ตอนที่ 368 คลื่นที่หลงเหลือ

แม่ครัวยอดเซียน

“อนาคตที่สดใส” เหยียนซวี่ทวนประโยคนี้ซ้ำไปมาหลายครั้ง เขารู้สึกว่าประโยคนี้ไม่น่าจะใช่คำพูดที่คนอย่างเจ้าสำนักจะคิดได้ อย่างไรเสียเขาก็รู้จักอีกฝ่ายมานาน ทำไมก่อนหน้านี้จึงไม่เคยพูดทำนองที่ชวนให้คนต้องขบคิดมาก่อน แต่ตอนนี้กลับพูดออกมา เขาสัมผัสได้ว่าคำพูดนี้จะต้องมีความเกี่ยวข้องกับหลงหลิวหลี หลงหลิวหลี เจ้าเป็นใครกันแน่ ทำไมจึงได้สร้างความประหลาดใจได้ขนาดนี้

หมิงเยี่ยเองก็นึกไม่ถึงว่าประโยคที่ตนเองได้ยินมาจะสร้างความฮือฮาได้ถึงขนาดนี้ ทำให้เขารู้สึกเหลือเชื่อ

แต่มู่มู่กลับเบะปากบอกว่าไม่พอใจ เจ้าสำนักเป็นตำแหน่งที่ผู้คนเคารพนับถือ คิดไม่ถึงเลยว่าอีกฝ่ายกลับแอบฟังพวกเขาสามีภรรยาคุยกัน น่าโมโหจริงๆ จื่อฉีสีหน้าไม่สู้ดีนัก ตอนที่พวกเขาเพิ่งมาถึง ท่านพี่ก็ถูกคนจับตามอง นางจึงไปเข้าฌาน ตอนนี้สายตาจดจ้องอยู่ที่เขาแทนแล้วหรือ เพราะความสามารถจริงๆ

ลู่หรงฝึกฝนบำเพ็ญเพียรได้พอประมาณจึงกำลังจะออกฌาน พบว่าทุกคนกระตือรือร้นในการฝึกฝนบำเพ็ญเป็นอย่างมาก เมื่อได้ยินคำพูดพวกนั้นก็ฮึดกว่าปกติ ความคิดแรกของลู่หรงเลยคือคำพูดนี้จะต้องเป็นคำพูดของศิษย์พี่หลงชัดๆ แต่กลับได้ยินว่า ตอนที่มีคำพูดนี้ปรากฏออกมา ศิษย์พี่หลงกำลังเข้าฌานอยู่ ลู่หรงสงสัย นี่เหมือนเป็นคำพูดของศิษย์พี่หลงชัดๆ ลู่หรงตัดสินใจออกไปหาภารกิจทำพร้อมกับความสงสัยในใจ

ด้วยฤทธิ์ยาของหลิวหลี กับการรักษาของจื่อฉี ส่งผลให้อาการบาดเจ็บของมู่มู่ฟื้นตัวอย่างรวดเร็ว คุณสมบัติร่างกายของมู่มู่ดูดซึมยาได้เป็นอย่างดี ทำให้ฟื้นฟูได้เร็วขึ้น

หลังจากที่อาการบาดเจ็บของมู่มู่หายดี จื่อฉีตัดสินใจจะพานางออกไปทำภารกิจด้วยกัน แต่ผลปรากฏว่า

“คิดไม่ถึงว่าจะไม่มีภารกิจที่เหมาะกับคนสองคน” จื่อฉีมองดูภารกิจอย่างเหนื่อยหน่าย ไม่มีภารกิจที่เหมาะที่จะทำ 2 คน

“ไม่เป็นไร ไม่อย่างนั้นก็รวมกลุ่มกับคนอื่นก็ได้ ท่านพี่ไม่เห็นเป็นอะไร” มู่มู่ปลอบ

“ไม่ทราบว่าเราสองสามีภรรยาจะโชคดีได้จับกลุ่มกับพวกท่านทั้งสองหรือไม่”

“ท่านพี่อาเลี่ย ท่านพี่อิงเสวี่ย พวกพี่ออกฌานแล้ว” จื่อฉีตื่นเต้นน้อยๆ

“ใช่ พวกเราสองคนเข้าฌานไปก็ไม่มีประโยชน์อะไร ออกมาทำภารกิจดีกว่า พวกเจ้าสองคนออกฌานพอดี ทำให้พวกเราสบายใจขึ้นเล็กน้อย” เอ๋าเลี่ยบอกสาเหตุที่ตัวเองออกฌาน

“ถูกต้อง สักแต่เข้าฌานก็ไร้ประโยชน์ ไม่สู้ออกมายืดเส้นยืดสายสักหน่อย ได้ยินข่าวของมู่มู่มาเยอะ มู่มู่ เจ้านี่ทำได้ไม่เลว” อิงเสวี่ยกล่าว

“แล้วคำพูดพวกนั้น พูดได้ดีทีเดียว” เมื่อเอ๋าเลี่ยออกฌานมาได้ยินคำพูดพวกนั้น ก็รู้ว่าได้ทันทีว่าเป็นคำพูดของใคร

“ท่านพี่อาเลี่ย ไม่พูดถึงเรื่องนี้ได้หรือไม่ ปวดหัวจริงๆ” จื่อฉีไม่รู้จะพูดอะไรดี คำพูดที่พูดกันสองคนกลับถูกถ่ายทอดออกไป น่าปวดใจจริงๆ

“ดูแล้วน่าเกิดเรื่องแน่ ไป ไปทำภารกิจด้วยกัน” จะได้พูดคุยว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่ไปด้วย รู้สึกได้ว่าคงต้องมีอะไรบางอย่างเกิดขึ้นแน่

“ดังนั้น นี่คือคำพูดที่เจ้าพูดกับมู่มู่ แต่กลับถูกเจ้าสำนักได้ยินเข้า แล้วเขาก็เอาไปเผยแพร่ทั่วสำนัก” เอ๋าเลี่ยหมดคำพูด ความน่าเคารพของเจ้าสำนักหายไปไหนหมด ทำไมถึงได้ทำเรื่องไร้ซึ่งคุณธรรมเช่นนี้ มาแอบฟังคำพูดของคู่รักแล้วป่าวประกาศไปทั่ว ถึงจะเป็นคำพูดให้กำลังใจ แต่ก็ไม่ใช่เรื่องที่ดีนัก

“ใช่แล้ว ตอนนี้ข้าไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเจ้าสำนักแอบดูพวกเราอยู่หรือเปล่า” จื่อฉีบ่น แต่ก็ไม่ได้สนใจว่าเจ้าสำนักสอดส่องดูเขาหรือไม่ เขาเป็นคนดี ไม่มีอะไรให้ต้องสอดส่องดูแล

“ก็จริง รู้สึกว่าคำพูดที่ดูมีหลักการขนาดนี้ ก็ไม่น่าจะใช่คำพูดของมู่มู่” อิงเสวี่ยพยักหน้า พูดออกมาตรงๆ

“แต่หลิวหลีช่างมีวิธีสอนคนจริงๆ” อาเลี่ยอดยอมรับไม่ได้ว่าหลิวหลีช่างมีวิธีในการสอนคนที่ดีทีเดียว ลูกชายของเขาทั้งสองคนก็ได้รับการอบรมสั่งสอนมาอย่างดี จื่อฉีเป็นเด็กที่นังหนูเลี้ยงมาตั้งแต่เล็กจนโต ส่วนน้องสะใภ้นางก็สั่งสอนอีกฝ่ายได้ดีมากเช่นกัน

“ใช่ คำพูดพวกนี้ทำให้คนจำนวนมากเข้าใจรู้แจ้ง ยิ่งไปกว่านั้นก็คือทำให้ศิษย์ระดับธรรมดามีแรงผลักดัน และทำให้ศิษย์ระดับพิเศษรู้สึกกดดัน ไม่ได้รู้สึกว่าตัวเองสูงส่งเหมือนอย่างเมื่อก่อน” อิงเสวี่ยกล่าว

“คาดว่าหากว่าท่านพี่ออกจากฌานแล้วได้ยินเรื่องนี้ คงไม่อยากจะเชื่อ” จื่อฉีกล่าว

“ใช่ นังหนูดูเหมือนเป็นคนง่ายๆ แต่ที่จริงๆเป็นคนที่ค่อนข้างละเอียดอ่อน” เอ๋าเลี่ยเห็นด้วย

ทั้ง 4 คนทำภารกิจสำเร็จอย่างรวดเร็ว ด้วยความเรียบร้อยและง่ายดาย เมื่อทั้ง 4 คนกลับมาที่สำนัก ก็พบว่ามีคนจำนวนมาก ก็เข้าใจในทันที ไม่ใช่ทุกคนที่พลังบำเพ็ญเพียรจะเพิ่มขึ้นมากมายเมื่อออกจากฌานเหมือนหลงหลิวหลี คนส่วนใหญ่เป็นคนธรรมดา ในเมื่อเข้าฌานนานๆแล้วไม่มีประโยชน์อะไร ก็ออกจากฌานมาเอง เพียงแต่ทุกคนต่างก็กระตือรือร้นเพิ่มขึ้นไม่น้อย และส่งผลต่อมายังภายหลังด้วย

“หลังจากครั้งนี้ ข้าจะไม่ออกไปชั่วคราว ครั้งนี้ได้อะไรกลับมามาก จะเข้าฌานฝึกฝนบำเพ็ญสักหน่อย” เอ๋าเลี่ยกล่าว

“ข้าก็เช่นกัน ท่านพี่อาเลี่ย ข้ากับมู่มู่ว่าจะไม่ออกไปไหนแล้ว เดิมแค่อยากให้พลังบำเพ็ญเพียรของมู่มู่มั่นคงมากขึ้น จนตอนนี้ก็บรรลุเป้าหมายที่ตั้งไว้แล้ว ย่อมเข้าฌาน อย่างไรเสียในตอนนี้พลังบำเพ็ญเพียรของข้าก็ด้อยลงไปมาก” จื่อฉีกล่าว ในบรรดาคนพวกนี้ พลังบำเพ็ญเพียรของเขายังคงแย่ทที่สุด

“ก็ดีเหมือนกัน นังหนูก็เข้าฌานแล้ว เจ้าหนูก็ด้วย เด็กดื้อลูกข้าสองคนก็เข้าฌานเหมือนกัน” เข้าฌานกันหมด

“ส่งมอบภารกิจแล้วพวกเราก็แยกย้ายกันไปเข้าฌานเถอะ” อิงเสวี่ยกล่าว

มู่มู่มีชื่อเสียงขึ้นหลังจากการต่อสู้ครั้งนั้น คนจำนวนไม่น้อยต่างก็รู้จักหญิงสาวที่แข็งแกร่งห้าวหาญผู้นี้ ถือเป็นผู้บุกเบิกเส้นทางให้พวกเขา

“ฮูหยินมู่มู่ ท่านไปทำภารกิจกับศิษย์พี่จื่อฉีกลับมา ดูเหมือนพลังบำเพ็ญเพียรจะเพิ่มขึ้นไม่น้อย” มีคนรวบรวมความกล้าพูดทักทาย

“ขอบคุณที่ชม เจ้าก็สุดยอดเหมือนกัน ก้าวหน้าขึ้นไม่น้อยเลย” มู่มู่กล่าวชมฝ่ายตรงข้าม

“เป็นเพราะความดีความชอบของฮูหยินมู่มู่ เพราะข้าได้ชมการประลองระหว่างท่านและศิษย์ระดับพิเศษ ทำให้พวกเราเข้าใจ ศิษย์ระดับพิเศษก็พ่ายแพ้การประลองได้เหมือนกับพวกเรา บวกกับคำพูดของเจ้าสำนัก ส่งผลให้พวกเราเข้าใจอะไรลึกซึ้งขึ้นไม่น้อย ตอนนี้พวกเรารวมกลุ่มกันออกไปทำภารกิจ ก็มีความมั่นใจขึ้นมาก”

“หืม?” ฟังแล้วเหมือนจะไม่ค่อยเข้าใจ ความมั่นใจนี้มาจากไหนกัน

“ฮูหยินมู่มู่อาจไม่รู้ บางภารกิจของพวกเราจำเป็นจะต้องรวมกลุ่มกับศิษย์ระดับพิเศษ แต่ก่อนศิษย์ระดับธรรมดาอย่างพวกเราต้องเป็นด่านหน้า แต่รางวัลจากภารกิจนั้นศิษย์ระดับพิเศษจะได้รับไป แต่พวกเราก็ไม่กล้าพูด ไม่กล้าโวยวายจนตอนนี้พวกเรารู้แล้วว่า นอกจากเรื่องพรสวรรค์ที่พวกเราสู้ศิษย์ระดับพิเศษไม่ได้ แต่เรื่องอื่นๆพวกเราก็ไม่ได้แย่นัก บวกกับคำพูดของเจ้าสำนัก ทำให้ทุกคนตาสว่าง ครั้งนี้เมื่อออกไปทำภารกิจก็สามัคคีกันขึ้นมาก เมื่อกลับมารับรางวัลจากภารกิจ ก็ไม่ใช่ศิษย์ระดับพิเศษที่ได้รับมากที่สุดอีกต่อไป แต่แบ่งตามผลงาน พวกเราก็รู้สึกยุติธรรมมากขึ้น”

“ถึงการกระทำของเจ้าสำนักจะหน้าหนาไปหน่อย (แอบฟังคำพูดของสามีภรรยา) แต่ก็ส่งผลต่อผู้อื่นอย่างมาก นึกไม่ถึงว่าคำพูดที่พี่สาวอบรมสั่งสอนมู่มู่ จะมีประโยชน์มากเช่นนี้” จื่อฉีกล่าวหลังจากบอกลาศิษย์ที่เข้ามาทักทายเขา

“ใช่ ไม่ใช่ว่าของทุกอย่างจะเหมือนเดิมไม่เปลี่ยนแปลง มีของบางอย่างที่กำลังเปลี่ยนแปลงอยู่เหมือนกัน” เอ๋าเลี่ยกล่าวต่อ ตอนแรกที่พวกเขามา ดูเหมือนมีกฎที่อยากจะให้คนหน้าใหม่อย่างพวกเขาปฏิบัติตามกฏที่เคยมี แต่ผลคือกลับถูกนังหนูแหกกฏ สร้างแบบแผนใหม่ขึ้นมา และตอนนี้เพราะคำพูดพวกนั้นก็ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงขึ้นอีกครั้ง

“ใช่แล้ว พวกเราไม่เพียงไม่ต้องทำตามกฏของพวกเขา แต่ยังทำตามวิธีของตนเองได้ด้วย” บางครั้งจำเป็นต้องมีความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน แต่สิ่งที่จำเป็นต้องปฏิบัติตามเหมือนกันนี้ไม่ขัดขวางการพัฒนาของตัวบุคคลแต่อย่างใด

เมื่อพวกเขาพูดคุยกันเสร็จ ก็ไปรับรางวัลจากการทำภารกิจ แล้วเข้าฌานต่อ พวกเขาเชื่อว่า ครั้งนี้พวกเขาจะต้องเกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งยิ่งใหญ่ขึ้นแน่

………………………………………………