะรักษาศีลอยู่ในบ้านสักสองสามปี รอให้อายุมากขึ้นแล้ว ค่อยเอ่ยถึงเรื่องจะออกบวช แต่ก่อนจะไปถึงตอนนั้น เพื่อยับยั้งความคิดของคนในครอบครัวแล้ว ไม่สู้แสร้งป่วยสักสองสามปีจะดีกว่า
เป็นโรคที่ไม่อาจระบุชื่อได้ ก็จะได้ทาบทามให้ใครไม่ได้ บิดารักใคร่เห็นใจนาง มากกว่าครึ่งย่อมไม่ยอมยกนางให้แต่งกับผู้ใดอย่างส่งเดชแน่นอน จากนั้นนางค่อยเอ่ยถึงเรื่องสร้างอารามที่บ้านสักหลังหนึ่ง บิดาและพี่สาวน่าจะอนุญาต ถึงเวลานั้นนางค่อยไปขอ ‘เงินบริจาค’ จากเฉิงฉือ ขอให้เขาช่วยสมทบทุน…
ราวกับว่าการได้อาศัยอยู่ในสถานที่ที่ใช้เงินของเฉิงฉือสร้างขึ้นมาให้นางนั้น ก็เท่ากับนางได้อาศัยอยู่ในอาณาบริเวณของเฉิงฉือแล้วเช่นกันก็ไม่ปาน
โจวเสาจิ่นครุ่นคิดแล้วดวงหน้าก็แต้มไปด้วยรอยยิ้ม ดูอ่อนโยนประดุจน้ำ
ซ่งมู่หยุดบทสนทนาลงด้วยความประหลาดใจ
โจวเสาจิ่นรีบกล่าวขึ้นว่า “ขอบคุณคำแนะนำดีๆ ของคุณชาย เรื่องนี้ข้าจะนำไปไตร่ตรองให้ดีเจ้าค่ะ”
ในเมื่อผู้อื่นมีความคิดเป็นของตัวเองแล้ว เขายังจะเจื้อยแจ้วอยู่ที่นี่ไปเพื่ออันใด
ดวงหน้าของซ่งมู่เก็บอารมณ์ไม่อยู่เล็กน้อย ทว่าอารมณ์คุกรุ่นในใจกับจางหายไปหมดแล้ว
คุณหนูรองตระกูลโจวเองก็เป็นคนน่าเห็นใจจริงๆ
เพื่อคนที่อยู่ในใจผู้นั้นแล้ว ถูกกดดันจนถึงกับคิดจะออกบวชเลยทีเดียว
เมื่อเปรียบเทียบกันแล้ว น้องสาวของเขาถือว่าโชคดีกว่ามาก
ชอบพอกับบุตรชายของสหายร่วมชั้นปีสอบของบิดามาเนิ่นนาน ทั้งสองคนต่างไปมาหาสู่กันบ่อยๆ ซึ่งก็ถือได้ว่าเป็นคู่ที่รักกันมาตั้งแต่วัยเด็ก ว่าที่น้องเขยในอนาคตรักใคร่และให้เกียรติน้องสาว ตระกูลฝ่ายชายก็เฝ้ารอมาเนิ่นนาน เพียงรอให้ตนแต่งงาน น้องสาวก็จะได้ขึ้นเกี้ยวเจ้าสาวไปอย่างมีความสุขแล้ว…
ส่วนคุณหนูรองตระกูลโจวผู้นี้เป็นคนมีจิตใจกว้างขวางและรับผิดชอบผู้หนึ่ง หากเป็นบุรุษ อย่างไรก็ต้องคบหาเป็นสหายกันให้ได้ แต่ถึงเป็นสตรี…ก็กล่าวได้ว่ามีความกล้าหาญไม่ด้อยไปกว่าบุรุษ และยังเป็นสตรีที่โดดเด่นท่ามกลางหมู่สตรีในห้องหออีกด้วย
อย่างน้อยเมื่อเปรียบเทียบกับบรรดาน้องสาวตระกูลหวังแล้ว ผู้หนึ่งเป็นสวรรค์อีกผู้หนึ่งเป็นนรก
ซ่งมู่ตัดสินใจจะช่วยเหลือโจวเสาจิ่นสักครั้งหนึ่ง
มิใช่เพื่ออย่างอื่น แต่เห็นแก่ที่นางเป็น ‘พี่นางฟ้า’ ของน้องห้าของเขา ต่อไปเวลาสองตระกูลไปมาหาสู่กัน ก็ถือว่าเป็นการสร้างกรรมดีต่อกันไว้
ไม่แน่ว่าคุณหนูรองตระกูลโจวและน้องสาวของเขาอาจจะกลายเป็นสหายสนิทกันก็เป็นได้
ซ่งมู่เอ่ยขึ้นว่า “เช่นนั้นประเดี๋ยวพวกเราจะบอกผู้ใหญ่ว่าอย่างไรดี”
นี่คงคิดจะช่วยเหลือนางกระมัง
ดวงตาดอกท้อของโจวเสาจิ่นเบิกกว้าง มองซ่งมู่ด้วยความประหลาดใจ
ซ่งมู่รู้สึกว่าท่าทางนี้ของนางช่างน่าขบขันยิ่งนัก
เพื่อตอบแทนที่ได้เห็นท่าทางนี้ของนาง เขาก็ควรจะทำให้นางประหลาดใจอย่างคาดไม่ถึงสักหน่อยถึงจะถูก
ซ่งมู่ยืดหลังให้ตรงยิ่งขึ้น กล่าวอย่างเรียบเฉยว่า “พวกเราคงไม่อาจต่างคนต่างแต่งเรื่องของตัวเอง กล่าววาจาเลื่อนเปื้อนไปคำรบหนึ่ง ถึงเวลาทำให้ผู้ใหญ่ของทั้งสองตระกูลบาดหมางกันหรอกกระมัง”
“อ่า!” โจวเสาจิ่นถึงได้กล้าแน่ใจขึ้นมา นางอดรู้สึกซาบซึ้งใจไม่ได้ กล่าวขอบคุณซ่งมู่ไม่หยุด
ซ่งมู่พยักหน้าให้อย่างไม่ใส่ใจนัก กล่าวขึ้นว่า “ตอนนี้มิใช่เวลามากล่าวขอบคุณ รีบคิดหาวิธีกันดีกว่า! ประเดี๋ยวหากท่านปู่ของข้าและท่านอาฉือออกมาแล้ว พวกเราคงไม่สะดวกจะพูดคุยกันอีก”
โจวเสาจิ่นหลุบตาลงครุ่นคิด ดูอ่อนโยนบอบบางประหนึ่งดอกกล้วยไม้สกุลเขากวางอ่อนต้นหนึ่ง
แต่ผู้ใดจะรู้ว่าเนื้อในของนางกลับอดทนและเข้มแข็งถึงเพียงนั้น!
ซ่งมู่กล่าวขึ้นว่า “เอาอย่างนี้ดีหรือไม่ เจ้าไม่ต้องพูดอะไรทั้งนั้น ข้าจะบอกว่าเจ้าดูหัวอ่อนเกินไป เกรงว่าคงไม่ค่อยเหมาะจะมาเป็นนายหญิงของตระกูล มิสู้ลองทาบทามเจ้าให้น้องชายคนรองของข้าดู…”
“หา!” โจวเสาจิ่นรู้สึกเพียงว่าตกใจจนราวกับมีสายฟ้าก่อตัวเป็นคลื่นอยู่บนศีรษะของนาง
นัยน์ตาของซ่งมู่มีแววพึงพอใจสายหนึ่งวาบผ่าน กล่าวว่า “พวกผู้ใหญ่จะต้องไม่เห็นด้วยอย่างแน่นอน โดยเฉพาะท่านน้าฉือของเจ้า เนื่องจากน้องชายรองของข้ายังไม่มียศตำแหน่ง การทาบทามในครั้งนี้ก็จะล้มเหลวไปเองโดยปริยาย และผู้ใหญ่ของทั้งสองตระกูลก็ไม่ต้องมีปัญหาขัดแย้งกันด้วยเรื่องนี้ด้วย…”
แต่ถ้าเป็นเช่นนี้ ก็เท่ากับว่าตระกูลซ่งติดหนี้น้ำใจตระกูลเฉิงหนึ่งครั้ง
“ไม่ได้เจ้าค่ะๆ” โจวเสาจิ่นส่ายหน้ารัวประหนึ่งกลองป๋องแป๋ง กล่าวว่า “เรื่องนี้เป็นข้าที่ทำไม่ถูก จะให้ตระกูลซ่งเป็นแพะรับบาปได้อย่างไร…”
“เรื่องนี้ให้ตกลงกันตามนี้” ซ่งมู่กลับกล่าวตัดบทคำพูดของโจวเสาจิ่นอย่างเด็ดเดี่ยวและแน่วแน่ กล่าวว่า “ทำเช่นนี้ก็เพื่อตัวข้าเอง ข้าปฏิเสธเจ้า อย่างไรก็ย่อมดีกว่าเจ้าปฏิเสธข้ากระมัง”
แน่นอนว่าโจวเสาจิ่นรู้ดีว่าเขาไม่ได้ทำเพื่อหน้าตาของตัวเอง
ถ้าหากเขาทำเพื่อหน้าตาของตัวเองล่ะก็ เขาก็คงจะเสนอออกมาตั้งแต่ตอนที่นางปฏิเสธเขาแล้ว
โจวเสาจิ่นไม่รู้จะกล่าวอะไรอีก หันไปย่อกายให้เขา พลางกล่าวขอบคุณด้วยเสียงที่เปี่ยมด้วยความรู้สึกซาบซึ้งใจว่า “ขอบคุณมากเจ้าค่ะ”
เห็นนางกล่าวขอบคุณเขาอย่างให้ความเคารพเช่นนั้น ใบหูของซ่งมู่ก็แดงก่ำไปหมด กล่าวขึ้นอย่างอยู่ไม่สุขเล็กน้อยว่า “มิใช่เจ้าบอกว่าจะตอบแทนข้าหรอกหรือ ข้ารู้สึกว่าทำให้คุณหนูของซอยจิ่วหรูติดหนี้น้ำใจข้าสักครั้งหนึ่งได้ก็ไม่เลวเหมือนกัน ไม่แน่ว่าสักวันอาจจะได้ใช้ขึ้นมาจริงๆ ก็เป็นได้…”
โจวเสาจิ่นเม้มปากลั้นยิ้ม เอ่ยขึ้นว่า “เป็นได้เพียงคุณหนูรองตระกูลโจวเท่านั้นแล้ว ข้าไม่เชื่อฟังเช่นนี้ ต้องทำให้ผู้ใหญ่กรุ่นโกรธอย่างแน่นอน คงเป็นคุณหนูของซอยจิ่วหรูไม่ได้แล้ว”
ซ่งมู่หัวเราะฮ่า
ทั้งสองคนมีความคิดเห็นคล้ายกัน พอมีเรื่องให้หัวเราะได้ก็ลืมเลือนเรื่องชำระหนี้บุญคุณความแค้นไปหมดแล้ว
โจวเสาจิ่นถอนหายใจยาวอย่างโล่งอกครั้งหนึ่ง
ซ่งมู่กล่าวกับโจวเสาจิ่นคำหนึ่งว่า “รักษาตัว” แล้วเข้าเรือนหลักไป
โจวเสาจิ่นยืนอยู่เบื้องหน้าอ่างเลี้ยงปลา ก้มศีรษะลงมองปลาทองสีทองหางสีดำดวงตาโปนตัวหนึ่งโผล่พ้นผิวน้ำขึ้นมางับหญ้าที่อยู่บนผิวน้ำ ในใจรู้สึกเพียงความสงบและปลอดโปร่ง
ชีวิตต่อจากนี้ไป ส่วนใหญ่ก็คงฆ่าเวลาด้วยปลูกดอกไม้ต้นไม้แล้ว!
บางที นางอาจจะเลี้ยงปลาทองสักสองสามตัวด้วยก็เป็นได้
และอาจจะเอาเรื่องที่อยากทำแต่ทำไม่สำเร็จในชาติก่อนมาทำให้สำเร็จในชาตินี้
อย่างเช่นผสมธูปหอมสักชนิดหนึ่ง ทำธูปหอมขดสักอย่างหนึ่ง ออกหนังสืออักษรภาพสักเล่มหนึ่ง ปักภาพองค์พระโพธิสัตว์กวนอิมหลากหลายรูปแบบ…อารมณ์ความรู้สึกค่อยๆ ก่อตัวเป็นระลอกคลื่นอยู่บนดวงหน้าของนาง
เฉิงฉือกลับเดือดพล่านด้วยความโกรธ
เจ้าเด็กตระกูลซ่งผู้นั้นถึงกับกล้าปฏิเสธเสาจิ่น
เขาก็ไม่ลองทบทวนเรื่องภายในของตระกูลซ่งดูบ้าง!
ตนไม่รังเกียจที่ขาของตระกูลซ่งเปื้อนโคลนยังไม่ได้ล้างจนสะอาด แต่เขากลับกล้ารังเกียจที่เสาจิ่นหัวอ่อน ท่าทางไม่เหมาะเป็นนายหญิงของตระกูล!
เฉิงฉือเดินวนไปวนมาอย่างเดือดดาลอยู่ภายในห้องสี่ถึงห้ารอบ ไม่เพียงไฟในใจจะไม่สงบลง กลับยิ่งอยู่ก็ยิ่งเผาไหม้รุนแรงมากยิ่งขึ้น
ไหวซานและคนอื่นๆ ไม่กล้าแม้แต่จะหายใจแรง
ชุนหว่านยิ่งแล้วใหญ่กล่าวปลอบใจโจวเสาจิ่นด้วยดวงตาแดงก่ำว่า “คุณหนูรอง ไม่เป็นไรนะเจ้าคะ เป็นคุณชายซ่งผู้นั้นที่มีตาแต่หามีแววไม่ นายท่านสี่ฉือจะต้องทาบทามตระกูลที่ดียิ่งกว่ามาให้คุณหนูรองอย่างแน่นอน ตระกูลซ่งช่างน่าโมโห ซ่งมู่ผู้นั้นก็ช่างน่าโมโหยิ่งนัก”
คนที่นางเกลียดมากที่สุด จากเฉิงสวี่เปลี่ยนเป็นซ่งมู่ไปแล้ว
แม้นโจวชูจิ่นจะเสียใจ ทว่าก็ยังดีกว่าชุนหว่านมาก
ด้วยสถานะของตระกูลโจวแล้ว แต่งให้บุตรชายคนโตของตระกูลซ่งก็ถือว่าสูงส่งกว่าพวกนางจริงๆ
เห็นได้ชัดว่ามิใช่ใครๆ ก็เหมือนตระกูลเลี่ยว เพื่อประจบประแจงซอยจิ่วหรูแล้ว จะยอมให้นางเป็นภรรยาเอกของบุตรชายคนโต
ด้วยเหตุนี้เห็นได้ชัดว่าธรรมเนียมปฏิบัติของตระกูลซ่งต้องไม่เหมือนกันอย่างแน่นอน
ถ้าหากโจวเสาจิ่นได้แต่งเข้าไป ต้องมีชีวิตที่ดีอย่างแน่นอน
เมื่อคิดเช่นนี้ โจวชูจิ่นก็ยิ่งรู้สึกเสียดาย
ถ้าหากตอนแรกขยับถอยออกมาเลือกสิ่งที่ดีลำดับรองลงมา คนที่ทาบทามด้วยเป็นคุณชายรองของตระกูลซ่งก็คงจะดี
แต่เรื่องมาถึงขั้นนี้แล้ว เสียดายไปก็ไม่มีประโยชน์อะไรแล้ว
โจวชูจิ่นปรับอารมณ์กลับมากล่าวปลอบโยนน้องสาวว่า “โชคดีที่ท่านน้าฉือเป็นคนทำอะไรรอบคอบ เรื่องนี้จึงไม่มีผู้อื่นรู้ เจ้าเองก็ไม่ต้องเก็บมาใส่ใจ คิดเสียว่าได้รู้จักคนเพิ่มสักคนหนึ่ง ด้วยคนอย่างท่านน้าฉือของเจ้า และด้วยคุณลักษณะและหน้าตาของเจ้าแล้ว ยังจะกังวลว่าจะหาคนที่ถูกใจไม่ได้สักคนเชียวหรือ…”
พี่สาวไม่ได้กล่าวอย่างแสนเสียใจว่าจะหาคนที่ดีกว่าตระกูลซ่งมาให้นางเหมือนอย่างชุนหว่าน เห็นได้ชัดว่าในใจของพี่สาวก็รู้สึกเช่นเดียวกันว่าตระกูลซ่งนั้นดีมาก พลาดโอกาสครั้งนี้ไปแล้ว บางทีอาจจะไม่ได้พบคนที่ดีกว่าซ่งมู่อีกแล้ว
โจวเสาจิ่นใจกระตุก
เหตุใดไม่ใช้โอกาสนี้แกล้งป่วยเล่า
จะให้ดีก็คือเพราะเหตุนี้อาการป่วยจึงกำเริบ
เมื่อเป็นเช่นนี้เรื่องอาการป่วยที่ระบุโรคไม่ได้ก็มีเหตุผลขึ้นมาแล้ว ทุกคนก็จะไม่รู้สึกว่ามันกะทันหันอย่างคาดไม่ถึงแล้ว
เพียงแต่จะอยุติธรรมกับคุณชายซ่ง ทำให้เขาถูกผู้คนตำหนิต่อว่าโดยไร้ซึ่งเหตุและผล แล้วก็ผิดต่อบิดาและพี่สาวที่รักนางเห็นใจนาง ทำให้พวกเขาต้องรู้สึกตื่นตระหนกและหวาดกลัว…แต่นางไม่อยากไปดูตัวอีกต่อไปแล้วจริงๆ
ปฏิเสธผู้อื่นหนึ่งครั้ง นางเองก็เหมือนกับถูกถลกหนังออกหนึ่งชั้นก็ไม่ปาน
ยิ่งไปกว่านั้นนางไม่อยากแต่งงาน
แค่นึกถึงว่าต้องร่วมเตียงเคียงหมอนกับผู้อื่น นางก็รู้สึกไม่สบายไปทั้งร่างแล้ว
ให้นางเห็นแก่ตัวสักครั้งหนึ่งเถิด
ต่อไปนางจะสวดมนต์ต่อหน้าพระพุทธองค์เพื่อพวกเขาอย่างแน่นอน ให้พระพุทธองค์ช่วยคุ้มครองให้พวกเขามีความสงบสุข สมดังปรารถนาทุกประการ
โจวเสาจิ่นอธิษฐานบอกกล่าวความปรารถนาของตัวเองต่อหน้าพระพุทธองค์ รอจนทำพิธีครบรอบเดือนของกวนเกอเสร็จและส่งเฉิงเก้ากลับไปแล้ว นางก็ ‘ล้มป่วย’
หลี่ซื่อรีบเชิญท่านหมอเข้ามา
ท่านหมอกล่าวเพียงว่าชีพจรของนางเหมือนจะเต้นอ่อนแรงเล็กน้อย เขียนเทียบยาช่วยบำรุงเลือดลมให้หนึ่งเทียบแล้วก็จากไป
โจวเสาจิ่นแอบเทยาทิ้งในแจกันที่วางอยู่บนโต๊ะตัวยาว นับจากนั้นก็เอาแต่บอกว่ารู้สึกเหนื่อย เวลาส่วนใหญ่จึงเอาแต่นอนอยู่บนเตียง
หลี่ซื่อเชิญหมออีกท่านหนึ่งมาดูอาการของนางใหม่อีกครั้ง
ท่านหมอก็พูดเช่นเดิมว่าชีพจรของนางเหมือนจะเต้นอ่อนแรงเล็กน้อย เขียนเทียบยาช่วยบำรุงเลือดลมให้ ทว่ากินไปหลายเทียบแล้วก็ไม่เห็นจะดีขึ้น
หลี่ซื่อร้อนใจจนเป็นร้อนในที่ปาก ปรึกษากับโจวชูจิ่นว่า “ต้องเชิญท่านหมอที่เก่งๆ มาสักคนถึงจะถูก ปล่อยให้เป็นเช่นนี้ต่อไปคงไม่ได้การแล้ว!”
โจวชูจิ่นเห็นว่าผิวพรรณของโจวเสาจิ่นยังดียิ่ง การกินดื่มแต่งกายต่างๆ ก็ไม่ได้มีอะไรต่างไปจากปกติ คาดเดาว่าเสาจิ่นน่าจะป่วยทางใจ จึงกล่าวขึ้นว่า “รอดูเช่นนี้ไปอีกสักระยะหนึ่งแล้วค่อยว่ากันอีกที หากไม่ดีขึ้นค่อยไปหาหมอที่มีชื่อเสียงมาดูอาการสักคนหนึ่งก็แล้วกันเจ้าค่ะ”
หลี่ซื่อพยักหน้า ทว่ากลับลอบสงสัยอยู่ในใจไม่น้อย เอ่ยกับหลี่มามาเป็นการส่วนตัวว่า “ปกติต้ากูไหน่ไนจะเอาใจใส่เรื่องของคุณหนูรองเป็นอย่างยิ่ง เหตุใดครั้งนี้ถึงดูนิ่งเฉยเล็กน้อย หรือว่าพวกนางมีเรื่องอะไรปิดบังข้าอยู่”
หลี่มามากลัวว่าหลี่ซื่อจะคิดมากเกิดช่องว่างในใจ จึงรีบกล่าวขึ้นว่า “จะเป็นไปได้อย่างไรเจ้าคะ ข้ามองแล้วผิวพรรณสีหน้าของคุณหนูรองยังเป็นปกติ หากมิใช่เพราะเอาแต่ง่วงเหงาหาวนอนอยู่บ่อยๆ เช่นนั้น ก็ดูไม่ออกเลยว่าคุณหนูรองไม่สบายที่ตรงไหน นอกจากนี้ตอนนี้ต้ากูไหน่ไนเป็นแม่คนแล้ว ความนึกคิดทั้งปวงจึงไปตกอยู่ที่คุณชายน้อยคนใหม่ ยากที่จะหลีกเลี่ยงอาการเหนื่อยล้า มีที่ที่ดูแลไม่ทั่วถึงบ้าง…”
หลี่ซื่อพยักหน้า ทว่ายังคงรู้สึกว่าควรจะเชิญท่านหมอที่มีชื่อเสียงสักคนหนึ่งมาดูอาการของโจวเสาจิ่นตั้งแต่เนิ่นๆ จะดีกว่า “…ถ้าหากเกิดเรื่องอะไรขึ้นมาจริงๆ เกรงว่าข้าคงไม่อาจสงบใจไปทั้งชีวิตแน่”
หลี่มามารู้สึกว่าหากเปลี่ยนเป็นตนก็คงจะคิดเช่นเดียวกับหลี่ซื่อ นางกล่าวว่า “การเชิญท่านหมอสักคนมาดูอาการให้คุณหนูรองนั้นมิใช่เรื่องยาก อย่างไรเสียอาการป่วยของคุณหนูรองนั้นไม่ว่าหมอหนึ่งคนหรือสองคนล้วนไม่อาจวินิจฉัยสาเหตุออกมาได้แม้แต่ข้อเดียว จะเปลี่ยนท่านหมอมาดูอาการให้คุณหนูรองอีกสักคนต้ากูไหน่ไนก็คงไม่สงสัยอะไร เพียงแต่ว่าพวกเราไม่คุ้นเคยกับผู้คนและสถานที่ในจิงเฉิง จะเชิญหมอที่มีชื่อเสียงสักคนหนึ่งได้อย่างไรเจ้าคะ”
หลี่ซื่อกัดฟันเล็กน้อย เอ่ยขึ้นว่า “เช่นนั้นก็ไปขอร้องนายท่านสี่ตระกูลเฉิงก็แล้วกัน! มิใช่ว่าเขาเติบโตอยู่ที่จิงเฉิงมาตั้งแต่เด็ก ต่อมายังไปๆ มาๆ ระหว่างจิงเฉิงและจินหลิงอยู่บ่อยๆ หรอกหรือ จะต้องรู้ว่าท่านหมอท่านใดมีชื่อเสียงอย่างแน่นอน”
หลี่มามาครุ่นคิดตาม มีเพียงนายท่านสี่ตระกูลเฉิงเท่านั้นแล้วจริงๆ ที่จะไปขอความช่วยเหลือได้
หลี่ซื่อจึงเขียนจดหมายฉบับหนึ่ง ให้หลี่มามานำไปที่ซอยอวี๋เฉียน
เฉิงฉือยังไม่หายโกรธ จึงยิ่งรู้สึกไม่มีหน้าจะไปพบโจวเสาจิ่น ขยำเทียบที่นายท่านผู้เฒ่าซ่งชวนเขาออกไปท่องเที่ยวในช่วงฤดูใบไม้ผลิเป็นลูกกลมๆ แล้วทิ้งลงไปในตะกร้าทิ้งกระดาษ ทว่ากลับได้รับจดหมายของหลี่ซื่ออย่างกะทันหัน บอกว่าโจวเสาจิ่นไม่สบาย เชิญหมอไปดูอาการหลายคนและกินยาไปหลายเทียบแล้วก็ยังไม่ดีขึ้น ขอร้องให้เขาช่วยเชิญหมอที่มีชื่อเสียงสักคนไปดูอาการให้โจวเสาจิ่นสักหน่อย