เห็นได้ชัดว่าคุณชายหยางผู้นี้ใช้ไม้อ่อนไม่ได้ไม่ว่าจะสุภาพมีมารยาทเพียงใดก็ง้างปากอีกฝ่ายออกไม่ได้เลย
ในเมื่อเป็นเช่นนี้คงต้องใช้ไม้แข็ง
จงรุ่ยไม่ใช่คนเข้มงวดเขาเป็นเช่นเดียวกันกับบุรุษตระกูลจงเดินทางมาที่ชายแดนตอนอายุสิบสองปีเริ่มจากทหารชั้นผู้น้อยจนตอนนี้มีตำแหน่งสูงในกองทัพซึ่งได้มาด้วยความสามารถจริงๆ
ในสนามรบเมื่อเจอปัญหาที่แก้ไม่ได้วิธีที่ตรงที่สุดคือใช้กำลังดุร้ายฉีกบาดแผลศัตรู ไม่ว่าชนะมากเพียงใด มีแผนการอะไร ตราบใดที่มีข้อได้เปรียบด้านความแข็งแกร่งเพียงพอก็นิ่งดุจขุนเขาได้
จงรุ่ยจึงตัดสินใจแล้วพูดว่า “ตอนนี้คุณชายหยางเป็นเพียงผู้ดูแลสนามเลี้ยงม้า โจรบนเขาเหยียนซานไม่ใช่เรื่องของท่าน”
เขาเพิ่งพูดขึ้นมา แต่ก็ถูกหยางชูพูดขัดว่า “ท่านไม่ให้ข้ายุ่งเกี่ยวกับเรื่องนี้ ดูเหมือนว่ากองทัพซีเป่ยของท่านจะปราบปรามโจรเป็นเรื่องที่ยุติธรรมกว่า หากเป็นเช่นนั้นเหตุใดท่านไม่ปราบปรามพวกโจรก่อนที่ข้าจะมาที่นี่ล่ะ”
จงรุ่ยอึกอักเขารู้จักหยางชูดี ปู่ของทั้งสองล้วนเป็นผู้นำทหาร แต่ในรุ่นสมัยนี้คนหนึ่งมีหน้าที่ปกป้องชายแดนอีกคนเป็นคุณชายเจ้าสำราญซึ่งไม่มีทางที่จะพูดจากันรู้เรื่อง มิตรภาพทั้งหมดเมื่อรวมกันไม่มีอะไรมากไปกว่าการจดจำใบหน้าของกันและกัน เพราะฉะนั้นความเข้าใจของเขาที่มีต่อหยางชูจึงจำกัดอยู่ที่ข่าวลือเท่านั้นซึ่งคาดไม่ถึงว่าคำตอบของเขาจะเป็นเรื่องโจร…
เขาตามความคิดของหยางชูอย่างไม่เต็มใจ และกำลังจะพูดต่อ แต่ถูกขัดจังหวะอีกครั้ง “พูดตามตรงไม่ใช่เพราะเห็นเนื้อในชามของข้าหรอกหรือพวกท่านตระกูลจงถึงเห็นอนาคตในเรื่องนี้เข้า”
หยางชูจี้ได้ถูกจุดเขาพูดต่อว่า “ไม่แปลกใจเลยที่ในอาณาเขตซีเป่ยไม่มีอะไรที่สามารถเก็บเกี่ยวได้ข้าไม่ใช่คนไร้เหตุผล ตอนนี้ข้ามาทำงานที่ซีเป่ยจะยอมให้พวกท่านก็ย่อมได้ พูดมาจะแบ่งกันอย่างไร”
“…”
สีหน้าของจงรุ่ยเดี๋ยวแดงเดี๋ยวคล้ำคำพูดเหล่านี้หมายความว่าอย่างไร ฟังแล้วเหมือนกับว่าพวกเขาตระกูลจงจะเป็นโจรใหญ่ที่แย่งชิงดินแดน คุณชายหยางผู้นี้เติบโตขึ้นมาในเมืองหลวงอย่างเห็นได้ชัดเขาไปเรียนสำเนียงโจรมาจากที่ใดกัน
แต่เขาไม่สามารถโต้แย้งอะไรออกไปได้จงรุ่ยหายใจเข้าลึกๆ กัดฟันสวมหมวกโจรแล้วพูดว่า “เท่าที่ข้าทราบมาคุณชายหยางได้นำขุนศึกจำนวนสามสิบกว่านายมาที่ซีเป่ย เมื่อมาถึงเกาถางได้ปราบปรามกลุ่มโจรไปไม่น้อยตอนนี้มีพร้อมทุกอย่างมีคนจำนวนสองสามร้อยคนที่ใช้งานได้จำนวนนี้ถือว่าน้อยเกินไป การปราบกลุ่มโจรนกน้อยทำรังแต่พอตัวจะดีกว่า อันที่จริงท่านจัดการบริหารเกาถางให้ดีก็ได้กำไร…”
ยังไม่ทันที่เขาจะพูดจบหยางชูก็ทุบโต๊ะ “อาสวน!”
“ขอรับ!” อาสวนเข้ามาหาในทันทีเหล่าขุนศึกที่เฝ้าอยู่ที่ประตูก็หันมามองเช่นกัน
“พวกเจ้าตายแล้วหรืออย่างไรมีคนข่มเหงรังแกนายของพวกเจ้า พวกเจ้าทำอะไรกันอยู่”
จงรุ่ยที่ไม่ได้เตรียมใจมาก่อนสีหน้าเปลี่ยนในทันที เขาตกใจในตอนแรก แต่เขาเป็นแม่ทัพผู้กล้าหาญที่อยู่ในการต่อสู้มาอย่างยาวนานจะหวาดกลัวได้อย่างไร จงรุ่ยพูดข่มขู่ด้วยน้ำเสียงอันหนักแน่นว่า
“คุณชายหยางคิดจะลงมืองั้นหรือ ที่นี่คือสถานที่ใดพวกท่านควรพิจารณาไตร่ตรองดูก่อน”
หยางชูแค่นหัวเราะ “คนของตระกูลจงยื่นมือเข้ามายุ่งกับคนของข้า ยังมีอะไรให้ต้องพิจารณาอีก ที่นี่เป็นจวนแม่ทัพแล้วอย่างไรการจัดการกับท่านคิดว่าพวกเขาไม่กล้างั้นหรือ”
สีหน้าของจงรุ่ยมืดครึ้มเขาไม่คาดคิดว่าหยางชูจะพาลเช่นนี้ แต่เมื่อคิดอย่างรอบคอบแล้วเรื่องนี้ก็ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้เลย เพื่อแสดงความจริงใจคนของเขาจึงรออยู่ข้างนอกมีเพียงเขาและหยางชูเท่านั้นที่อยู่ในห้อง ก่อนหน้านี้จงรุ่ยไม่คิดว่าตนเองจะพ่ายแพ้ให้แก่หยางชู แต่หลังจากได้รับข้อมูลจากที่เป่ยเทียนเหมิน เขาไม่กล้าพูดได้เต็มปากว่าจะชนะได้
กล้าโจมตีต่อหน้ากองทัพหูเหรินจนอีกฝ่ายล่าถอยไปคุณชายหยางตรงหน้านี้ดูเจ้าสำราญ แต่ก็เป็นยอดฝืมือของแท้อย่างสมน้ำสมเนื้อ
จงรุ่ยระงับอารมณ์และพูดว่า “ที่ข้าเชิญคุณชายหยางมา ความตั้งใจเดิมคือการแก้ไขปัญหานี้ หากคุณชายหยางมีความคิดเช่นนี้ ท่านไม่อยากคุยกันดีๆ แล้วหรือ”
หยางชูโบกพัดอย่างพาลๆ “ผู้ใดรังแกผู้ใดก่อนกันแน่ ข้ามีความสุขอยู่ที่เกาถางอยู่ดีๆ เป็นพวกท่านที่จับคนของข้ามาคิดว่าข้าว่างเพียงนั้นหรือ คุณชายจงมีคำกล่าวในแวดวงในเมืองหลวงว่าท่านยังอายุน้อยอาจไม่เคยได้ยินวันนี้ข้าจะสอนท่านเอง”
มุมปากของเขายกขึ้นเล็กน้อยแววตาฉายแววดูถูก และเขาพูดทีละคำ “ผู้ที่ยั่วยุก่อนผิดเสมอ!”
“ท่าน…” จงรุ่ยลุกขึ้นยืนทันที และพูดอย่างเย็นชาว่า “ได้! ในเมื่อคุณชายหยางมั่นใจเพียงนั้น พวกเรามาแสดงความสามารถแทนคำพูดกันเถอะ! ข้าไม่รังแกผู้อื่นท่านพามากี่คนข้าก็จะเลือกจำนวนเท่านั้นพวกเรามาแสดงฝีมือที่สนามฝึกกัน! หากท่านชนะหลังจากนี้เรื่องปราบปรามกลุ่มโจรหากพวกเรากองทัพฝ่ายซ้ายพบขุนศึกตระกูลหยางเมื่อไรจะหลีกทางให้! หากข้าชนะต้องขออภัยด้วย แต่ขอเชิญคุณชายหยางมาทางไหนกลับไปทางนั้นทำหน้าที่ดูแลสนามเลี้ยงม้าของตนเองให้ดี ห้ามยื่นมือมายุ่งเกี่ยวกับเรื่องของผู้อื่น!”
เมื่อฟังคำพูดที่รุนแรงนี้หยางชูก็นั่งลง และพูดเบาๆ ว่า “บอกกันแต่แรกไม่ดีกว่าหรือ จะอ้อมไปทำไมกัน เวลา สถานที่ท่านแจ้งมาได้เลย รีบทำธุระให้มันจบๆ ข้าจะได้กลับเกาถางเสียทีอากาศเย็นเช่นนี้คิดว่าออกเดินทางง่ายนักหรือ”
“…” จงรุ่ยสูดหายใจเข้าและกัดฟัน “เวลาตามใจท่าน สถานที่ท่านเลือกมาได้เลย ข้าเอาเปรียบเรื่องสนามหลักแล้วที่เหลือให้คุณชายเป็นคนตัดสินใจ!”
“น่าสนใจ” หยางชูเอียงศีรษะครู่หนึ่งแล้วพูดว่า “ข้าจำได้ว่ากองทัพซีเป่ยของพวกท่านจะมีการฝึกซ้อมทุกเดือน”
นี่เป็นประเพณีเก่าแก่ของกองทัพซีเป่ยเพื่อรักษาความแข็งแกร่งในการต่อสู้ พวกเขาจะถูกแบ่งออกเป็นสองฝั่งเพื่อทำการฝึกซ้อมทุกเดือน แม้แต่ในฤดูหนาวก็ไม่เว้น
จงรุ่ยมองเขาอย่างลังเล “ใช่ หรือว่าท่านคิดจะ…”
“ข้าได้ยินเรื่องนี้มานานแล้ว แต่น่าเสียดายที่ไม่เคยเห็นในเมื่อมาเยือนกองทัพฝ่ายซ้ายแล้วจะไม่เปิดหูเปิดตากับกองทัพที่แข็งแกร่งอันดับหนึ่งของต้าฉีได้อย่างไร”
จงรุ่ยส่ายหน้า “คุณชายหยาง ประลองที่สนามก็เพียงพอแล้วหากเป็นการฝึกซ้อมนั่นเป็นการเอาเปรียบท่าน ขุนศึกตระกูลหยางยอดเยี่ยมนัก แต่ไม่ได้เข้าร่วมกองทัพมาหลายปีจะสู้พวกเราที่เข้าร่วมสนามรบเป็นครั้งคราวได้อย่างไรกัน เรื่องการต่อสู้ไม่ใช่เรื่องวางแผนการรบบนกระดาษ[1]”
หยางชูเหล่มองเขา “ท่านกำลังดูถูกข้าหรือ”
“ไม่ใช่ ข้า…”
“แล้วทำไมถึงตอบรับไม่ได้ เหล่าขุนศึกของข้าก็ต่อสู้มามากไม่น้อยไปกว่าพวกท่าน แต่คนที่สามารถอยู่เคียงข้างข้าได้ล้วนมีประสบการณ์ในกองทัพ ท่านดูถูกพวกเขาหรือ”
พูดแค่นั้นก็ถือว่าเป็นอันจบ แต่เขากลับพูดเสริมว่า “หรือว่าคุณชายใหญ่กลัวเกิดเหตุการณ์ไม่คาดคิด หากกองทัพฝ่ายซ้ายผู้ไร้เทียมทานของท่านพ่ายแพ้ขุนศึกของข้าขึ้นมาคงทำหน้าไม่ถูกใช่หรือไม่”
ไฟที่อกของจงรุ่ยลุกไหม้ทันที ทุกคนล้วนเป็นหนุ่มวัยฉกรรจ์ไหนเลยจะทนการยั่วยุได้จึงพูดขึ้นว่า “ได้! ในเมื่อคุณชายหยางต้องการเช่นนั้นข้าก็ยอมรับ ไม่ปฏิเสธความปรารถนาดีของท่าน การฝึกซ้อมครั้งหน้าคือสิบวันหลังจากนี้เมื่อถึงเวลานั้นท่านจะได้เห็นบทเรียนของจริง!” พูดจบจงรุ่ยก็เดินออกไปด้วยท่าทางโกรธจัด
หมิงเวยเดินออกมาจากห้องและถามเขาว่า “เหตุใดถึงเลือกช่วงเวลาฝึกซ้อมที่คุณชายใหญ่จงพูดมาก็ไม่ผิด พวกเขาต่อสู้มามากในเรื่องนี้อีกฝ่ายได้เปรียบแน่นอนเจ้าค่ะ”
หยางชูยืดเอวแล้วตอบว่า “เพราะเวลานั้นเป็นช่วงเวลาที่วุ่นวายที่สุด! ตอนนี้พวกเราอย่าเคลื่อนไหวอะไรดีกว่า เราควรตัดสินใจแก้ปัญหายุ่งยากอย่างรวดเร็วและเฉียบขาด”
…………
[1] วางแผนการรบบนกระดาษ : สำนวนที่มีมาตั้งแต่โบราณ ใช้พูดถึง พวกนายทหารยศสูงๆ ที่สามารถท่องจำตำราพิชัยยุทธ์ หรือพวกที่ศึกษากลยุทธ์ต่างๆ มาจากในหนังสือเป็นอย่างดี แต่ไม่เคยได้สั่งการรบด้วยตัวเองเลยสักครั้ง พอถึงเวลารบจริงๆ พวกนี้กลับทำอะไรไม่เป็น เพราะการรบจริงๆ นั้นมีการเปลี่ยนแปลงแผนการรบตลอดเวลา ไม่ได้เหมือนในตำราเป้ะๆ สำนวนนี้ก็เลยใช้เปรียบเปรยถึงพวกที่ดูเหมือนว่ามีความรู้มาก คงแก่เรียน แต่ไม่มีประสบการณ์หรือไม่เคยลงมือทำอะไรด้วยตัวเองเลย