บทที่ 169 พวกเขาไม่ให้กินเนื้อหรือ
“แต่ก่อนองค์หญิงใหญ่เป็นน้องสาวของปฐมกษัตริย์ เหล่าพี่น้องของปฐมกษัตริย์นี้นับว่าไม่น้อยเลย แต่องค์หญิงเกิดช้ามาก เพราะฉะนั้นองค์หญิงใหญ่เลยคลอดไวกว่าองค์จักรพรรดิองค์ปัจจุบันนี้ไม่นาน คิดนับแล้วห้าหกปีได้ เป็นลูกสาวคนแรกของเสด็จปู่ที่มีอายุมากแต่หัวใจยังกระชุ่มกระชวย
ได้ยินมาว่า เพราะนิสัยอารมณ์ขององค์หญิงใหญ่กล้าหาญ เหล่าขุนนางเสนาบดีในราชสำนักเลยไม่กล้าสู่ขอองค์หญิงใหญ่
เสด็จปู่ร้อนใจ ปฐมกษัตริย์ก็ร้อนใจ
เวลานั้นท่านแม่ทัพฉีอายุยี่สิบปี เข้าออกวังหลวงกับจักรพรรดิองค์ปัจจุบันอยู่เป็นประจำ
องค์หญิงใหญ่อายุยี่สิบหกปี แม้ว่าทั้งสองคนจะอายุต่างกัน แต่อวิ๋นอวิ๋นสามารถดูออกได้ องค์หญิงใหญ่รูปโฉมงดงาม
นับตั้งแต่โบราณกาลมาวีรบุรุษชื่นชอบหญิงงาม แม้ว่านิสัยองค์หญิงใหญ่จะกล้าหาญ แต่ทว่าท่านแม่ทัพฉีไม่ได้รังเกียจไม่แยแส
งานเลี้ยงในพระราชวังครั้งหนึ่ง ท่านแม่ทัพฉีก็อยู่
เวลานั้นจักรพรรดิองค์ปัจจุบันยังเป็นเพียงองค์ชาย ท่านแม่ทัพฉีกับองค์จักรพรรดิพูดคุยกันอย่างสนุกสนาน
ได้ยินเสด็จปู่พูดประโยคหนึ่ง ว่าต้องการเลือกคู่ครองให้กับองค์หญิงใหญ่ ไม่รู้ว่าตระกูลขุนนางเสนาบดีท่านใดยินยอมที่จะเกี่ยงดองกับพระองค์บ้าง
ตระกูลขุนนางเสนาบดีก็ไม่มีผู้ยินยอมเลย องค์หญิงใหญ่นั่งอยู่อีกด้านจนมีสีหน้าเปลี่ยน
แต่ก็ไม่มีคนออกมา
อีกนิดหนึ่งเสด็จปู่ก็จะรับสั่งคนที่อยู่ด้านล่างให้พวกเขาออกมาทีละคนๆแล้ว
ช่วงเวลานั้นปฐมกษัตริย์เป็นองค์จักรพรรดิ พระองค์กอบกุมมือของเสด็จปู่ไว้ ถึงได้สงบใจเย็นลง
แต่ก็ยังไม่มีผู้ใดออกมา เรื่องนี้ทำให้รู้สึกกริ้วโกรธเป็นอย่างมาก
ก็เวลานี้แหละ ที่ท่านแม่ทัพฉีคุกเข่าลง เขาบอกว่าเขาชอบองค์หญิงใหญ่ อีกทั้งชื่นชอบมานานแล้วด้วย
พอเรื่องนี้พูดออกมา เสียงดังเกรียวกราวอื้ออึงเลยทีเดียวเชียว
องค์จักรพรรดิก็ยังตกใจเลย
ต้องรู้ว่านั่นเป็นเสด็จอาใหญ่แท้ๆ ของพระองค์และท่านแม่ทัพฉีก็เป็นสหายที่ร่วมทุกข์สุขกันมา
สถานการณ์เข้าสู่ความอึดอัดวางตัวไม่ถูก
แต่ทว่าองค์หญิงใหญ่กลับเกิดความคิดที่จะเปลี่ยนใจแล้ว
เสด็จปู่มีความสุขอย่างมาก ถึงอย่างไร ก็มีคนยินยอมที่จะแต่งงานกับบุตรสาวของพระองค์แล้ว
แต่เรื่องนี้ขุนนางเสนาบดีทั้งราชสำนักคัดค้านไม่เห็นด้วย
หนึ่งเพราะฐานะแต่งต่างกันอย่างมาก การนับรุ่นในวงศ์ตระกูลสับสนปนเป อีกอย่างเหล่าขุนนางเสนาบดีกลัวกังวลว่าท่านแม่ทัพฉีจะดึงองค์หญิงใหญ่มาเป็นพวกด้วย เพื่อปูทางสร้างเงื่อนไขเป็นองค์จักรพรรดิองค์ปัจจุบัน
เวลานั้น บนราชสำนักยังแบ่งเป็นสามก๊กอยู่เลยนะ
บุคคลในวงศ์ตระกูลเดียวกันของพระมเหสีหวา ขุนนางเสนาบดีเก่าแก่ และยังมีญาติพี่น้องครอบครัวด้วย
สุดท้ายเรื่องนี้ก็จบแบบค้างคาไร้บทสรุป
แต่องค์หญิงใหญ่เคยเห็นท่านแม่ทัพฉีบนถนน และยังเคยไปพระตำหนักขององค์จักรพรรดิด้วย พวกเขาได้พบเจอกันอยู่บ่อยครั้ง
เวลานั้นแน่นอนว่าท่านแม่ทัพฉีเป็นคนอายุน้อยที่ฉลาดและมีความสามารถสูง ไม่อย่างนั้นองค์หญิงใหญ่ก็ไม่มีทางเปลี่ยนใจ
ข้าได้ยินคนพูดว่า เห็นพวกเขาล่องเรือท่องเที่ยวเดินทางไปต่างเมืองด้วยกัน
แต่เวลาต่อมาในราชสำนักมีคนพูดเรื่องการแต่งงานขององค์หญิงใหญ่ เวลานั้นท่านแม่ทัพฉีไปออกรบทำศึก ไม่รู้ว่าผู้ใดกล่าวว่าได้เสียชีวิตตายที่สนามรบแล้ว พออย่างนี้ องค์หญิงใหญ่ร่ำไห้อยู่สามวันสามคืนได้ สุดท้ายความกดดันหนัก เลยตัดสินใจแต่งงานออกเรือนกับท่านแม่ทัพผู้หนึ่งไป
ท่านแม่ทัพก็ดีกับองค์หญิงใหญ่ หลังจากแต่งงานไปองค์หญิงใหญ่ได้ให้กำเนิดบุตรชายและบุตรสาว สุดท้ายท่านแม่ทัพก็ตายอยู่ที่สนามรบ”
หนานกงเย่ค่อนข้างเศร้าใจ ถึงอย่างไรนั่นก็คือเสด็จอาของเขา
ฉีเฟยอวิ๋นกล่าวถามว่า “เช่นนั้นท่านพ่อของหม่อมฉันล่ะเพคะ? สุดท้ายเลยได้แต่งงานกับท่านแม่ของหม่อมฉันหรือ?”
หนานกงเย่ส่ายศีรษะ กล่าวว่า “ที่จริงวันที่เสด็จอาใหญ่แต่งงานวันที่สาม ท่านแม่ทัพได้รับชัยชนะกลับมา เสด็จอาใหญ่สงสัยมาโดยตลอดว่ามีคนจงใจหลอกลวงพระองค์ เพราะฉะนั้นพระองค์เลยจดจำอยู่ในใจไม่เคยลืมเลือน มาตรแม้นว่าเสด็จแม่ก็คือหวาดกลัวพระองค์ ”
ฉีเฟยอวิ๋นหยุดทันที กล่าวว่า “หรือว่าคนที่หลอกเสด็จอาใหญ่คือองค์จักรพรรดิ?”
หนานกงเย่ไม่ได้ตอบ ฉีเฟยอวิ๋นกล่าวอย่างเย็นชาว่า “เช่นนั้นองค์จักรพรรดินี่ไม่ยึดมั่นความเป็นธรรมเสียจริง เพื่อตัวของพระองค์เองได้ให้ท่านพ่อหม่อมฉันพลีชีพ”
“อย่าพูดไปเรื่อย”หนานกงเย่ตบที่มือของฉีเฟยอวิ๋นเบาๆ ไม่ได้เจ็บ เพียงแค่ไม่อยากให้เธอพูดเรื่อยเปื่อยซี้ซั้ว
ฉีเฟยอวิ๋นถามว่า “เช่นนั้นท่านพ่อหม่อมฉันล่ะ?”
“นั่นก็ไม่รู้แล้วล่ะ แต่ว่าคล้ายกับว่าผ่านไปไม่ถึงปีท่านแม่ทัพก็เอาผู้หญิงที่อุ้มเด็กกลับมา หญิงสาวเขาเก็บมาจากข้างนอก บอกว่าไม่สามารถอดใจไว้ได้ หลังจากดื่มเหล้าเมามายก็ทำอย่างนั้นกับนางแล้ว ก็เลยนำกลับมาด้วย ผลสรุปเดินทางไกลยากลำบากก็มีลูก เป็นอย่างนี้เลยได้มีอวิ๋นอวิ๋นยังไงล่ะ”
“…….”ฉีเฟยอวิ๋นขมวดคิ้วขึ้น เช่นนี้ก็เกินไปแล้ว
“ท่านแม่ของหม่อมฉันคือคนที่เก็บมาหรือ?”ฉีเฟยอวิ๋นกลุ้มใจเป็นอย่างมาก แม้ว่าร่างกายนี้ไม่ใช่เธอ แต่ก็หวังว่าเธอจะไม่ใช่การมาแบบนี้
“ใครจะรู้เล่า”หนานกงเย่จูงมือของฉีเฟยอวิ๋นกลับไป
อาบน้ำพักผ่อน ทั้งสองคนนอนหลับพักผ่อนทั้งคืน
วันต่อมาหนานกงเย่ไปเข้าเฝ้าตั้งแต่เช้า ฉีเฟยอวิ๋นไปตรวจสอบคดี เลยถือโอกาสนำตำลึงจีนไปบริจาคด้วย
เดิมทีคิดว่าไปเช้าแล้ว ผลสรุปเมื่อมาถึงศาลพิเศษกลางคนอื่นๆก็อยู่ที่นั่นแล้ว
ท่านอ๋องตวนอยู่ ท่านพ่อเธออยู่ และยังมีคนของจวนกั๋วกง ต้ากั๋วจิ้ว เสี่ยวกั๋วจิ้ว และกั๋วจิ้วคนอื่น แม้แต่ท่านอ๋องอาวุโสของเรือนอื่นก็ยังมาเลย
ฉีเฟยอวิ๋นก้าวเข้าไปทักทาย แล้วค่อยไปหาองค์หญิงใหญ่
วันนี้องค์หญิงใหญ่ยังไปแบบนั้น ฉีเฟยอวิ๋นมองพิจารณาอย่างละเอียด ว่ายังมีแววตาอาลัยท่านพ่อเธอหรือไม่ แต่ทว่ามองอย่างละเอียดรอบคอบแล้วกลับไม่เจอสายตาเช่นนั้น
ฉีเฟยอวิ๋นค่อนข้างประหลาดใจ มองดูเหมือนว่าพวกเขาต่างลืมกันตั้งนานแล้ว
“เจ้ามาสักที นี่กี่ยามแล้ว เจ้าเพิ่งจะมา? เจ้าเอาตั๋วเงินมาหรือไม่?”มองเห็นฉีเฟยอวิ๋นแล้วองค์หญิงใหญ่ก็ไม่ได้มีความเกรงใจแม้แต่น้อย
ฉีเฟยอวิ๋นก็ไม่กล้าทำให้รู้เป็นที่ทั่วกัน ถึงอย่างไรก็แค่ห้าหมื่นตำลึงจีนเท่านั้นเอง
ท่านพ่อของเธอห้าหมื่นตำลึงจีนแล้ว
“นำมาแล้วเพคะ เมื่อคืนก็ได้เตรียมออกมาแล้ว”
ฉีเฟยอวิ๋นนำตั๋วเงินที่ซ้อนกันเป็นปึกๆวางลง องค์หญิงใหญ่มองซ้ำๆ ด้านข้างมีเว่ยหลินชวนจดบันทึกไว้ และกล่าวตะโกนว่า“จวนท่านอ๋องเย่ห้าหมื่นตำลึงจีน”
ฉีเฟยอวิ๋นเดินไปอีกด้าน มองคนอื่นยื่นส่งมอบตั๋วเงิน ความรู้สึกก็คืออารมณ์แบบห้าหมื่นตำลึงจีน
ฉีเฟยอวิ๋นรู้สึกจนปัญญา จวนท่านอ๋องเย่จนเกินไปแล้ว
รับมาห้าหมื่นตำลึงจีนแล้วยี่สิบกว่าครั้ง นอกจากนั้นสามหมื่นสองหมื่นตำลึงจีนก็ไม่น้อย
จวนเสนาบดีมีสองหมื่นตำลึงจีน ตั๋วเงินทั้งหมดได้ถูกส่งมาคล้ายดั่งว่าไม่ต้องการตั๋วเงินเลยทีเดียว
มีหีบ ทั้งหมดล้วนวางไว้ด้วยกัน ก่อนตอนเย็นต้องไปแลกเปลี่ยนเป็นตั๋วเงินสด ค่อยส่งไปยึดทรัพย์ไว้ที่ท้องพระคลังก่อน ตอนใช้ค่อยขอเบิกออกมา
วันแรกระดมได้ห้าล้านตำลึงจีน ตั๋วเงินจำนวนนี้พอใช้สำหรับช่วงเวลาหนึ่ง
คนไปแล้วแต่ยังมีฉีเฟยอวิ๋นที่นั่งดื่มน้ำชาอยู่ที่ศาลพิเศษกลาง องค์หญิงใหญ่นั่งตรงกลาง กินขนมอาหารว่างอยู่
ท่านแม่ทัพฉีได้กลับไปตั้งนานแล้ว ฉีเฟยอวิ๋นอดไม่ได้เลยถามว่า “เสด็จอาใหญ่ พระองค์กับท่านพ่อของหม่อมฉันเคยรู้จักกันหรือไม่เพคะ?”
“รู้จัก ท่านพ่อของเจ้าเป็นคนดีที่หาได้ยาก”องค์หญิงใหญ่ตอบอย่างไม่ได้ใส่ใจ
ฉีเฟยอวิ๋นถามอย่างต่อเนื่องว่า “ได้ยินว่าท่านพ่อของหม่อมฉันเคยสู่ขอพระองค์หรือเพคะ?”
“นั่นเป็นเรื่องที่ผ่านมาแล้ว ตอนนี้เขาคือเขา ข้าคือข้า”
ถามมาตั้งนานไม่ได้อะไรเลย ฉีเฟยอวิ๋นเลยไม่ถาม
เดิมทีคิดที่จะพิจารณาคดี สุดท้ายไม่ได้พิจารณา มอบบริจาคตั๋วเงินไปหนึ่งวันเต็มๆ เล่ากันว่าพรุ่งนี้ยังต้องมอบบริจาคตั๋วเงินอีก
ฉีเฟยอวิ๋นปัดตามเนื้อตัวแล้วออกมาจากศาลพิเศษกลาง
ออกมาก็เจอหนานกงเย่รออยู่ด้านหน้าประตูแล้ว เขามาตอนบ่าย ตั๋วเงินปลดส่งมาแล้วส่งเข้าท้องพระคลังแล้วก็กลับมาอีก เพราะฉะนั้นก็เลยมาถึงเวลานี้
พอเจอกันทั้งสองคนนั้นเหนื่อยล้าแล้ว ไม่อยากจะเดินเลยนั่งรถม้ากลับไป
ทั้งสองคนพูดคุยกันระหว่างการเดินทางกลับไปจวน
สามวันมานี้ มอบบริจาคตั๋วเงินตลอดเลย
คดีของอวิ๋นหลัวฉวนยังวางไว้อยู่ ฉีเฟยอวิ๋นร้อนใจมาก
นับว่าไม่ได้บริจาคตั๋วเงินแล้ว เธอถึงได้ไปเบิกยื่นคดีนี้
ฉีเฟยอวิ๋นเริ่มต้นจัดแจงคดีอีกครั้ง ไต่สวนทุกคน โดยเฉพาะชุนหง
และนางยืนยันหนักแน่น ว่านางไม่ชอบอวิ๋นหลัวฉวน ถึงได้คิดลอบทำร้าย
ตรวจสำนวนคดีความได้พอประมาณ เวลาที่องค์หญิงใหญ่กำหนดให้ก็ถึงแล้ว ฉีเฟยอวิ๋นเลยได้เขียนจดหมายส่งไปที่พระราชวัง
องค์จักรพรรดิอวี้ตี้เห็นจดหมายเลยไปพบพระพันปี พระเมหสีหวาก็ได้ถูกเชิญไปเช่นกัน
หลังจากที่พูดคุยกัน ไห่กงกงเป็นผู้ออกไปนอกพระราชวังเพื่อเป็นกองกำลังหนุนให้ฉีเฟยอวิ๋นด้วยตนเอง องค์หญิงใหญ่กับเว่ยชวน ฉีเฟยอวิ๋นหนานกงเย่ ร่วมกันคุ้มกันส่งอวิ๋นหลัวฉวนเข้าพระราชวัง
ตอนที่ฉีเฟยอวิ๋นถึง ท่านอ๋องตวนหนานกงเหยี่ยน ฮูหยินจวนกั๋วกงก็มาถึงแล้ว
ทุกคนทักทายกันแล้วเข้าพระราชวัง ฉีเฟยอวิ๋นใช้ผ้าคลุมสีแดงคลุมอวิ๋นหลัวฉวน แล้วเข้าไปที่พระตำหนักเฉาเฟิ่ง คุกเข่าทำความเคารพแล้วไปด้านหลัง
แม่นมที่มีคุณธรรมบารมีสูงส่งสองคนในพระราชวัง ฉีเฟยอวิ๋น และองค์หญิงใหญ่สี่คนช่วยกันอยู่เป็นเพื่อนตรวจกับอวิ๋นหลัวฉวนอยู่ด้านหลัง
อวิ๋นหลัวฉวนตื่นเต้นกังวลใจอย่างมาก ฉีเฟยอวิ๋นกอบกุมที่มือของนางไว้
“เรื่องนี้มีสาเหตุความเกี่ยวโยงที่สำคัญมาก ข้ารู้ว่าเจ้าลำบาก แต่ก็ไม่มีวิธีอื่นแล้ว นี่เป็นสิ่งยืนยันว่าเจ้าบริสุทธิ์เพียงวิธีเดียวนะ ต่อให้ไฉฝูจะกล้าดีอย่างไร หลักฐานของพวกเราก็คือร่างกายนี้ของเจ้า”
อวิ๋นหลัวฉวนกลั้นน้ำตาแล้วพยักหน้าตอบว่า “อืม”
องค์หญิงใหญ่ยืนอยู่อีกด้าน สีหน้าไม่เปลี่ยนกล่าวว่า “เริ่มเถิด”
แม่นมสองท่านรีบยกมือทำความเคารพ หลังจากนั้นเดินมาตรวจร่างกาย
คนของพระตำหนักหน้าล้วนกำลังรอผล โดยเฉพาะท่านอ๋องตวน เดินไปเดินมามองพระตำหนักหลัง
“ตอนนี้เจ้ารู้จักร้อนใจแล้วหรือ ก่อนหน้าไปทำอะไรแล้วล่ะ? แต่งงานมาช่วงหนึ่งแล้ว หากไม่ใช่พระชาเย่เป็นผู้เขียนจดหมายมาพูดเรื่องนี้กับองค์จักรพรรดิ ข้าก็ไม่รู้ เชอะ…..
กฎเกณฑ์ของจวนอ๋องตวนของเจ้านี่ยิ่งใหญ่เสียจริง พระชารองแต่งเข้ามา แม้แต่พระคุณบุญคุณก็ไม่มีหรือ?
พระพันปีใช้อำนาจบาตรใหญ่กล่าว หนานกงเหยี่ยนเลยเข้าหาด้วยท่าทีที่ความเคารพนอบน้อม กล่าวว่า “กระหม่อมรู้ว่าผิดไปแล้ว”
“เรื่องนี้นะ ข้าดู….เจ้าอยากให้ข้าโมโหสินะ” พระพันปีมองไปทางพระมเหสีหวา พระมเหสีหวาก็ร้อนใจโมโหด่าท่านอ๋องตวนไปหนึ่งยก
“เหตุใดถึงได้นานเช่นนี้?”หนานกงเหยี่ยนถามหนานกงเย่
“ข้าจะรู้ได้อย่างไร ข้าก็ไม่เคยมีประสบการณ์เหล่านี้”หนานกงเย่กล่าวด้วยสีหน้าไม่ชอบใจ
ผ่านไปสักพัก แม่นมทั้งสองคนก็ออกมาจากด้านใน คุกเข่าทำความเคารพและกล่าวว่า “กราบทูลพระพันปี องค์จักรพรรดิ พระมเหสี พระชายารองอวิ๋นยังเป็นเด็กสาวเพคะ”
พระพันปีทอดถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก
องค์หญิงใหญ่ออกมาจากพระตำหนักหลัง พระพันปีลุกขึ้น กล่าวว่า “ขึ้นมานั่งเถอะ”
องค์หญิงใหญ่ชำเลืองมองพระพันปีและองค์จักรพรรดิ แล้วไม่ได้ไปให้ความสนใจ กลับไปมองหนานกงเหยี่ยน “ไม่ได้เรื่อง คิดไม่ถึงว่าจะก่อเรื่องวุ่นวายที่จวนหลังจนเป็นเช่นนี้ อีกนิดหนึ่งก็ทำลายชื่อเสียงศาลพิเศษกลางของข้า วันนี้ข้าจะสั่งสอนเจ้าแทนเสด็จพ่อเจ้า”
“องค์หญิงใหญ่……”พระมเหสีหวาลุกขึ้นรีบเดินลงมา รู้ว่าองค์หญิงใหญ่นั้นอารมณ์ไม่ดี เลยขอความเมตตา
“นี่ไม่ใช่ความผิดของเหยี่ยนเอ๋อร์ องค์หญิงใหญ่ก็รู้ ตั้งแต่เล็กเขาเป็นคนที่ซื่อสัตย์ เรื่องเช่นนี้ต้องมีเบื้องหลังเป็นแน่แท้”พระมเหสีหวาปกป้องท่านอ๋องตวน
องค์หญิงใหญ่มองไป แววตานิ่งสุขุม พระมเหสีหวาค่อนข้างหวาดกลัวเลยชักมือกลับ
องค์หญิงใหญ่ถึงได้กล่าวว่า “มาสิ ตีด้วยไม้ห้าสิบครั้ง เอาให้เห็นเลือดเนื้อกันไปเลยตีให้หนัก หากว่าใครกล้าออมมือ เฆี่ยนตีเบา ข้าจะประหารเก้าชั่วโคตร”
พระมเหสีหวามีสีหน้าที่จนปัญญาไร้หนทาง เลยเดินไปนั่งลง
พระพันปีกล่าวว่า “องค์หญิงใหญ่ เจ้าดูว่าตีเฆี่ยนห้าสิบครั้งนั้นเยอะหรือไม่ อ๋องตวนนั้นข้าเข้าใจดี”
“เช่นนั้นก็เฆี่ยนสี่สิบครั้ง”
องค์หญิงใหญ่ยังไว้หน้าพระพันปีอยู่ พระพันปีชำเลืองมองพระมเหสีหวา และก็ไม่มีวิธีอื่นแล้ว
นางกำนัลเข้ามา ท่านอ๋องตวนถูกกดลงอยู่บนพื้น ไม้เรียวยกขึ้นเฆี่ยนตี
อวิ๋นหลัวฉวนออกมาจากทางด้านหลัง เดิมทีก้มศีรษะอยู่ นางค่อนข้างอิดโรย ไม่อยากเจอหนานกงเหยี่ยน
แต่พิสูจน์ยืนว่าบริสุทธิ์นางถึงได้รู้สึกโล่งใจ
มองเห็นท่านอ๋องตวนที่นอนคว่ำบนพื้นนางชะงักงันอยู่สักพักหนึ่ง จากนั้นสัญชาตญาณทำให้อวิ๋นหลัวฉวนรีบวิ่งออกไป อดทนกับความเจ็บปวดเพื่อผลักนางกำนัลออก
“เจ้าอย่าตีท่านอ๋องนะ!”
เวลานี้ ทั้งท้องพระโรงเงียบกริบไร้เสียง
หนานกงเหยี่ยนถูกประคองขึ้นมาจากบนพื้น อวิ๋นหลัวฉวนรีบถามว่า “ท่านอ๋อง เป็นอย่างไรบ้างเพคะ?”
หนานกงเหยี่ยนไม่รู้สึกว่าเจ็บ กลับมีความรู้สึกค่อนข้างที่จะสับสนกับความรู้สึก
“เหตุใดเจ้าถึงกลายเป็นเช่นนี้แล้วล่ะ?”หนานกงเหยี่ยนลูบสัมผัสใบหน้าเดิมทีที่กลมใสเปลี่ยนไปเป็นเส้นรอยมีดของอวิ๋นหลัวฉวน “พวกเขาไม่ให้เจ้ากินเนื้อใช่หรือไม่?”
บทที่ 168 บริจาคเงิน
บทที่ 170 เครื่องราชอิสริยาภรณ์ชั้นยศขั้นที่หนึ่ง