บทที่ 501 เธอสอนฉันสิ / บทที่ 502 ชนให้ฉันดูอีกทีสิ Ink Stone_Romance
บทที่ 501 เธอสอนฉันสิ
นี่ก็เป็นโชคดีที่เธอฉลาดถึงได้เข้าใจ…
ซือเยี่ยหานมองดูใบหน้าเอือมระอาของหญิงสาว แล้วเอ่ยว่า “เธอสอนฉันสิ”
เยี่ยหวันหวั่นทำท่าหมดคำพูด “ฉันคิดว่า…”
คงจะเรียนไม่สำเร็จหรอก…คุณสมบัติด้อยเกิดไป…
แน่นอนว่าเยี่ยหวันหวั่นไม่กล้าพูดความจริง จึงพูดขึ้นด้วยท่าทางขึงขัง “อื้อ ฉันคิดว่าคุณไม่ต้องเรียนหรอก แค่หน้าตาของคุณก็เพียงพอแล้ว!”
ซือเยี่ยหานได้ยินดังนั้นก็เลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย สิ่งที่เธอจะพูดเมื่อกี้ไม่ใช่ประโยคนี้แน่ๆ
เยี่ยหวันหวั่นพูดจบก็กระโดดลุกขึ้นมานั่งข้างซือเยี่ยหาน ศีรษะน้อยแหงนขึ้นมองเขา “ให้คุณสอนฉันดีกว่า! สอนฉันจัดการงานพวกนี้ เดี๋ยวรอให้ฉันเรียนจนทำได้ ก็ช่วยคุณแบ่งเบาได้แล้ว!”
ได้ยินคำพูดนี้ สีหน้าซือเยี่ยหานเปลี่ยนเป็นจริงจังขึ้นมาทีละนิด “เธออยากเรียนงั้นเหรอ?”
เยี่ยหวันหวั่นขมวดคิ้ว อันที่จริง เธอก็ไม่มั่นใจเท่าไหร่…
คงเพราะเห็นความลังเลของเยี่ยหวันหวั่น ซือเยี่ยหานมองเธอนิ่งลึก “เธอไปคิดให้ดีก่อนค่อยตอบฉัน”
เยี่ยหวันหวั่นเอ่ยขึ้น “ไม่ต้องหรอก ฉันตัดสินใจแล้ว”
เธอรู้ว่าการตัดสินใจแบบนี้มีความหมายว่าอะไร แต่ว่า ตั้งแต่ที่เธอเลือกแทรกแซงเรื่องการเดินทางไปประเทศ B เรื่องราวมากมายก็อยู่เหนือการควบคุมของเธอแล้ว…
ขณะที่เยี่ยหวันหวั่นกำลังเหม่อลอย เสียงริงโทนโทรศัพท์พลันดังขึ้น เป็นสายจากเจียงเยียนหราน
เห็นโทรศัพท์จากเจียงเยียนหราน เยี่ยหวันหวั่นถึงนึกขึ้นได้ว่า เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว ปิดเทอมฤดูร้อนใกล้จะสิ้นสุดแล้ว
เพราะว่าปิดเทอมฤดูร้อนครั้งนี้เธอยุ่งมากจริงๆ จนไม่มีเวลาติดต่อกับพวกเจียงเยียนหราน
เจียงเยียนหรานเป็นต้นกล้าชั้นดี แม้ว่าก่อนหน้านี้เธอจะรับปากกับตนว่าหากจะเข้าวงการ จะเลือกเธอเป็นผู้จัดการส่วนตัวก่อนเป็นอันดับแรก แต่ด้วยความสัมพันธ์ในในช่วงที่ผ่านมานี้ เจียงเยียนหรานไม่เพียงเป็นพาร์ทเนอร์ในอนาคต ที่มากกว่านั้นคือเธอเป็นเพื่อน
ถึงเวลานั้นเธอจะเลือกอย่างไร ตัวเธอเองก็จะไม่บังคับฝืนใจ
“สายจากเจียงเยียนหรานน่ะ”
เยี่ยหวันหวั่นบอกกับซือเยี่ยหานแล้วรับโทรศัพท์ขึ้นมา “ฮัลโหล เยียนหราน?”
“หวันหวั่น…”
“ฉันกำลังอยากโทรหาเธอพอดี อีกไม่กี่วันจะเปิดเรียนเลยจะชวนเธอไปรายงานตัวด้วยกัน” เยี่ยหวันหวั่นเอ่ย
“ดีสิ! พวกเราไปด้วยกันนะ…”
เยี่ยหวันหวั่นกำลังจะพูดต่อ ทว่าการรับรู้อันเฉียบคมของเธอจับได้ว่าน้ำเสียงของเจียนเยียนหรานจะไม่ค่อยปกติ “เป็นอะไรไป? เสียงดูไม่ค่อยมีแรงเลย”
“ฉัน…” เจียงเยียนหรานอึกอัก
หวันหวั่นได้ยินเสียงโหวกเหวกและเสียงเพลงจางทางเจียงเยียนหรานลางๆ จึงขมวดคิ้ว “ทำไมฝั่งเธอถึงเสียงดังขนาดนี้? เธออยู่ที่ไหน?”
เจียงเยียนหรานไม่ได้ตอบ นิ่งเงียบอยู่สักพักถึงได้เอ่ยปากช้าๆ “หวันหวั่น ฉันอาจจะ…ต้องเลิกกันแล้วล่ะ…”
เยี่ยหวันหวั่นได้ยินพลันนิ่งอึ้ง “เธอว่าไงนะ?”
ทำไมถึงกะทันหันแบบนี้?
เห็นสีหน้าของเยี่ยหวันหวั่นเปลี่ยนไป ซือเยี่ยหานจึงหันมองเธอ
“ทำไมจู่ๆ ถึงจะเลิก? ฉู่เฟิงทำอะไร?” เยี่ยหวันหวั่นถามอย่างร้อนใจ
ปลายสายเงียบไปนานกว่าเสียงเจียงหรายจะดังขึ้นอีกครั้ง “ช่วงนี้…ที่เขาคบกับฉันอยู่…เขายังคบกับผู้หญิงอีกคนอยู่ด้วยมาตลอด…”
“เธอว่าไงนะ? จะเป็นไปได้ยังไง!” ใบหน้าเยี่ยหวันหวั่นเต็มไปด้วยความประหลาดใจ ราวกับได้ฟังเรื่องราวที่เป็นไปไม่ได้
ต่อให้ไอ้หนุ่มฉู่เฟิงนั่นยืมความกล้าไปสักร้อยจุด เขาก็ไม่กล้าทำเรื่องแบบนี้หรอก!
“เยียนหราน เป็นไปได้ไหมที่เธอจะเข้าใจอะไรผิดไป?” เยี่ยหวันหวั่นถามต่อ
เจียงเยียนหรานหัวเราะอย่างขมขื่น “เข้าใจผิดเหรอ? ฉันสังเกตเห็นตั้งนานแล้วว่าเขาผิดปกติ แต่ก็ไม่ได้คิดอะไรมาก จนกระทั่งวันนั้น ฉันเห็นกับตาว่าเขากำลังเดินช้อปปิ้งเป็นเพื่อนผู้หญิงคนนั้น ฉันยืนอยู่นอกร้านโทรหาเขา เขากลับโกหกว่าอยู่บ้าน”
…………………………………………………….
บทที่ 502 ชนให้ฉันดูอีกทีสิ
คราวนี้ เยี่ยหวันหวั่นไม่มีอะไรจะพูดอีกแล้ว
ถ้าหากไม่ได้ทำอะไรผิด ทำไมต้องโกหก?
แต่เธอรู้สึกว่าเรื่องนี้ต้องมีอะไรเข้าใจผิดกันแน่นอน ชาติก่อนฉู่เฟิงรักเจียงเยียนหรานหัวปักหัวปำขนาดนั้น จะทำเรื่องแบบนี้ได้ยังไง?
เสียงดนตรีจากปลายสายทวีความดังขึ้นอีก เยี่ยหวันหวั่นขมวดคิ้วเครียด “ตอนนี้เธออยู่ที่ไหน?”
“สการ์เล็ตบาร์…” เสียงของเจียงเยียนหรานมีความมึนเมาผสมอยู่
ได้ฟังว่าเจียงเยียนร้านอยู่ที่ร้านเหล้า อีกทั้งน้ำเสียงยังมึนเมาอย่างเห็นได้ชัด เยี่ยหวันหวั่นพลันขมวดคิ้วเครียด เจียงเยียนหรานสภาพนี้อยู่ร้านเหล้าตามลำพังอันตรายเกินไป
“รู้แล้ว ฉันจะไปหาเดี๋ยวนี้”
เยี่ยหวันหวั่นวางสายทันทีที่พูดจบ
ไม่รอให้เธอพูดอะไร เสียงของซือเยี่ยหานก็ดังขึ้น “ให้สวี่อี้ไปส่งเธอละกัน”
เยี่ยหวันหวั่นพยักหน้า จุ๊บที่แก้มซือเยี่ยหานทีหนึ่ง “ฉันไปดูหน่อยว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ แล้วจะรีบกลับมา”
ไม่รู้ว่าตั้งแต่เมื่อไหร่ ที่เธอกับซือเยี่ยหานสามารถพูดคุยกันอย่างเป็นธรรมชาติเช่นนี้ เวลาเธอไปหาเพื่อน เธอติดต่อกับเพื่อน ไม่ต้องมองสีหน้าเขาก่อนเป็นอันดับแรกเพราะกลัวเขาโกรธอีกต่อไปแล้ว
และความเปลี่ยนแปลงทั้งหมดนี้ก็เกิดขึ้นภายในระยะเวลาสั้นๆ ไม่กี่เดือน…
เยี่ยหวันหวั่นลงชั้นล่างอย่างรีบร้อน
เมื่อลงมาก็เจอสวี่อี้กำลังคุยอยู่กับคนรับใช้ในห้องรับแขกพอดี
เยี่ยหวันหวั่นกำลังจะเรียกเขา ทว่าสวี่อี้เห็นเธอแล้วก็รีบหลบเดินไปทางห้องครัวทันที
เยี่ยหวันหวั่นขมวดคิ้วมุ่น เรียกเขาให้หยุดด้วยสายตาเย็นเยียบ “พ่อบ้านสวี่!”
แผ่นหลังของสวี่อี้แข็งทื่ออย่างจนปัญญา จำใจหันกลับมาช้าๆ ก้มศีรษะต่ำเพื่อซ่อนบาดแผลบนใบหน้าของตัวเอง “คุณหนูหวันหวั่น มีอะไรให้รับใช้ครับผม?”
“หน้านายเป็นอะไรไป?” เยี่ยหวันหวั่นถามขึ้นเสียงต่ำ
“ไม่มีอะไรครับ ผมเดินชนประตู…” สวี่อี้ตอบ
เยี่ยหวันหวั่นสองมือกอดอก หัวเราะเล็กน้อย “ชนประตูจนกลายเป็นแบบนี้ได้ด้วยเหรอ? ไม่งั้น นายชนให้ฉันดูอีกสักทีสิ?”
เวลานี้ใบหน้าครึ่งหนึ่งของสวี่อี้บวมตุ่ย ดวงตาช้ำจนเป็นสีม่วงคล้ำ เห็นเส้นเลือดชัดเจน ตาบวมจนลืมไม่ขึ้นแล้ว
“เอ่อ คือว่า…” สวี่อี้พูดไม่ออก
“ฝีมือหลิวอิ่งล่ะสิ?” เยี่ยหวันหวั่นเอ่ย
สวี่อี้รีบตอบว่า “ไม่เป็นอะไรจริงๆ ครับคุณหนูหวันหวั่น…คุณหนูมาหาผมมีเรื่องอะไรหรือเปล่าครับ?”
สวี่อี้ลองเบี่ยงเบนหัวข้อสนทนา
เยี่ยหวันหวั่นทำหน้าเครียด “ไม่เป็นไร นายไปเรียกหลิวอิ่งมา ให้เขาขับรถไปส่งฉันที่ที่หนึ่งหน่อย”
สวี่อี้รีบถาม “คุณหนูจะไปไหนครับ ผมไปส่งคุณหนูเอง!”
“นายเจ็บตัวจนเป็นขนาดนี้ จะขับรถยังไง? ไปเรียกเขามา” น้ำเสียงเยี่ยหวันหวั่นโมโหอย่างเห็นได้ชัด
เห็นเยี่ยหวันหวั่นไม่สบอารมณ์จริงๆ สวี่อี้ก็จนปัญญา ทำได้เพียงรีบเรียกคนให้ไปตามหลิวอิ่งมา
ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใด ทั้งๆ ที่ตรงหน้าเขาเป็นเพียงผู้หญิงบอบบางคนหนึ่งเท่านั้น แต่ทุกครั้งที่เธอโมโหขึ้นมาจริงๆ กลับทำให้รู้สึกหวาดกลัวจนตัวสั่น
นั่นเป็นไอบางอย่างที่เหมือนกับไอบนตัวของนายท่านอย่างมาก…
หลิวอิ่งถูกตามตัวมาอย่างรวดเร็ว เมื่อเห็นเยี่ยหวันหวั่นก็ทำหน้าตึงทันที “มีอะไร?”
เยี่ยหวันหวั่นปรายตามองเขา “เตรียมรถ ไปส่งฉันที่สการ์เล็ตบาร์”
“อะไรนะ?” ฟังน้ำเสียงออกคำสั่งอย่างมั่นอกมั่นใจของเยี่ยหวันหวั่น สีหน้าหลิวอิ่งคล้ำเขียวด้วยความไม่พอใจ
ไม่ทันให้สีหน้าของหลิวอิ่งเผยความโมโหออกมา เยี่ยหวันหวั่นก็ยืดตัวขึ้น ไม่เปิดช่องให้อีกฝ่ายปฏิเสธแม้แต่น้อย มองเวลาบนโทรศัพท์มือถือพลางกล่าวว่า “ฉันรีบ”
“คุณ…” หลิวอิ่งกำหมัดแน่น หันมองสวี่อี้ที่อยู่ข้างกาย สุดท้ายก็ได้แต่กัดฟันกรอดเดินตามไป
……………………………………………………..