บทที่ 211 เจ้าใช้พิษอะไรกันแน่

ยอดชายากับองค์หนูน้อยแห่งจวนอ๋องอี้

ยอดชายากับองค์หนูน้อยแห่งจวนอ๋องอี้ บทที่ 211 เจ้าใช้พิษอะไรกันแน่

ริมฝีปากอันอบอุ่นอ่อนนุ่ม

กู้โม่หานมองหนานหว่านเยียนที่อยู่ในอ้อมกอด พลันหรี่ตาลงอย่างฉับพลัน ตรงหน้ามีภาพเหตุการณ์หลังจากที่เขาขาดสติไปปรากฏขึ้น

ทันใดนั้นหน้าอกของเขากระตุก ความเจ็บปวดจากการกัดกร่อนกระดูก กำลังถาโถมเข้ามาอย่างท่วมท้น

สีหน้าของหนานหว่านเยียนเปลี่ยนไปทันที นางผลักเขาออกไปอย่างแรง ยกขาถีบกู้โม่หานที่หน้าอกอย่างไร้ความปรานี จนเขาถอยออกไปหลายก้าว

กู้โม่หานทำเสียงฮึดฮัด พยายามยันโต๊ะเพื่อฝืนยืนไว้ พอเห็นหนานหว่านเยียนทำหน้าเยาะเย้ยเขา ท่าทางยังสามหาวนัก

เขาโกรธมาก ความเจ็บปวดเสียดแทงใจจนทำให้เขาต้องกุมหน้าอก ขมวดคิ้วเกรี้ยวกราด

“หนานหว่านเยียน นี่เจ้าวางยาพิษอะไรข้ากันแน่?!”

หลายวันมานี้ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับหัวใจของเขา มักจะปวดอยู่เป็นนิจ

โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่ออยู่ใกล้หนานหว่านเยียน หากจะสัมผัสนาง เขาจะรู้สึกเจ็บปวด

หนานหว่านเยียนเหลือบมองเขา พลางยิ้มเยาะ “ทำไมข้าต้องบอกเจ้าด้วย?”

ท่าทีโต้ตอบเช่นนี้ใช่แน่ ไม่รู้ว่าเมื่อวานกู้โม่หานเกิดบ้าอะไรขึ้นมา แม้แต่พิษก็ทำอะไรเขาไม่ได้

นางเกือบสงสัยตัวเองอยู่เหมือนกัน

ตอนนี้กู้โม่หานมีอาการกำเริบขึ้นอีกแล้ว

ดูท่าทางชายผู้นี้ในหัวเอาแต่คิดเรื่องสกปรกโสมมทั้งวัน

ผู้ชายสารเลว!

กู้โม่หานขบฟันอย่างเกลียดชัง ทีแรกแค่ต้องการยั่วเย้าหนานหว่านเยียนเท่านั้น จากนั้นก็ใช้โอกาสนี้ล้วงความลับ ใครจะคิดว่าพิษที่หนานหว่านเยียนใช้กับเขาในวันนั้นจะรุนแรงเช่นนี้ จนถึงตอนนี้ก็ยังทำให้เขารู้สึกไม่สบายกาย

เขาเดินกำลังภายในร่างกาย แต่มันยิ่งเจ็บปวดรุนแรงมากขึ้นเรื่อยๆ “นังอสรพิษ!”

หนานหว่านเยียนยิ้มเย็นชามากขึ้น กล่าวเตือนอย่างเหี้ยมเกรียม

“เจ้าจะว่าอะไรก็ได้ แต่ข้าขอบอกเจ้าไว้ก่อนว่า หากเจ้ากล้าแตะต้องข้า ข้าจะทำให้เจ้าเจ็บปวดเจียนตาย!”

ว่าแล้วนางก็กลับไปที่ห้อง ไม่อยากจะสนใจกู้โม่หานอีก

อันที่จริง หากหนานหว่านเยียนบอกฤทธิ์ของพิษชนิดนี้ เกรงว่ากู้โม่หานจะมองหน้าตนไม่ติดอีกเลย…

กู้โม่หานไม่มีเวลามาโต้เถียงกับหนานหว่านเยียนอีก เขานั่งขัดสมาธิอยู่บนพื้น หลับตาทำจิตใจให้นิ่ง พยายามทำให้ไฟโทสะภายในกายสงบลง

ความเจ็บปวดเริ่มกระจายหายไปช้าๆ

เขานึกว่าพิษที่หนานหว่านเยียนใช้กับเขา จะออกฤทธิ์เฉพาะเวลาที่เขาโกรธเท่านั้น เขานึกด่าอยู่ในใจ

หากข้าอยู่กับหนานหว่านเยียนต่อไป ช้าเร็วต้องโกรธจนอกแตกตาย!

หนานหว่านเยียนรออยู่ในห้องจนรู้สึกเบื่อหน่าย โดยปกติในเวลานี้นางต้องท่องหนังสือกระเซ้าเย้าแหย่กับเด็กหญิงทั้งสองอยู่ในเรือนเซียงหลินแล้ว แต่เวลานี้นางกลับต้องอยู่กับกู้โม่หาน

และไม่รู้ว่าแก้วตาดวงใจของนางกำลังทำอะไรอยู่ตอนนี้ จะคิดถึงนางบ้างหรือเปล่า จะเชื่อฟังหรือเปล่า…

พอคิดว่าชีวิตแบบนี้คงจะดำเนินต่อไปอีกหลายวัน หนานหว่านเยียนก็เกิดความฟุ้งซ่านขึ้นมา “นี่ กู้โม่หาน ลูกสาวของข้าเป็นอย่างไรกันบ้าง? เจ้าเคยติดต่อกับเสิ่นอี่ว์แล้วใช่ไหม?”

เดิมทีกู้โม่หานยังหงุดหงิดกับสิ่งที่หนานหว่านเยียนทำ แต่ตอนนี้เมื่อนางพูดถึงเด็กหญิงทั้งสอง หัวใจของเขาก็อ่อนตัวลงโดยไม่รู้ตัว

เมื่อนึกถึงใบหน้าน้อยที่ยังเป็นเด็กทั้งสอง เขาก็รู้สึกอบอุ่น

ต้องบอกว่าเขาก็คิดถึงพวกนางเช่นกัน

แต่หนานหว่านเยียนไม่บอกอะไรเขาเลย แล้วเหตุใดเขาต้องบอกข่าวคราวของเด็กหญิงทั้งสองแก่นางด้วย?

ชายหนุ่มเหลือบมองหนานหว่านเยียน “เจ้าไม่จำเป็นต้องรู้ มีเสิ่นอี่ว์อยู่ พวกนางไม่มีทางเป็นอะไร”

หนานหว่านเยียนเม้มปาก พลางขมวดคิ้ว “เจ้าอาศัยงานส่วนรวมมาแก้แค้นส่วนตัวเหรอ? ใจเสาะขนาดนี้เชียว?”

กู้โม่หานยิ้มเยาะ “ข้าก็แค่ใช้วิธีหนามยอกเอาหนามบ่ง”

ทั้งสองไม่ได้พูดอะไรกันอีก

แม้ว่าหนานหว่านเยียนจะค่อนข้างเป็นกังวล แต่เวลานี้นางย้อนกลับไม่ได้แล้ว ทำได้เพียงจัดการกับสิ่งต่างๆ ที่อยู่ในมือให้ดีก่อนค่อยว่ากัน

สายตาของกู้โม่หานจับจ้องหนานหว่านเยียนอย่างเย้ยหยัน ในใจคิดว่าถึงแม้เด็กหญิงทั้งสองจะซุกซนก่อกวน แต่ก็มีมารยาทรู้จักกาลเทศะ ไม่ได้เหมือนหนานหว่านเยียนไม่รู้ตัว

เขากำลังคิดว่า หากเด็กหญิงสองคนนั่นเป็นลูกของเขา ก็จะพาเข้าวังให้เสด็จแม่คอยดูแล

ริมฝีปากบางของเขาขมุบขมิบ แต่สุดท้ายก็ไม่ได้พูดในสิ่งที่ต้องการจะพูด แค่ปล่อยมันไปก่อน ทั้งสองประสานตากันและผ่านพ้นวันนี้ไป

ตลอดสามวันต่อมา ทุกครั้งที่หนานหว่านเยียนกลับมาจากตำหนักอู๋ขู่ ก็ไม่อาจทนสายตาของกู้โม่หานที่มองนางเหมือนเป็น “เมียขี้บ่น” ได้ ดังนั้นจึงมอบหน้ากากให้เขา ให้เขาไปตรวจคนไข้กับนาง

นางก็ไม่อยากเหน็บแนม ความดีใจปนอยากรู้อยากเห็นปรากฏขึ้นมาในดวงตาของกู้โม่หานหลังจากที่ใส่หน้ากาก เหมือนกับการแสดงออกของเด็กที่ได้ของเล่นใหม่

ชายหนุ่มตัวโตเบ้อเริ่ม ทำตัวเป็นเด็ก ไม่เคยพบเคยเห็น!

ส่วนกู้โม่หานที่ตามหนานหว่านเยียนมาด้วยกัน ในที่สุดความฝันที่เขาไขว่คว้ามาตลอดก็เป็นจริง ได้เห็นอย่างชัดเจนว่าหนานหว่านเยียนช่วยคนอื่นอย่างไร

ครั้งแรกตอนที่หนานหว่านเยียนช่วยเสิ่นอี่ว์ เขายังนึกว่าฝ่ายหญิงวางยา แต่ครั้งนี้ เขายืนดูอยู่ข้างๆ กับหมอเจียงสามวันติดต่อกัน

แม้กู้โม่หานจะไม่รู้เรื่องวิชาแพทย์ แต่จากฝีมือการตรวจรักษาอันคล่องแคล่วของฝ่ายหญิง แม้แต่เขาที่เป็นคนนอกก็ยังอดเลื่อมใสนางไม่ได้

เขาเชื่อมั่นในทักษะทางการแพทย์ของหนานหว่านเยียนจากก้นบึ้งของหัวใจได้อีกครั้ง ระคนความรู้สึกซาบซึ้งในตัวหญิงสาว

ในคืนวันที่หก หยีเฟยกำลังจะผ่านพ้นช่วงอันตราย

เป็นไปตามคาด ฮ่องเต้ อ๋องเฉิงและพระชายา องค์ชายสิบและพระชายาก็มาถึงแล้วเช่นกัน

ในขณะที่หนานหว่านเยียนกำลังสวมหน้ากาก ทันใดนั้นก็พบผู้หญิงอีกคนหนึ่งสวมใส่เสื้อผ้าประณีตหรูหรา อากัปกิริยาสง่างามเป็นอย่างยิ่ง นางหยุดทุกอย่างที่กำลังทำอยู่ในมือทันที

กู้โม่หานรู้ว่าหนานหว่านเยียนต้องจำไม่ได้แน่ จึงเข้าไปกระซิบข้างหูนาง “เสด็จแม่ของเจ้าสิบ”

หนานหว่านเยียนเข้าใจในทันที ตรงเข้าไปคารวะสตรีที่อยู่ตรงหน้านาง…ชีกุ้ยเฟยในราชวงศ์ปัจจุบัน “คารวะกุ้ยเฟยเหนียงเหนียง”

หยีเฟยยังไม่ใช่บุคคลไร้ความสามารถ ในวังหลังแห่งนี้ มีเพียงนางและชีกุ้ยเฟยเท่านั้นที่ถูกเรียกว่ากุ้ยเฟย

จะเห็นได้ว่า ตำแหน่งของบุคคลนี้ไม่อาจดูแคลนได้

ชีกุ้ยเฟยฉีกยิ้ม “พระชายาอี้ไม่ต้องมากพิธี”

หลังจากทุกคนทักทายกันพอเป็นพิธี นางก็เดินตามหนานหว่านเยียนเข้าไปในตำหนักอู๋ขู่

สายตาที่กู้จิ่งซานมองหยีเฟยแฝงความรู้สึกภายในใจไว้

หนานหว่านเยียนทำเสียงจุ๊ๆ ในใจ แต่ภายนอกกลับพูดกับเขาด้วยความเคารพ “ตอนนี้เสด็จแม่พ้นขีดอันตรายแล้ว อาการปอดอักเสบดีขึ้นมาก เหลือเพียงอาการไข้หวัดเล็กน้อย แต่ยังต้องหลีกเลี่ยงการสัมผัสที่มากเกินไป วันนี้ลูกพา เสด็จพ่อมาที่นี่ อยากให้เสด็จพ่อเห็นว่าเสด็จแม่ดีขึ้น สามารถวางใจได้”

“ต่อไปคงต้องรบกวนหวางหมัวมัวและหมอหลวงเจียงแล้ว ข้าได้สั่งยาแก้อักเสบและยาจีนบรรเทาความร้อนในปอดให้เสด็จแม่ กินตามเวลาในใบสั่งยาของข้า พร้อมกันนั้น หวางหมัวมัวอย่าลืมพลิกตัวให้เสด็จแม่มากๆ นวดแขนขาและเอวให้นาง พักผ่อนอีกไม่กี่วันก็หายดีแล้ว”

หวางหมัวมัวตอบรับด้วยสีหน้าเปลี่ยนไป แม้ในใจนางจะเกลียดจวนเฉิงเซี่ยง แต่ความประทับใจที่มีต่อหนานหว่านเยียน ดูเหมือนจะแตกต่างจากในความทรงจำของนางแล้ว

หมอหลวงเจียงจับเคราสีขาว เอ่ยกับฮ่องเต้ด้วยรอยยิ้ม “ฝ่าบาทยังไม่รู้ว่า หลายวันมานี้กระหม่อมได้เรียนรู้อะไรมากมายจากพระชายาอี้!”

“วิชาแพทย์ของพระชายายอดเยี่ยมเลิศล้ำ กระหม่อมเกรงว่า หากอาจารย์ของกระหม่อมยังมีชีวิตอยู่ จะต้องละอายที่ไม่อาจสู้ได้ วิธีการฝังเข็มของพระชายา ช่างน่าทึ่งจริงๆ!”

หมอหลวงเจียงอยากให้หนานหว่านเยียนอยู่ในสำนักหมอหลวงเพื่อสั่งสอนเขาจริงๆ แต่เมื่อเห็นสีหน้าที่คาดไม่ถึงของกู้โม่หานข้างๆ เขาก็ไม่กล้าพูดอะไร

ช่างมันเถอะ เหลือชีวิตรอดให้ตัวเองเถอะ

กู้จิ่งซานยิ้มบางๆ ด้วยสีหน้าอ่อนโยน ชื่นชมหนานหว่านเยียนอย่างหนัก “พระชายาอี้ หลายวันมานี้คงเหนื่อยแย่ ในเมื่อหยีเฟยไม่มีอะไรน่าเป็นห่วงแล้ว ท่านกับอ๋องอี้ก็สามารถออกจากวังได้ในวันพรุ่งนี้ ที่เหลือมอบให้เป็นหน้าที่ของหมอหลวงเจียงเถอะ”

จากนั้นเขาก็หันไปมองกู้โม่หานด้วยสีหน้าสงสารของบิดาผู้มีเมตตา “เจ้าหก หลายวันมานี้เจ้าก็เหน็ดเหนื่อยเช่นกัน กลับไปพักผ่อนตามสบายเถอะ”

กู้โม่หานตอบรับ หนานหว่านเยียนหลุบตาลง

ความระแวดระวังที่มีต่อกู้จิ่งซานเพิ่มทวีขึ้น ให้ตายสิ เสแสร้งเก่งมาก…