บทที่ 152 หุ่นเชิดศพเกราะทอง!
ด้านล่างของแม่น้ำฉางหลิง
เย่เทียนและเหล่าราชาคนอื่นยืนอยู่ที่ลานกว้างหน้าวิหารอันโอ่อ่า
วิหารแห่งนี้มีขนาดใหญ่มากคาดว่าน่าจะครอบคลุมพื้นที่กว่าสิบลี้ ถึงแม้ว่ามันจะผ่านกาลเวลามาอย่างยาวนานแต่ก็ยังคงแผ่กลิ่นอายอันมหาศาลที่ไม่อาจจินตนาการได้ออกมา
วิหารแห่งแสงทั้งหมดถูกปกคลุมด้วยม่านแสงม่านแสงนี้ดูเบาบางเป็นอย่างมากมากแต่ถึงอย่างนั้นแม้แต่ระดับจักรพรรดิก็ไม่สามารถทําลายมันได้หากต้องการเข้าไปด้านในทําได้เพียงแค่
ใช้กุญแจวิหารเท่านั้น
ส่วนระดับศักดิ์สิทธิ์และระดับจักรพรรดินั้นไม่สามารถเข้าไปในวิหารได้ถึงจะมีกุญแจก็ตามมีเพียงผู้ฝึกลดระดับราชาหรือต่ำกว่าเท่านั้นที่มีสิทธิ์เข้าไปในวิหารมิฉะนั้นกุญแจที่เย่เทียนได้รับ
มาคงจะตกไปอยู่ในมือของคนอื่นแล้ว
ใครก็ตามที่ครอบครองกุญแจก็จะถูกแย่งชิงโดยผู้ฝึกยุทธระดับศักดิ์สิทธิ์หรือแม้กระทั่งระดับจักรพรรดิใหญ่
เพียงไม่นานระดับราชาแต่ละคนถือกุญแจวิหารเดินเข้าไปในม่านแสงแล้วผ่านไปในห้องโถง
แม้จะมีผู้ฝึกยุทธหลายร้อยคนที่เข้ามาด้านในห้องโถงใหญ่ แต่มันก็ไม่แออัดเลยแม้แต่น้อยและที่ตรงกลางของห้องโถงใหญ่ก็ได้มีประตูบานหนึ่งตั้งอยู่
ประตูนี้เป็นประตูที่เชื่อมไปยังมิติของวิหารแห่งแสงซึ่งเป็นหนทางเดียวที่สามารถเข้าไปยังที่
นั่นได้ โดยรอบห้องโถงทั้งหมดเป็นผนังหนาไม่มีทางเดิน
พรีบ พรีบ!!!
ผู้ฝึกยุทธร้อยคนเข้าไปในประตูมิติโดยไม่ลังเลแม้แต่น้อย เย่เทียนก็พุ่งเข้าไปเช่นกัน
พลังมิติที่คุณเคยโอบล้อมปกคลุมปกคลุมเย่เทียนส่งเขาไปยังอีกโลกหนึ่งอย่างรวดเร็ว!
“โชคดีที่พรสวรรค์ในการคัดลอกไม่ได้ถูกปิดกั้น!”
เย่เทียนถอนหายใจด้วยความโล่งอก
เมื่อสักครู่ภายในวิหารแห่งแสงเขาพบว่าพรสวรรค์ในการคัดลอกของเขานั้นถูกสะกดเอาไว้
ทําให้เขารู้สึกปวดหัวเล็กน้อย ตอนนี้เมื่อเขาผ่านประตูมิติมายังพื้นที่แห่งนี้แล้วพรสวรรค์ในการคัดลอกของเขากลับมาใช้ได้ดังเดิม
สําหรับเย่เทียนต้องบอกว่ามันเป็นสิ่งที่น่ายินดียิ่ง
มิฉะนั้นแม้ว่าพรสวรรค์ในการคัดลอกของเขาจะคูลดาวน์เสร็จสิ้น แต่ก็ไม่สามารถคัดลอกพรสวรรค์ของคนอื่นได้
“ท่าไมถึงรู้สึกว่ามิตินี้ไม่ได้อยู่ภายในวิหารแห่งนั้น?”
เย่เทียนพึมพ่า
แม้ว่าวิหารแห่งนั้นจะลึกลับมาก แต่มีเพียงห้องโถงใหญ่แห่งเดียวที่สามารถเข้าไปได้แต่
โบราณสถานวิหารแห่งแสงไม่ได้มีแค่ห้องโถงใหญ่เพียงจุดเดียว แต่ไม่รู้ว่าเพราะอะไรไม่มีใคร
สามารถไปยังสถานที่อื่นๆได้
อย่างไรก็ตามภายในประตูนี้มันเป็นเหมือนประตูมิติที่เชื่อมต่อกับมิติที่ไม่รู้จักเย่เทียนสัมผัส
ได้ว่าพื้นที่แห่งนี้อยู่ห่างไกลจากวิหารแห่งแสงมาก
หากเป็นเช่นนั้นจริงก็สามารถอธิบายได้ว่าทําไมพรสวรรค์ในการคัดลอกของเขาถึงไม่ถูกยับยั้งในที่แห่งนี้
“โบราณสถานวิหารแห่งแสงลึกลับเกินไป ไม่จําเป็นต้องสนใจมันมากนักตอนนี้มีเรื่องที่สําคัญ
กว่าที่ต้องทํา เราต้องหาอาคารหรือสิ่งปลูกสร้างให้พบเร็วที่สุดเท่าที่จะทําได้!”
เย่เทียนลอยอยู่กลางอากาศ กวาดสายตามองออกไปรอบด้าน
ในตอนนี้เขาพบว่าฝึกแต่ละคนถูกส่งไปยังตําแหน่งที่ไม่เหมือนกัน แต่เดิมมีผู้ฝึกยุทธหลายร้อยคนที่ผ่านประตูเข้ามาแต่ในพื้นที่ขนาดใหญ่นี้เขากลับไม่เห็นใครแม้แต่คนเดียวเห็นได้ชัดว่ามิตินี้กว้างใหญ่ขนาดไหน
เย่เทียนเลือกทิศทางและบินออกไปอย่างรวดเร็ว ในขณะที่เขากําลังบินเขาก็สังเกตสถานการณ์บนพื้นดินไปด้วย
ครึ่งชั่วโมงต่อมา ในที่สุดอาคารก็ปรากฏขึ้นในสายตาของเย่เทียน
วู๊ซซซ!
เย่เทียนบินลงไปและเดินไปยังอาคาร
ที่นี่เป็นลานบ้านหลังหนึ่ง ราวกับเป็นที่พักอาศัยของยอดฝีมือบางคน ทั่วทั้งลานบ้านถูกตกลงไปด้วยค่ายกล
“พรสวรรค์ด่านค่ายกล!
ทันใดนั้นในสายตาของเย่เทียน ค่ายกลทั้งหมดกลายเป็นโลกของค่ายกลค่ายกลมากมายซ้อนทับกันซับซ้อนอย่างที่เขาไม่เคยเห็นมาก่อน
“ค่ายกลนี้…..ช่างน่ากลัวนัก!”
เย่เทียนประหลาดใจ
นี่เป็นเพียงค่ายกลที่เขามองเห็น ไม่แน่ว่าอาจจะมีค่ายกลที่แม้แต่พรสวรรค์ด้านค่ายกลระดับสูงสุดมองไม่เห็นอยู่ด้วยเช่นกัน
เท่าที่ดูแล้ว ระดับของค่ายกลนี้น่าจะสูงกว่าค่ายกลใหญ่ระดับสูงสุดมาก
“เราไม่สามารถทําลายค่ายกลนี้ได!”
เย่เทียนสายหัวและยอมแพ้
เขาเดินเข้าไปด้านใน และในขณะที่เขาเข้าใกล้ประตูบานใหญ่ นักรบสวมเกราะสีทองก็ปรากฏขึ้นต่อหน้าเย่เทียนด้วยหอกยาว
“คนบุกรุกที่พักของนายท่าน ตาย!”
นักรบเกราะทองกล่าวอย่างเย็นชา
“ผู้พิทักษ์!”
เย่เทียนย้อนนึกถึงคําพูดของนักบุญหญิงแห่งนิกายเทพจันทรา
เห็นได้ชัดว่านักรบเกราะทองผู้นี้เป็นผู้พิทักษ์
เย่เทียนตรวจสอบพรสวรรค์ของอีกฝ่ายโดยไม่รู้ตัว
และเหตุการณ์ที่น่าตกใจเกิดขึ้น เขาได้สามารถตรวจสอบพรสวรรค์ของผู้พิทักษ์ได้จริงๆ
ประเภท: หุ่นเชิดศพเกราะทอง
พรสวรรค์ในการบ่มเพาะ: หลุดพ้น
พรสวรรค์ในการป้องกัน: ระดับสูง
พรสวรรค์ด้านพละกําลัง: ปานกลาง
พรสวรรค์ด้านหอก: ปานกลาง
“หุ่นเชิดศพเกราะทอง หรือจะมีคนสร้างหุ่นเชิดจะศพของมนุษย์ พรสวรรค์ในการคัดลอกของเราสามารถคัดลอกพรสวรรค์ของศพได้ ขอเพียงเป็นศพสมบูรณ์ก็พอแล้วหุ่นเชิดศพเกราะทองนี้เป็นศพที่ยังคงอยู่ในสภาพสมบูรณ์ไม่แปลกใจเลยทําไมพรสวรรค์ในการคัดลอกของเราจึงสามารถตรวจสอบพรสวรรค์ของมันได้ ”
เมื่อเย่เทียนตระหนักได้ถึงเรื่องนี้ เขาก็รู้สึกเกร็งไปทั้งตัว
ขุมกําลังที่เป็นผู้สร้างโบราณสถานแห่งนี้ในยุคโบราณนั้นไม่ใช่ฝ่ายธรรมะอย่างแน่นอนลอง
คิดดูว่าภายในมิติแห่งนี้มีหุ่นเชิดศพเกราะทองอยู่กี่ตัว ก็หมายความว่าพวกเขาใช้ร่างของมนุษย์
ไปมากเพียงใดในการสร้างหุ่นเชิดศพ
“ใช้ศพสร้างหุ่นเชิดเพื่อเป็นผู้พิทักษ์ของตัวเองนี่คงจะเป็นวิธีการของอารยธรรมนี้แต่ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นถึงได้ทอดทิ้งที่แห่งนี้ไป พวกเขาคงจะใช้สถานที่แห่งนี้สําหรับทดสอบเหล่าศิษหรือ
ผู้เยาว์ของกองกําลังต่างๆ อาคารแต่ละหลังออกแบบมาเพื่อให้สามารถน่าสมบัติออกมาได้แค่เพียงชิ้นเดียวแต่เมื่อเวลาผ่านไปคนของอารยธรรมเหล่านี้ก็หายตัวไปพื้นที่แห่งนี้จึงถูกเก็บ รักษามาจนถึงทุกวันนี้และในที่สุดก็ถูกค้นพบโดยคนในยุคของเรา!”เย่เทียนคาดเดาคร่าวๆในขณะที่เขากําลังครุ่นคิดหุ่นเชิดศพเกราะทองก็โจมตีเข้ามาอย่างรวดเร็ว
เย่เทียนตวัดดาบของเขาออกไปเบา ๆ ร่างของหุ่นเชิดศพเกราะทองก็ถูกแยกออกเป็นสองส่วนคลื่นพลังจากดาบไม่ได้ลดลงมันพุ่งออกไปชนกับค่ายกลใหญ่
ตูม!
ปราณดาบปะทะเข้ากับค่ายกล แต่มันเกิดเพียงตลกคลื่นขึ้นมาเล็กน้อยโดยไม่สามารถสร้างความเสียหายให้แก่ค่ายกลได้เลยแม้แต่น้อยทันใดนั้น
ศพที่ถูกแยกเป็น 2 ส่วนของหุ่นเชิดเกราะทองก็หายไป จากนั้นค่ายกลใหญ่ก็ปรากฏทางเข้าขึ้นมาเข้าไปได้แล้ว!
เมื่อเห็นดังนั้นเย่เทียนก็เดินเข้าไปในลานบ้าน และพบห้องที่ดูแปลกตา
จากนั้นเขาก็เปิดประตูห้องและเห็นหนังสือจํานวนมากวางเรียงรายอยู่บนชั้นหนังสือ
เขาแตะหนังสือเล่มหนึ่งเบาๆและมันก็กลายเป็นฝุ่นในพริบตา
“นี่…เป็นเพียงหนังสือธรรมดา!”
เย่เทียนคิดกับตัวเอง
หนังสือบางเล่มที่ล้ำค่าสามารถเก็บรักษาไว้ได้นับพันปีโดยไม่เน่าเปื่อยแต่หนังสือธรรมดาไม่สามารถหาเช่นนั้นได้
หลังจากตรวจสอบในห้องหนังสืออยู่พักหนึ่ง เย่เทียนก็พบหนังสือเพียงสามเล่มที่ยังไม่เสื่อมสลาย หนังสือสามเล่มนี้ผลิตจากหนังของสัตว์อสูรบางชนิด
ถึงแม้เวลาผ่านไปเนิ่นนานมันก็ยังคงอยู่ในสภาพเดิม
“นี่คือตัวอักษรของอารยธรรมโบราณนี้?”
เย่เทียนเปิดหนังสือทั้งสามเล่มและเห็นตัวอักษรแปลก ๆ มันไม่ใช่ตัวอักษรสมัยใหม่หรือตัวอักษรจีนโบราณ
เขาไม่เคยเห็นตัวอักษรเหล่านี้ แต่หลังจากเปิดดูแล้ว เขาก็เข้าใจเนื้อหาของหนังสือเล่มนี้ได้เพราะคนที่สร้างหนังสือทั้งสามเล่มได้ถ่ายทอดพลังจิตเข้าไปด้วยเหตุนี้เย่เทียนจึงเข้าใจ
ความหมายของมัน
ไม่น่าแปลกใจเลย
ตําราทั้งสามเล่มนี้เป็นตําราทักษะทั้งหมด เล่มหนึ่งเป็นทักษะดาบระดับเงิน – ดาบลับกากบาท
เล่มที่ 2 คือทักษะการบ่มเพาะขั้นสูง และอีกเล่มหนึ่งเกี่ยวกับทฤษฎีพลังจิต
มันเป็นทฤษฎีที่บอกว่าหากสามารถทําให้พลังจิตแข็งแกร่งถึงระดับหนึ่งจะสามารถคงตัวตน
อยู่ได้ตลอดไปโดยไม่จําเป็นต้องพึ่งพาร่างกาย
ทฤษฎีนี้สําหรับเย่เทียนแล้วมันแปลกมาก
แต่มันก็ไม่มีประโยชน์อะไร
เย่เทียนไม่ได้เลือกเก็บตําราทั้งสามเล่มนี้ไว้และวางมันลงในที่เดิม ก็ขอสัมผัสได้ว่าหากเขา
หยิบตําราเล่มใดเล่มหนึ่งออกไปเขาจะถูกส่งออกไปในทันที
“ไปสํารวจห้องอื่นต่อ!”