ภาคที่สาม มิต้อง ตีกรับ ร่ำสุรา จากจอกทอง ตอนที่ 48 ขอหญิงงามมาอีก

ยอดสตรีฉางอิ๋ง ภาคที่ 2-3

หลายวันจากนั้นทัพใหญ่ก็กลับมา เสิ่นตงไหลผู้ตรวจการแคว้นพาขุนนางในแคว้นไปรับขวัญกองทัพห่างออกไปจากตัวเมืองถึงสามสิบลี้ ทั่วเมืองเต็มไปด้วยโคมไฟและแถบผ้างดงาม เป็นการเฉลิมฉลองที่ข่านมู่ซิวเอ่อร์ของพวกตี๋ถูกประหารแล้ว

แต่เวลานี้ เสิ่นจั้งเฟิงกลับไม่อาจกลับจากด่านเตี๋ยชุ่ยมาได้ ทว่าเพราะก่อนหน้านี้สองวันเขาก็ส่งจดหมายกลับมาบอกว่าเขายังคงเกลี่ยกล่อมผู้มีความสามารถที่มีชื่อว่าส้างกวานสืออีอยู่ และสบายดีทุกประการ เว่ยฉางอิ๋งจึงไม่ได้เป็นห่วงเขาเท่าใดนัก

ค่าแรงและบำเหน็จรางวัลหลังจากทัพใหญ่กลับมา ย่อมเป็นเสิ่นหยิวเจี่ยและเสิ่นตงไหลเป็นคนจัดการ มิใช่เรื่องที่เว่ยฉางอิ๋งต้องไปก้าวก่าย นางจึงเพียงทำตามที่เคยว่าไว้ก่อนหน้านี้ ด้วยการเอารายชื่อของหญิงงามที่เหล่าผู้อาวุโสยัดเยียดให้แก่ เสิ่นจั้งฮุยในงานเลี้ยงวันสิ้นปีออกมา แล้วส่งคนไปมอบให้แก่เสิ่นหยิวเจี่ย บอกว่าล้วนเป็นหญิงสาวหน้าตางดงามสามารถนำไปเป็นรางวัลได้

เสิ่นหยิวเจี่ยเองก็ไม่ได้เกรงใจ และกำนัลให้แก่ลูกน้องที่สร้างความชอบในครานี้ไปเสียเลย แต่เนื่องจากในหญิงงามกลุ่มนี้มีคนที่รูปโฉมงดงามเป็นพิเศษอยู่สองสามคน เรื่องนี้จึงทำให้คนจำนวนหนึ่งเกิดแก่งแย่งกันขึ้นมา ทำเสียจนอีกไม่กี่วันต่อมาเสิ่นหยิวเจี่ยต้องวิ่งมาขอพบเว่ยฉางอิ๋งในหมิงเพ่ยถัง และต้องขืนหน้าด้านเอ่ยปากว่าอยากจะของหญิงงามที่รูปโฉมล้ำเลิศมาเป็นรางวัลเพิ่มอีก

เว่ยฉางอิ๋งได้ฟังแล้วก็ไม่รู้จะร้องไห้หรือหัวเราะดี กล่าวว่า “คนกลุ่มนั้นเป็นเหล่าผู้อาวุโสมอบให้น้องชายสี่ น้องชายสี่มีคนคอยดูแลอยู่ข้างกายอยู่แล้ว เกี่ยงว่ามีคนมากแล้วจะวุ่นวาย จึงขอให้ข้าช่วยจัดการให้ ทางนี้ข้าก็ไม่ได้ใช้สอยพวกนางจึงได้มอบให้เจ้า หรือว่าข้าต้องมาฝึกฝนคนจำนวนหนึ่งไว้ให้เป็นรางวัลแก่พวกเจ้า?”

เสิ่นหยิวเจี่ยเหลี่ยวซ้ายแลขวา เห็นว่าล้วนเป็นคนสนิทของเว่ยฉางอิ๋ง จึงหัวเราะเหอะๆ แล้วเอ่ยอย่างไม่ประสงค์ดีว่า “หลานรู้ว่าทางท่านอาสะใภ้นี้ไม่มีหญิงงามเช่นนั้นจะมอบให้แล้ว เพียงแต่เหล่าผู้อาวุโสสามารถหามามอบให้ท่านอาสี่ได้ แล้วจะหามาอีกสักหน่อยมิได้หรือขอรับ?”

เว่ยฉางอิ๋งตะลึง จึงเพิ่งสำเหนียกได้ว่าเจ้าหมอนี่เสนอให้ตนเองไปขอหญิงงามจากเหล่าผู้อาวุโสที่เคยมอบคนให้เสิ่นจั้งฮุยเมื่อคราวก่อนมา นางหมดคำพูดไปพักใหญ่ จึงบอกว่า “เจ้าคิดได้ดีนี่ แต่กลับจะให้ข้าไปเป็นคนร้ายรึ?”

“หลานมีตำแหน่งต่ำต้อยวาจาไร้น้ำหนัก ทั้งลำดับอาวุโสก็ต่ำ เมื่ออยู่ต่อหน้าเหล่าผู้อาวุโสจะมีที่ให้หลานพูดจาที่ใดขอรับ? แต่ท่านอาสะใภ้กลับไม่เหมือนกันแล้ว” เสิ่นหยิวเจี่ยทำหน้าด้าน เอ่ยไปว่า “หลานเอ่ยความนี้ออกไปก็เป็นไปได้ยากนัก แต่หากท่านอาสะใภ้เอ่ยปาก แล้วผู้ใดในตระกูลจะไม่ให้เกียรติท่านอาสะใภ้เล่าขอรับ?”

“ชัยชนะใหญ่ครานี้ หลายสิบปีมานี้ไม่เคยมีมาก่อน วันหน้าเจ้าก็จะไม่ได้มีตำแหน่งต้อยต่ำวาจาไร้น้ำหนักอีกแล้ว” เว่ยฉางอิ๋งได้ยินคำก็ยิ้มจางๆ แล้วเปิดเผยข่าวคราวให้เขาได้รู้ แม้จะบอกว่าฮ่องเต้ทรงเป็นกังวลว่า เมื่อตระกูลเสิ่นมีอำนาจแข็งแกร่งก็จะเป็นภัยต่อพระราชอำนาจ แต่ชัยชนะใหญ่ครานี้เป็นผลงานที่เกริกก้องนัก สังหารศัตรูได้เรือนหมื่นและไล่ล่าพวกตี๋เข้าไปในส่วนลึกของที่ราบทุ่งหญ้านับพันลี้ก็ยังแล้วไป กระทั่งข่านมู่ซิวเอ่อร์ของพวกตี๋ก็ยังสังหารได้แล้ว

ผลงานเช่นนี้หากยังไม่ได้บำเหน็จอย่างงาม ต่อให้ฮ่องเต้ทรงทำออกมาได้ แต่เหล่าขุนนางก็จะต้องส่งเสียงอื้ออึงเป็นแน่ ตำแหน่งผู้บัญชาการของเสิ่นหยิวเจี่ยก็จะต้องได้เลื่อนสูงขึ้นแน่นอน

เสิ่นหยิวเจี่ยที่เป็นผู้บัญชาการแห่งซีเหลียงมาสิบกว่าปีได้ฟังแล้วดวงตาก็พลันเป็นประกายขึ้นมา แต่ก็ยังคงบอกว่า “แต่อย่างน้อยๆ เหล่าผู้อาวุโสก็ล้วนเป็นญาติผู้ใหญ่ในรุ่นปู่ของหลาน หลานกล้ามาขอร้องท่านอาสะใภ้ที่นี่ แต่กลับไม่กล้าไปพูดจากต่อหน้าเหล่าผู้อาวุโสนะขอรับ อย่างไรก็ต้องขอร้องให้ท่านอาสะใภ้ช่วยจัดการให้หลานด้วยขอรับ!”

เว่ยฉางอิ๋งเห็นว่าเขายืนกรานหนักแน่นนัก จึงยิ้มออกมา คิดในใจว่าอาศัยโอกาสนี้จัดการเหล่าผู้อาวุโสพวกนั้นสักหน่อยก็ไม่เลว จึงถามไปว่า “เจ้าต้องการกี่มากน้อย?”

 เสิ่นหยิวเจี่ยพลันเอ่ยปากขอเต็มที่ “ลูกน้องที่ออกศึกสร้างความชอบสมควรได้รับหญิงงามเป็นรางวัล ไม่ว่าอย่างไรก็ยังขาดอยู่หนึ่งรอยแปดสิบคนจึงจะพอขอรับ!”

“หนึ่งร้อยแปดสิบคน นี่เท่ากับกวาดจนหลังบ้านเหล่าผู้อาวุโสไม่เหลือคนเลยเชียวนะ!” เว่ยฉางอิ๋งเอ่ยเตือนสติว่า “ก่อนนี้พวกเขาส่งคนมาให้ท่านอาสี่ของเจ้าก็เพียงแค่สิบเจ็บคนเท่านั้น” นางเพียงคิดจะจัดการคนเหล่านั้นสักเล็กน้อย แต่อย่างไรก็ล้วนเป็นคนตระกูลเสิ่นทั้งยังเป็นผู้ใหญ่ ในเมื่อพวกเขาไม่ได้ทำการเลอะเลือนใหญ่โตอันใด เว่ยฉางอิ๋งเองก็ไม่คิดทำการใดจนเกินเลย

โดยเฉพาะที่ยามนี้ทัพใหญ่เพิ่งจะกลับมา ทั้งเมืองซีเหลียงล้วนกำลังดีอกดีใจกันขนานใหญ่! ในเวลาสำคัญเช่นนี้มาทำลายความสำราญของทุกคน ในเวลาเดียวกันนับว่ากระทบกระเทือนต่อเหล่าผู้กล้าในกองทัพด้วย

เสิ่นหยิวเจี่ยกลับไม่ยอมลดราวาศอก กล่าวว่า “ในเมื่อพวกเขาสามารถมอบคนสิบเจ็ดคนให้แก่ท่านอาสี่เพียงคนเดียวได้ แล้วประสาอะไรกับเหล่าทหารกล้าทั้งหลายใต้บังคับบัญชาของหลานเล่าขอรับ?”

“ที่เจ้าต้องการนั้นคือหญิงงาม หาใช้สาวใช้ทั่วๆ ไป หญิงงามนั้นล้วนต้องคัดเลือกที่หน้าตากริยางดงาม ซื้อหามาแต่ยังเล็ก และผ่านการอบรบมาสิบกว่าปีจึงจะได้ เร่งรีบเช่นนี้จะไปรวบรวมออกมาได้อย่างไร?” เว่ยฉางอิ๋งหัวเราะลั่นพลางว่า “หรือไม่เจ้าก็คัดเลือกสักหน่อย พวกที่ผลงานน้อยไปสักนิดก็กำนัลสาวใช้เป็นพอแล้ว ข้าจะบอกความจริงให้ฟังสักคำ อย่าเห็นแต่ว่าสาวงามเหล่านั้นมีรูปโฉมงดงามและชำนาญการร้องรำ ตามความเห็นข้า การใช้ชีวิตประจำวันของคนในบ้านเรือนหลังเล็กๆ คนเหล่านี้ยังไม่คล่องแคล่วเท่าสาวใช้ทำงานหนักผู้หนึ่งเสียด้วยซ้ำ”

เสิ่นหยิวเจี่ยยืนกรานว่า “ยามนี้เหล่าทหารมีชัยชนะยิ่งใหญ่กลับมา หวังเป็นที่สุดว่าจะได้ภรรยางามๆ ส่วนเรื่องการใช้ชีวิตที่ท่านอาสะใภ้เอ่ยถึงนั้น ว่ากันตามตรง ต่อให้ก่อนหน้านี้หญิงงามไม่รู้จักทำงานบ้าน รอจนแต่งเข้าบ้านไปแล้วก็สามารถเรียนรู้ได้! แต่หากวันนี้ได้หญิงหน้าตาธรรมดา พอแต่งเข้าบ้านไปก็ไม่อาจงดงามขึ้นมาในทันใดนี่ขอรับ?”

แล้วบอกอีกว่า “ดีชั่วเช่นใดเหล่าผู้อาวุโสก็สูงวัยแล้ว อายุปูนนี้ หากจะมีความสุขอยู่กับลูกหลานให้ดีๆ ก็เป็นเรื่องปกตินะขอรับ จะต้องการสาวงามตั้งมากมายไปทำสิ่งใด? เลี้ยงเอาไว้เปล่าๆ ในเรือนหลังเปลืองข้าวสุกเปล่าๆ! มิสู้นำออกมาเป็นของกำนัล ทั้งยังเป็นการเพิ่มจำนวนประชากรในครอบครัวด้วยนะขอรับ!”

คำพูดนี้ทำเอาคนทั้งข้างบนและล่างโถงล้วนปิดปากแอบหัวเราะ

เว่ยฉางอิ๋งเอ็ดไปว่า “จะมาต่อว่าเหล่าผู้อาวุโสเช่นนี้ได้อย่างไร? เลอะเลือนเสียจริง!”

ทว่าแม้จะเป็นดังนี้ เสิ่นหยิวเจี่ยก็ยังพยายามให้เว่ยฉางอิ๋งรับปากว่าจะไปขอสาวงามจากเหล่าผู้อาวุโสมาอีก ยิ่งมากเท่าใดยิ่งดี ดังนี้แล้วจึงได้ลากลับไปอย่างพออกพอใจ

รอจนเขาไปแล้ว จูเสียนจึงเอ่ยอย่างประหลาดใจว่า “ข้าน้อยก็นึกว่าที่ท่านผู้บัญชาการเสิ่นมาขอพบฮูหยินน้อยก็เพื่อมาขอขมาแทนท่านพ่อบ้านใหญ่เสิ่นน้องชายของเขาในเรื่องเมื่อคราก่อนเสียอีก! ไม่คิดว่าเขากลับมาขอคนไปเพิ่มอีก ยิ่งไปกว่านั้นจนกระทั่งกลับไปก็ล้วนไม่เอ่ยถึงเรื่องของท่านพ่อบ้านใหญ่เสิ่นด้วย!”

“ได้ยินมานานแล้วว่าคนผู้นี้ไม่ละเอียดอ่อน ยามนี้ได้เห็นก็จริงดังว่า” เว่ยฉางอิ๋งกลับไม่ได้สนใจ เอ่ยไปคำหนึ่งว่า “เสิ่นหยิวอี่ก็เป็นเสิ่นหยิวอี่ แม้จะเป็นพี่น้องกับเสิ่นหยิวเจี่ย ทว่าเรื่องเลอะเลือนเล็กน้อยที่เขาทำลงไปก็ยังไม่ถึงขั้นต้องไปทำให้พี่ชายเขาพลอยเดือดร้อนไปด้วย” จึงเอ่ยกับจูอีว่า “เจ้าไปสอบถามดูสักหน่อย ภายในกลุ่มคนที่มอบหญิงงามให้แก่น้องชายสี่ก่อนหน้านี้ มีผู้ใดที่เคยล่วงเกินหยิวเจี่ยมาก่อนหรือไม่? เหตุใดวันนี้เขาจึงต้องมารบเร้าให้ข้ารับปากว่าจะไปขอคนให้เขาเสียให้จงได้?”

จูอีกลับบอกว่า “เรียนฮูหยินน้อย ไม่จำเป็นต้องไปสอบถามหรอกเจ้าค่ะ ข้าน้อยรู้ว่าเป็นเรื่องใดเจ้าค่ะ!”

เว่ยฉางอิ๋งเอ่ยถามอย่างสงสัย “เป็นเรื่องใด?”

“ฮูหยินน้อยก็ทราบว่าแม้ท่านผู้บัญชาการเสิ่นจะเป็นบุตรหลานตระกูลเสิ่น ทว่ากลับไม่ใคร่ชำนาญด้านบุ๋นนัก…” จูอีใคร่ครวญหาคำที่เหมาะสม แล้วเอ่ยว่า “ในเทศกาลปีใหม่คราหนึ่งเมื่อหลายปีก่อน ท่านผู้บัญชาการเสิ่นไปร่วมงานเลี้ยงที่จวนของนายผู้เฒ่าสาม ในงานเลี้ยงมีการพนันให้ดื่มสุรา เมื่อถึงตาของท่านผู้บัญชาการเสิ่นก็นึกไม่ออกสักตา …เดิมทีท่านผู้บัญชาการเสิ่นก็ยอมรับโทษปรับให้ดื่มสุราแล้ว ปรากฏว่าในพวกหญิงคณิกาที่ถูกเรียกให้ไปช่วยสร้างความสำราญในงานเลี้ยงวันนั้น มีผู้หนึ่งชื่อว่าหลี่ว์เอ๋อร์กลับออกมาถากถางท่านผู้บัญชาการเสิ่นคำหนึ่ง!”

เว่ยฉางอิ๋งเอ่ยถามพลางขมวดคิ้วว่า “จากนั้นเล่า?”

“ท่านผู้บัญชาการเสิ่นก็โมโหโกรธายกใหญ่!” จูอีเอ่ย “ข้าน้อยได้ยินว่าตอนนั้น ท่านผู้บัญชาการเสิ่นพูดว่าดังนี้เจ้าค่ะ ความหมายโดยรวมก็คือเขาเป็นผู้บัญชาการที่ไปต่อสู้ที่ชายแดนแทนคุณแผ่นดิน ไม่ว่าจะก้มหน้าเงยหน้าก็ล้วนไม่ละอายต่อฟ้าดิน การพนันสุราในงานเลี้ยงก็เป็นเพียงเรื่องเล็กน้อย เป็นเพียงนางโลมผู้หนึ่งที่มาให้ความบันเทิงในงานเลี้ยงก็ยังบังเอิญมาวิจารณ์ว่าเขาไม่ชำนาญเรื่องบุ๋น? แล้วบอกอีกว่าเดิมที ตระกูลเสิ่นก็เป็นตระกูลฝ่ายบู๊ ตระกูลที่ต้องให้บุตรหลานทุกคนเก่งกาจด้านบุ๋นก็ต้องเป็นเช่นตระกูลฝั่งมารดาของฮูหยินน้อยท่านจึงจะทำได้เจ้าค่ะ!”

“แล้วท่านปู่สามทำเช่นใด?” เว่ยฉางอิ๋งถาม

จูอีบอกว่า “เรื่องอยู่ที่ตรงนี้ล่ะเจ้าค่ะ ได้ยินว่าพอท่านผู้บัญชาการเสิ่นเอ่ยดังนี้ ทั้งโดยมิตรไมตรีและโดยหลักการแล้ว แม้ว่านายผู้เฒ่าสามจะไม่จัดการหลี่ว์เอ๋อร์ผู้นั้น ก็ควรจะส่งมอบนางให้แก่ท่านผู้บัญชาการเสิ่น แต่ยามนั้นนายผู้เฒ่าสามกลับไกล่เกลี่ยให้ผ่านไป ไม่ถึงสองวันก็รับหลี่ว์เอ๋อร์ผู้นั้นเข้าหลังบ้าน จนบัดนี้หลี่ว์เอ๋อร์ผู้นั้นก็ยังคงปรนนิบัตินายผู้เฒ่าสามอยู่ และยังเป็นที่โปรดปรานของนายผู้เฒ่าสามยิ่งนักด้วยเจ้าค่ะ!”

เว่ยฉางอิ๋งเข้าใจในทันที จึงเอ่ยกับนางหวงว่า “ท่านอา อีกเดี๋ยวท่านไปบอกกับท่านปู่สามคำหนึ่งว่า ครานี้จะให้แต่ละบ้านมอบหญิงงามออกมา และหลี่ว์เอ๋อร์ต้องอยู่ในจำนวนนั้นด้วย!”

จูอีอยู่ข้างๆ เอ่ยว่า “ฮูหยินน้อยเจ้าค่ะ นายผู้เฒ่าสามชื่นชอบหลี่ว์เอ๋อร์ผู้นี้ยิ่งนัก ได้ยินว่าหลี่ว์เอ๋อร์ถือดีว่าตนเป็นที่รักใคร่ จนแม้แต่ภรรยาเอกของนายผู้เฒ่าสามนางก็ยังไม่เห็นอยู่ในสายตาเจ้าค่ะ”

“ตนเองเป็นอนุแต่กลับไม่เห็นภรรยาเอกอยู่ในสายตา ไม่เห็นผู้ใดอยู่ในสายตาถึงเพียงนี้ คิดว่าตาทั้งคู่ของนางจะต้องแตกต่างจากคนทั่วไปยิ่งนัก” เว่ยฉางอิ๋งเอ่ยไปเรียบๆ “หากท่านปู่สามเลอะเลือนเพียงนี้ เช่นนั้นก็เอาลูกตาของหวี่ว์เอ๋อร์ผู้นี้ออกมาให้เขาได้ตาสว่างสักหน่อย!”

เว่ยฉางอิ๋งเอ่ยไปอย่างผ่อนคลาย มิได้เอาเรื่องควักลูกตาของหลี่ว์เอ๋อร์ผู้นี้ออกมาใส่ใจแม้สักน้อย แต่จูอีกลับฟังเสียจนสะท้านไปทั้งหัวใจ! และยิ่งยำเกรงฮูหยินน้อยมากขึ้นไปอีกโข

นางหวงกลับยิ้มน้อยๆ กล่าวว่า “ฮูหยินน้อยกล่าวถูกต้องเจ้าค่ะ หลี่ว์เอ๋อร์นั่นเป็นสิ่งใด ก็เพียงแค่ถือดีว่าตนยังสาวมีรูปโฉมงดงามและได้รับความรักใคร่จากนายผู้เฒ่าสาม จนถึงกับกล้าลืมตัวเพียงนี้ รนหาที่ตายชัดๆ! นายผู้เฒ่าอายุมากแล้ว คาดว่าคงทำการบกพร่องด้วยเหตุนี้ จึงให้ท้ายจนนางไร้มารยาทเพียงนี้!”

….ท่านปู่เล็กผู้นี้ก็ไม่ได้เป็นเหมือนเสิ่นซวินที่อยู่ข้างประมุขตระกูลเสียด้วย แม้จะบอกว่าเขาไม่เหมือนกับผู้ตรวจการซีเหลียงคนก่อนที่แสดงท่าทีต่อต้านเว่ยฉางอิ๋งอย่างชัดเจน แต่ก็พูดไม่ได้ว่าสนิทชิดเชื้อกัน

เดิมทีหลังจากเว่ยฉางอิ๋งช่วงชิงอำนาจมาได้แล้ว หากเขาไม่ออกมาทำการเลอะเลือนนางก็คร้านจะไปกวาดล้างให้สิ้นซาก

แต่ยามนี้ในเมื่อรู้ว่าเสิ่นหยิวเจี่ยมีความแค้นกับเขา ทั้งเสิ่นหยิวเจี่ยก็อยากจะแก้แค้นเป็นนักหนาด้วย …เสิ่นหยิวเจี่ยผู้ซึ่งมีลำดับอาวุโสต่ำกว่า แต่มีใจภักดีนักและยังเป็นแขนขาที่เป็นกำลังสำคัญของสามี กับท่านปู่สี่ที่ลำดับอาวุโสสูงกว่าแต่กลับมีท่าทีเฉยชาไร้ประโยชน์อันใด เว่ยฉางอิ๋งไม่ต้องแม้แต่จะคิด ก็ย่อมต้องเลือกเสิ่นหยิวเจี่ยอยู่แล้ว

เสิ่นหยิวเจี่ยอยากได้หลี่ว์เอ๋อร์มาแก้แค้น อย่าว่าแต่เขามีเหตุผลเพียงพอเลย ต่อให้เขาไม่มีเหตุผลใดเว่ยฉางอิ๋งก็จะไปเอาคนมาให้เขา

ส่วนเรื่องที่เสิ่นหยิวเจี่ยมาหาคราวนี้แต่ไม่ได้เอ่ยคำใดให้แก่เสิ่นหยิวอี่น้องชายของเขาน่ะหรือ… เว่ยฉางอิ๋งเอ่ยไปเรียบๆ ว่า “ในเมื่อเขาเชื่อมั่นในท่านพี่ ย่อมไม่สับสนลนลานด้วยเรื่องที่เสิ่นหยิวอี่ทำผิด และรีบร้อนมาขอขมา ด้วยกลัวว่าหากช้าเกินไปก็จะถูกไล่เรียงเอาความไปด้วย คนผู้นี้เมื่อได้เป็นผู้บัญชาการก็ดำรงตำแหน่งมาสิบกว่าปี ย่อมเป็นผู้ที่มองทุกสิ่งได้ทะลุปรุโปร่งแน่นอน”

นางหวงกล่าวว่า “ฮูหยินน้อยกล่าวถูกต้องเจ้าค่ะ เพียงดูจากเรื่องของหลี่ว์เอ็อร์ ก็รู้แล้วว่าท่านผู้บัญชาการเสิ่นดูเผินๆ เป็นคนหยาบกระด้าง แต่ความจริงกลับมองทุกสิ่งชัดแจ้งนัก”

แผนการทั้งหมดในการสังหารข่านมู่ซิวเอ่อร์ของชิวตี๋ล้วนเป็นเสิ่นจั้งเฟิงวางแผนโดยมีเสิ่นหยิวเจี่ยคอยสนับสนุนจึงสำเร็จลงได้ เมื่อยามนี้บรรลุเป้าหมายแล้ว บารมีของเสิ่นจั้งเฟิงย่อมต้องเพิ่มขึ้นอีกเป็นทวีคูณ และถึงเวลาที่จะเข้ามาออกความคิดเห็นในเรื่องต่างๆ ภายในตระกูลได้อย่างเป็นทางการ สามารถนั่งตำแหน่งว่าที่ประมุขตระกูลได้อย่างสมศักดิ์ศรี และกุมอำนาจในตระกูลได้อย่างแท้จริงๆ แล้ว

ต่อให้เสิ่นหยิวเจี่ยไม่มาขอหญิงงาม รอจนเสิ่นจั้งเฟิงกลับมาถึงตัวเมืองซีเหลียง เขาก็จะต้องมารับช่วงอำนาจของหมิงเพ่ยถังด้วยตนเอง จัดการทั้งหมดเสียใหม่ บ่มเพาะผู้คนที่เชื่อถือได้และกำจัดผู้ที่เห็นต่าง …เสิ่นหยิวเจี่ยก็เพียงมาจุดชนวน โดยการอาศัยโอกาสนี้มาล้างแค้นความแค้นของตนเมื่อคราวก่อนนั้นเท่านั้น

…กระทั้งว่าอาจเป็นไปได้ว่าเรื่องก็ผ่านมาตั้งหลายปีดีดักแล้ว เสิ่นหยิวเจี่ยอาจไม่ได้สนใจความแค้นในปีนั้นตั้งนานแล้ว แต่เป็นเพราะเรื่องที่เสิ่นจั้งเฟิงจะลงมือทำในลำดับต่อไป จึงจงใจมอบชนวนนี้มาให้เป็นการเฉพาะ

สรุปก็คือข่านมู่ซิวเอ่อร์ของชิวตี๋ถูกสังหาร ต่อให้อู่กู่เหมิงและอาอีถ่าหูที่เป็นหอกข้างแคร่เหล่านี้ยังคงมีชีวิตอยู่ ทว่าต่างก็ระส่ำระส่ายอย่างหนัก ทั้งยังต้องช่วงชิงตำแหน่งข่านกันเองอีก …ย่อมไม่มีเวลาว่างมาห่วงศัตรูจากภายนอกไปชั่วขณะ ชายแดนจึงสามารถสงบไปได้อีกพักใหญ่ ส่วนเรื่องการไปสร้างความชอบที่ชายแดนเป็นเวลาสามปีนั้น เวลานี้เพิ่งจะผ่านไปไม่ถึงสองปี ในเวลาที่เหลืออีกหนึ่งปีกว่านี้ เสิ่นจั้งเฟิงจะเอาแต่ฆ่าเวลาด้วยการกินดื่มหาความสำราญในหมิงเพ่ยถังไปวันๆ เท่านั้นหรือ?

เว่ยฉางอิ๋งทำการช่วงชิงอำนาจมาก่อนหน้านี้ ก็เพียงเพื่อทำให้เบื้องหลังของสามีเกิดความมั่นคงเท่านั้น มิใช่ว่าในขณะที่เสิ่นจั้งเฟิงกำลังต่อสู้อยู่กับมู่ซิวเอ่อร์ ก็ยังต้องแบ่งสมาธิมารับมือกับแผนการร้ายภายในตระกูล ในฐานะสตรีแม้โดยนามแล้วเว่ยฉางอิ๋งจะเป็นผู้ปกครองหมิงเพ่ยถัง แต่เรื่องที่สามารถควบคุมดูแลได้ก็มีจำกัด แต่เมื่อเสิ่นจั้งเฟิงสามารถปลีกตัวออกมาได้แล้ว ก็ไม่มีสิ่งใดสามารถยับยั้งไม่ให้เขาเข้าไปแทรกแซงได้แล้ว

เว่ยฉางอิ๋งเอนตัวอิงอยู่บนตั่งนั่ง หรี่ตาลงน้อยๆ พลางใคร่ครวญถึงสถานการณ์ต่างๆ ในตระกูลที่ตนเองรู้มาทั้งหมด…

____________________