จิ๋งจิ่วพาเขาออกมาจากห้องขัง ก่อนจะเดินออกไปจากคุกกระบี่ แต่มิใช่ทางเดียวกับที่เข้ามาในตอนแรก
ในตอนที่เดินมาถึงปลายสุดของอุโมงค์ ประตูหินค่อยๆ เปิดออก เขามองหลิ่วสือซุ่ย ในใจครุ่นคิดว่าเจ้าไม่รู้ว่าตัวเองได้พลาดอะไรไปบ้าง
เขาเคยบอกกับหลิ่วสือซุ่ยว่า เอาไว้ให้เรื่องราวมาถึงก่อนค่อยคิด คิดไปล่วงหน้าไม่มีประโยชน์
ในตอนที่รู้ว่าจะมีการเรียกประชุมยอดเขา เขาก็คิดเรื่องราวทั้งหมดเอาไว้แล้ว
เขามองดูหลิ่วสือซุ่ยเดินเข้าไปในคุกกระบี่ ด้วยหวังว่าเขาจะได้เจอกับซือโก่ว
พลังในร่างกายของหลิ่วสือซุ่ยสับสนเกินไป ขัดแย้งกันเอง อันตรายเป็นอย่างมาก
ซือโก่วสามารถเปลี่ยนพลังชั่วร้ายที่มีความสกปรกและซับซ้อนมากที่สุดให้กลายเป็นพลังจักรวาลของเต๋าที่มีความบริสุทธิ์ที่สุดได้
นอกจากมังกรชางหลงของสำนักจงโจวแล้ว ก็มีเพียงมันที่สามารถทำเช่นนี้ได้
ที่น่าเสียดายที่หลิ่วสือซุ่ยไม่มีวาสนาเช่นนี้ อย่างนั้นก็มีแต่ต้องไปวัดกั่วเฉิงแล้ว
……
……
หลังออกมาจากคุกกระบี่ ก็มาถึงหมู่ยอดเขา
ทะเลหมอกเหมือนพรม แสงดาวเหมือนหิมะ หมู่ยอดเขาตั้งตระหง่าน งดงามยิ่งนัก
หลิ่วสือซุ่ยมองดูภาพตรงหน้าอย่างตื่นตะลึง พลางกล่าวถามว่า “ที่นี่คือที่ไหนขอรับ?”
ในอดีตหลังจากที่เขาเรียนรู้ที่จะขี่กระบี่บินได้ เขาก็เคยบินอยู่ในชิงซานมาหลายครั้ง มั่นใจว่าเห็นทิวทัศน์ของหมู่ยอดเขาจนครบ แต่เขาไม่เคยเห็นภาพทิวทัศน์เช่นนี้มาก่อน
จิ๋งจิ่วกล่าว “ที่นี่คือยอดเขาซ่อนเร้น”
……
……
รุ่งเช้าวันที่สอง หลิ่วสือซุ่ยนอนอยู่ในตู้โดยสารที่กว้างขวาง มองดูเมฆที่ลอยอยู่ด้านนอกกระจกแก้วที่โปร่งใสบนหลังคา เขาครุ่นคิดถึงเรื่องราวเมื่อคืนนี้อีกครั้ง ความรู้สึกตกตะลึงยังไม่จางหายไป — ที่แท้หากคิดจะเข้าไปยังยอดเขาซ่อนเร้นก็จำเป็นต้องผ่านคุกกระบี่เข้าไป อย่างนั้นมิเท่ากับว่า…ยอดเขาซ่อนเรนก็คือคุกกระบี่ที่มีขนาดใหญ่ขึ้นหรอกหรือ?
เสี่ยวเหอดึงสายตากลับมาจากการมองดูการตกแต่งภายในตู้โดยสาย ก่อนจะกล่าวอย่างอิจฉาว่า “แค่รถม้ายังหรูหราถึงเพียงนี้ ไม่รู้จริงๆ ว่าหลายปีมานี้ตระกูลกู้หาเงินได้เท่าไร สมแล้วที่ชิงซานเป็นสำนักอันดับหนึ่งในแผ่นดิน แค่ตระกูลนอกสำนักตระกูลหนึ่งยังยิ่งใหญ่ขนาดนี้”
หลิ่วสือซุ่ยกล่าวว่า “ชิงซานของข้าย่อมต้องยอดเยี่ยม รถม้าคันนี้ได้ยินว่าคุณชายเป็นคนขอเอาไว้”
เสี่ยวเหอส่งเสียงอือคำหนึ่ง นั่งพิงอยู่ข้างเขา รู้สึกว่าวันเวลาเช่นนี้ช่างมีความสุขจริงๆ
หลิ่วสือซุ่ยกล่าว “ก่อนเรื่องนี้จะจบลง ข้าไม่อาจไปไหนมาไหนในฐานะศิษย์ชิงซานได้ เจ้าตามข้ามาไม่มีประโยชน์อะไรนักหรอก”
เขารู้ดีว่าเหตุใดเสี่ยวเหอจึงตามตนเองมา
เสี่ยวเหอกอดแขนของเขาเอาไว้ ยิ้มหวานพลางกล่าวว่า “เจ้ามีประโยชน์ที่สุดแล้ว ไม่อย่างนั้นข้าจะรอเจ้าออกมาทำไม”
ตอนนี้นางพอจะเข้าใจแล้วว่าที่กู้ชิงพูดมันหมายความว่าอะไร
หลิ่วสือซุ่ยยิ้มๆ มิได้กล่าวกระไร
หลังออกมาจากเมืองอวิ๋นจี๋ เมฆหมอกที่อยู่นอกหน้าต่างก็เบาบางลงเรื่อยๆ เริ่มมองเห็นท้องฟ้าสีเทาและกิ่งไม้ในฤดูใบไม้ร่วง
ทิวทัศน์ต่างๆ เปลี่ยนไปเรื่อยๆ
เมื่อคิดถึงว่ารถม้าคันนี้จอดอยู่ที่เมืองอวิ๋นจี๋มาเป็นเวลาหลายปี เพียงเพื่อรอให้จิ๋งจิ่วมานั่งเป็นครั้งคราว
เสี่ยวเหอกล่าวทอดถอนใจออกมาว่า “มองไม่ออกเลยว่าอาจารย์เซียนจิ๋งจิ่วจะชอบดื่มด่ำกับอะไรแบบนี้ด้วย”
หลิ่วสือซุ่ยกล่าว “ข้าเคยบอกแล้วว่าเขาขี้เกียจ แล้วก็ไม่ชอบขี่กระบี่ เช่นนั้นการเดินก็ย่อมไม่มีทางสบายเท่าการนั่งรถ”
……
……
สถานที่ที่ใช้เวลาเพียงวันเดียวในการขี่กระบี่หรือว่าใช้วิชาหลบหนีก็สามารถมาถึงได้ หากนั่งรถมักจะต้องใช้เวลาหลายสิบวัน สำหรับผู้บำเพ็ญพรตแล้วนี่เป็นเรื่องที่ไม่อาจทนได้ ถึงแม้รถม้าคันนี้จะนั่งสบายแค่ไหน แต่ในช่วงเวลาหลายวันสุดท้าย หลิ่วสือซุ่ยกับเสี่ยวเหอก็รู้สึกใกล้จะทนไม่ไหวแล้วเช่นกัน
ในรุ่งเช้าวันหนึ่ง เมื่อเห็นท้องนาที่อยู่ข้างทาง หลิ่วสือซุ่ยก็รู้สึกแปลกใจที่ต้นข้าวเหล่านี้เติบโตได้ดีเช่นนี้ เมื่อมองดูดีๆ ก็พบว่าภายในท้องนาล้วนแต่เป็นดินดำที่อุดมสมบูรณ์ ถึงได้รู้ว่ามาถึงมั่วชิวแล้ว รถม้าเดินทางไปอีกหลายชั่วยาม ในที่สุดเขาก็มองเห็นกำแพงสีเหลืองและหลังคากระเบื้องที่สะอาดสะอ้าน จึงรู้สึกโล่งใจ
เพราะจดหมายฉบับนั้น สมณะที่คอยต้อนรับแขกของวัดกั่วเฉิงจึงมิได้ขวางทาง เขาพารถม้าคันนั้นเข้าไปในส่วนลึกของวัด เรียกได้ว่าให้การต้อนรับเป็นอย่างดี จากนั้นบอกกับหลิวสือซุ่ยว่าฉานจึภาวนาตลอดทั้งปี ไม่ค่อยพบแขกจากข้างนอก ต้องรอให้ส่งจดหมายฉบับนี้เข้าไปแล้วดูว่าท่านจะว่าอย่างไร
ภายในห้องภาวนาที่เงียบสงัดห้องหนึ่งในส่วนลึกของวัด ฉานจึมองดูกองแท่งไม้เล็กๆ ที่วางกองอยู่บนโต๊ะอย่างเงียบๆ สีหน้าดูตั้งใจแน่วแน่ ผ่านไปครู่ใหญ่ก็มิได้ขยับเขยื้อน กระทั่งดวงตาก็มิได้กะพริบ มีเพียงเท้าที่โผล่ออกมาจากจีวรสองข้างนั้นที่ถูไปถูมาเป็นระยะ ดูน่ารักยิ่งนัก
เขารับเอาจดหมายฉบับนั้นมาจากมือของสมณะที่มีหน้าที่ต้อนรับแขก จากนั้นรู้สึกแปลกใจเล็กน้อยเมื่อเห็นตราประทับกระบี่บนซองจดหมาย เมื่อเปิดจดหมายออกก็เห็นลายเซ็นที่อยู่ด้านล่างของจดหมาย จึงนิ่งเงียบไปครู่ใหญ่ ในใจครุ่นคิดว่าเจ้าล่าเยวี่ยกับข้าไม่มีความสัมพันธ์ใดๆ ต่อกัน เหตุใดนางจึงเขียนจดหมายฉบับนี้มา? หลังอ่านเนื้อหาในจดหมายจนจบ เขาก็ส่ายศีรษะ รู้สึกว่าไร้สาระยิ่งนัก
ช่วยเจ้าจัดการเรื่องนี้แล้ว หนี้ที่ข้าติดค้างยอดเขาเสินม่อของเจ้าถือว่าหายกัน?
นี่มันอะไรกัน…ข้าไปติดค้างยอดเขาเสินม่อของเจ้าตั้งแต่เมื่อไร?
อืม เมื่อก่อนคล้ายจะติดหนี้คนบางคน แต่ก็หายกันไปตั้งนานแล้วไม่ใช่หรือ?
สายตาของฉานจึเลื่อนลงไป ก่อนจะไปหยุดอยู่ตรงเนื้อหาท่อนที่สองตรงด้านล่างจดหมาย
“ในการประลองวิถีพรตของงานชุมนุมเหมยฮุ่ยครั้งนั้น ฉานจึตัดสินช่วยคนเอาไว้ไม่น้อย แต่พวกเราได้เตือนท่านไปก่อนหน้านั้นแล้ว สุดท้ายเรื่องนี้ท่านก็ยัง….ช้าไป”
เจ้าล่าเยวี่ยเขียนเอาไว้เช่นนี้
เมื่อเห็นคำพูดนี้ สีหน้าฉานจึค่อยๆ คร่ำเคร่ง นิ่งเงียบไปครู่ใหญ่
ถูกต้อง ช้าไป
หากในงานประลองวิถีพรตปีนั้นเขาสั่งหยุดการประลองทันทีหลังจากที่รู้ถึงการคาดเดาของสำนักชิงซาน มิใช่มัวไปครุ่นคิดอยู่คืนหนึ่ง เช่นนั้นก็น่าจะมีศิษย์ที่รอดชีวิตอีกหลายคน
หลายปีมานี้ สิ่งที่เขาคิดกลับไปกลับมามากที่สุดก็คือเรื่องนี้
“นิสัยเหมือนเพื่อนเก่าอยู่หลายส่วนทีเดียว…เชิญสหายน้อยคนนั้นเข้ามา”
ฉานจึเลิกคิ้ว กล่าวกับสมณะต้อนรับแขก
……
……
หลิ่วสือซุ่ยเดินเข้ามาในห้องภาวนา เสี่ยวเหอรออยู่บนรถ มิใช้ว่าปีศาจจิ้งจอกทุกตัวจะโชคดีเหมือนอย่างพระสนมที่อยู่ในวัง
ทั้งในโลกแห่งการบำเพ็ญพรตและโลกปุถุชน ฉานจึเป็นที่เคารพเลื่อมใสอย่างยิ่ง การที่สามารถได้เข้าพบฉานจึนับเป็นบุญวาสนา
มีเพียงบางคนที่อยู่บนยอดเขาเสินม่อที่ปฏิบัติต่อเขาอย่างง่ายๆ สบายๆ แล้วก็เข้าใจเขาเป็นอย่างดี
ก่อนหน้านี้ฉานจึทอดถอนใจว่าเจ้าล่าเยวี่ยมีความคล้ายเพื่อนเก่า แต่เขาไหนเลยจะคิดถึงว่าเดิมทีจดหมายฉบับนี้เป็นเจ้าล่าเยวี่ยที่เขียนตามคำพูดของเพื่อนเก่าผู้นั้น
หลิ่วสือซุ่ยไหนเลยจะล่วงรู้ถึงเรื่องราวระหว่างฉานจึและจิ๋งจิ่ว จึงรู้สึกค่อนข้างตื่นเต้น
เขาเคยพบเจ้าสำนักชิงซาน แล้วก็มีความคุ้นเคยเป็นอย่างยิ่งกับยอดฝีมืออย่างซีหวังซุน แต่ฉานจึนั้นไม่เหมือนกัน
ฉานจึมองเขา ก่อนจะอ่านเนื้อหาในจดหมายเปรียบเทียบ จึงได้รู้ว่าปัญหาอยู่ตรงไหน เขาเลิกคิ้วเล็กน้อย ในใจครุ่นคิดว่าวุ่นวายจริงๆ ด้วย
เขายื่นมือไปคว้าจับตัวหนังสือหลายร้อยตัวที่เปล่งแสงสีทองอยู่กลางอากาศ จากนั้นเอามันมาประทับลงไปบนผ้าที่เตรียมเอาไว้
หลิ่วสือซุ่ยรับเอาผ้าผืนนั้นมา ยังไม่อาจถอนตัวออกมาจากความตกตะลึงได้
“เรื่องปู้เหล่าหลิน เจ้ามีความดีความชอบต่อฝ่ายธรรมะ ช่วยเหลือเจ้าถือเป็นเรื่องที่สมควร”
ฉานจึแสร้งมองเขาด้วยสีหน้าจริงจังพลางกล่าวว่า “แต่เจ้าจะเรียนได้กี่ส่วน อันนี้ก็คงต้องดูสติปัญญาของเจ้า”
หลิ่วสือซุ่ยมองดูผ้า พบว่าตัวหนังสือที่เขียนอยู่บนหัวผ้าคือคำว่า ‘ดังที่เราได้สดับ’ จึงยิ่งรู้สึกตกใจ ในใจครุ่นคิดว่านี่เป็นคัมภีร์ฌานของวัดกั่วเฉิงอย่างนั้นหรือ?
เขารู้ว่าปรมาจารย์อาจิ่งหยางมีความสัมพันธ์ฉันเพื่อนและอาจารย์กับฉานจึ แต่ของขวัญเช่นนี้…คุณชายเป็นใครกันแน่?
เขาฝืนสงบใจ กล่าวคำขอบคุณต่อฉานจึอย่างจริงใจ อย่างนั้นเตรียมเดินออกไป
ในขณะที่เขากำลังจะก้าวเท้าผ่านธรณีประตูของห้องภาวนา เขาพลันหยุดฝีเท้า จากนั้นเหลียวหน้ากลับมาพูดกับฉานจึอย่างกระอักกระอ่วนว่า “เรื่องของข้าไม่สะดวก….”
“ข้ารู้ว่าเจ้าไม่อาจให้คนอื่นรู้ได้ ข้าจะบอกให้พวกเขาปิดปาก”
ฉานจึกล่าวด้วยสีหน้าเรียบเฉย “วัดกั่วเฉิงของข้าถนัดเรื่องปิดวาจาที่สุดแล้ว”
หลิ่วสือซุ่ยเดินออกไปจากห้องภาวนา
สายตาของฉานจึมองไปบนจดหมายอีกครั้ง ครั้งนี้เขามองไปตรงท่อนสุดท้าย
“ศิษย์ชิงซานจะฝึกปิดวาจาไปทำไม?”
เขารู้สึกว่าคำขอของเจ้าล่าเยวี่ยอันนี้ช่างไร้สาระยิ่งนัก จึงมิได้สนใจ
ร่างของหลิ่วสือซุ่ยค่อยๆ หายไปในอีกด้านหนึ่งของป่าเจดีย์ คล้ายมองเห็นรถม้าอยู่ไกลๆ
ฉานจึงมองไปทางนั้นพลางส่ายศีรษะ ในใจครุ่นคิดว่าพลังในร่างกายของเด็กคนนี้สับสนวุ่นวายจริงๆ อาศัยเพียงธรรมะยากจะสลายไปได้ทั้งหมด
จะส่งพระก็ต้องส่งไปให้ถึงตะวันตก[1] จะทำอะไรก็ทำให้เต็มที่ ไม่แน่ตัวเองอาจจะต้องส่งจดหมายไปที่เรือนอี้เหมาอีกฉบับก็เป็นได้
จากนั้น เขามองไปยังจดหมายฉบับนั้นอีกครั้ง
จดหมายฉบับนั้นเขียนเอาไว้เรียบง่าย
แต่เหตุใดเขาจึงใช้เวลาอ่านนานขนาดนี้ อีกทั้งสีหน้ายังตึงเครียดขึ้นเรื่อยๆ ด้วย?
……………………………………………………………
[1]จะส่งพระก็ต้องส่งไปให้ถึงตะวันตก เป็นสำนวนจากไซอิ๋ว หมายถึงซุนหงอคงต้องพาพระถังซัมจั๋งไปส่งให้ถึงชมพูทวีปทางฝั่งตะวันตก เป็นการเปรียบเปรยว่าทำอะไรต้องทำให้เต็มที่