ภายในคุกกลางดึกโดดเดี่ยวเดียวดาย มองเห็นปลายเท้าของตนเองมีร่างดำทะมึนโผล่ออกมาอย่างกะทันหัน ความรู้สึกแบบนั้นก็น่าหวาดกลัวเหลือเกิน
นี่มันฉากในภาพยนตร์สยองขวัญนี่!
จิ่งเหิงปัวพบว่าเมื่อคนเราตกใจถึงขีดสุดจะกรีดร้องออกมาไม่ได้ คอหอยเกร็งแน่น กล้ามเนื้อแข็งทื่อ พละกำลังทั้งร่างกายรวมอยู่บนดวงตา พยายามหวังจะถลึงออกมาจากเบ้าอย่างสุดกำลัง
ร่างดำทะมึนร่างนั้นมุดออกมา แต่ท่าทางตกใจเสียยิ่งกว่านาง ร้อง “อ๊าก!” ก่อนจะล้มลงจนหลัง กระแทกเข้ากับกำแพง
เขามองดูรอบด้าน คล้ายรู้สึกว่าสภาพแวดล้อมตรงนี้ผิดปกติ พอหันหน้าก็พลันมุดลงไปอีกครั้ง
ท่าทางนี้ของเขามอบความกล้าหาญให้จิ่งเหิงปัวในทันที…ไม่ใช่ผีแต่เป็นคน!
“หยุดนะ!” นางตวาดขึ้นมา
คนผู้นั้นสั่นสะท้านทั่วร่าง หยุดยืนนิ่งแล้วค่อยๆ หันหน้ากลับมา
ภายใต้แสงไฟเหลืองสลัว คราวนี้จิ่งเหิงปัวถึงเห็นว่าเจ้าคนนี้ดูท่าทางดำทะมึนเพราะว่าสวมชุดแนบเนื้อสีดำ สวมผ้าคลุมหน้าคลุมศีรษะ เหลือไว้แค่ดวงตาคู่หนึ่ง
เห็นได้ชัดเจนว่าเป็นการแต่งกายของพวกโจรที่ออกปล้นยามราตรี
ตอนนี้นางนอนอยู่ ส่วนอีกฝ่ายยืนอยู่ จากมุมสายตาของนางก็มองเห็นรูปร่างงที่งดงามของบุรุษที่ถูกห่อหุ้มด้วยอาภรณ์ท่องราตรีแนบเนื้อได้พอดี หลังไหล่ทรงสามเหลี่ยมคว่ำ เอวบางขายาว ทรวดทรงทั่วร่างราบรื่นเกลี้ยงเกลา ซูบผอมเล็กน้อยทว่าทำให้ผู้คนมองเห็นความอ่อนนุ่มและความยืดหยุ่นของร่างกายภายใต้อาภรณห่อหุ้มได้ นับว่าเป็นรูปร่างงดงามรูปร่างหนึ่งโดยแท้
จิ่งเหิงปัวคิดว่าร่างกายนี้ได้มาจากการทำกิจกรรมตอนกลางคืนบ่อยครั้งใช่ไหม?
คนคนนั้นถูกนางเรียกไว้ หลังจากตกใจแล้วจึงสงบเงียบขึ้นมา เหลียวมองรอบด้าน ส่ายหน้าพลางพึมพำกับตนเองว่า “เฮ้อ! เหตุใดจึงขุดมาถึงตรงนี้ได้?”
จิ่งเหิงปัวฟังเข้าใจในทันที เขาคงเป็นหัวขโมยที่เชี่ยวชาญการขุดโพรงขโมยของอย่างไม่ต้องสงสัย ไม่รู้เหมือนกันว่าขุดอุโมงค์มาถึงข้างล่างคุกแห่งนี้ได้อย่างไร
ตอนนี้นางแต่งตัวเป็นผู้ชาย พอจะแสร้งเป็นผู้ชายได้ ซ้ำยังไม่ต้องกังวลว่าอีกฝ่ายจะเกิดความคิดชั่วร้ายกับตนเอง รีบเร่งกล่าวด้วยเสียงหยาบกระด้างว่า “พี่ชาย บังเอิญพบกันนับว่ามีวาสนาต่อกัน เจ้าดูสิในเมื่อเจ้ามาแล้ว กลับไปมือเปล่าคงไม่สอดคล้องกับหลักการทำมาหากินของพวกเจ้าใช่หรือไม่? ฉวยโอกาสพาข้าออกไปด้วยได้หรือไม่?”
“ไม่ได้” อีกปฏิเสธฝ่ายอย่างเด็ดขาดว่า “อุโมงค์ใต้ดินของข้าแคบยิ่งนัก ข้าหดกระดูกถึงเข้าไปได้ เจ้าผ่านไปไม่ได้หรอก”
“เช่นนั้นเจ้าเหน็ดเหนื่อยเล็กน้อย ขยายอุโมงค์ใต้ดินหน่อยได้หรือไม่?” จิ่งเหิงปัวจ้องมองสีหน้าของอีกฝ่าย กล่าวว่า “แน่นอนว่าจะไม่ให้เจ้าช่วยเหลือเปล่า พอออกไปแล้ว ข้าจะมอบเงินมากมายขอบคุณเจ้า”
ทว่าคนคนนั้นเดินเข้ามานั่งลงข้างกายนาง เอ่ยว่า “ไม่ได้ ข้าพลันไม่คิดจะออกไปแล้ว”
“หา?”
“เจ้านึกว่าข้ามาขโมยของหรือ?” เจ้าคนนั้นถลึงตามองจิ่งเหิงปัวปราดหนึ่ง เอ่ยว่า “ผู้ใดจะว่างงานจนต้องมาขโมยถึงคุกสวรรค์ในพระราชวังได้? ข้าถูกศัตรูไล่ล่าสังหาร ไร้สถานที่หลบซ่อน เกิดความคิดเลิศล้ำความคิดหนึ่งขึ้นมา คิดที่จะมาหลบซ่อนในตำหนักที่ว่างเปล่าแห่งใดแห่งหนึ่งในพระราชวังสักพัก ผู้ใดจะรู้ว่าคาดการณ์ผิดสถานที่ ขุดมาถึงข้างล่างคุกสวรรค์เสียได้ ทว่าในคุกก็ในคุกเถิด ไม่แตกต่างกัน ไม่แน่ว่าอาจจะปลอดภัยยิ่งกว่า”
จิ่งเหิงปัวรู้สึกผิดหวังชั่วขณะ กลอกตาขาวมองเขาแวบหนึ่งพลางกล่าวว่า “ที่นี่จะมีคนคอยตรวจตรานักโทษ หากเจ้าถูกพบเข้าก็อย่ามาโทษข้าแล้วกัน”
“ที่นี่เป็นคุกระดับร้ายแรง ไม่คุมขังนักโทษโดยง่าย หลังจากคุมขังแล้วนักโทษกว่าครึ่งนั่งรอความตาย สิบวันครึ่งเดือนและไม่เห็นมีผู้ใดมาตรวจตรา” คนคนนั้นเอ่ยว่า “รอให้เจ้าถูกลากออกไปประหาร ข้าย่อมจากไปเอง”
จิ่งเหิงปัวแค่นเสียงหนึ่ง ในใจคิดว่าคุกใต้ดินน่าเบื่อหน่าย มีสักคนให้พูดคุยด้วยคงไม่ใช่เรื่องเลวร้ายอะไร แน่นอนว่าเจ้าคนนี้เลือดเย็นขนาดนี้ พอตนเองออกไปจะไม่พาเขาไปด้วยแน่นอน
เจ้าผู้นี้เอ่ยเองเออเองจัดการเสร็จสิ้นแล้วพลันลุกขึ้น เอ่ยว่า “เจ้าขยับหน่อย แบ่งพื้นที่ให้ข้านอนบ้าง”
“หา?” จิ่งเหิงปัวที่เพิ่งจะนอนราบเกือบจะกระเด้งขึ้นมา
“ร้องทำไม?” เจ้าผู้นั้นมองนางอย่างประหลาดใจ เอ่ยว่า “บนพื้นหนาวขนาดนี้ ผืนฟางของเจ้าก็กว้างขนาดนี้ เบียดเสียดกันหน่อยจะเป็นอะไรไป?”
“ไม่ได้!”
“เหตุใดถึงไม่ได้? เจ้ามิใช่สตรีเสียหน่อย” เจ้าผู้นั้นขึ้นมาบนผืนฟางด้วยตนเอง ชะงักโดยพลัน มองจิ่งเหิงปัวอย่างสงสัย เอ่ยว่า “เจ้าคงไม่ใช่สตรีจริงๆ กระมัง? เจ้ามีหนวดเคราหรือไม่” เอ่ยแล้วคล้ายคิดจะเอื้อมมือมาลูบคางและลำคอของจิ่งเหิงปัว
จิ่งเหิงปัวรีบร้อนป้องคางไว้ ตบกองฟางอย่างกระตือรือร้น กล่าวว่า “ไม่ใช่อยู่แล้ว! ข้าเพียงนอนคนเดียวจนเคยชิน ปรับตัวไม่ทันเพียงชั่วครู่ มาเถิด มานอนๆ!”
“อืม” เจ้าคนนั้นนอนลงข้างกายนางอย่างไม่เกรงใจเลยแม้แต่น้อย ท่าทางคล้ายเหน็ดเหนื่อยยิ่งนัก สิ่งที่ทำให้จิ่งเหิงปัววางใจคือเขานอนนิ่งมาก ไม่ได้เข้าใกล้นางมากเท่าไร ตรงกลางระหว่างสองคนว่างพอจะนอนได้อีกคนหนึ่ง
นิ้วมือของจิ่งเหิงปัวเอื้อมถึงขาท่อนล่างอย่างเงียบเชียบ ตรงนั้นมีกริชเล่มหนึ่งซ่อนอยู่ตลอดเวลา
ชั่วชีวิตนี้ไม่ว่าอยู่ที่ไหน นางจะไม่สูญเสียความระมัดระวังไม่ว่าต่อใครก็ตามอีกแล้ว
แต่เดิมบนร่างของผู้ชายข้างกายมีโคลนมีฟางข้าว ส่งกลิ่นไม่ค่อยน่าพิสมัยออกมา แต่เมื่อเขาปัดฝุ่นโคลนออกแล้วนอนลง นางพบทันทีว่ากลิ่นบนร่างของคนคนนี้พิเศษอย่างยิ่ง หอมหวนเหลือเกิน เจือด้วยความหนาวเย็นเล็กน้อย ซ้ำยังเจือด้วยกลิ่นยาอยู่บ้าง แผ่ซ่านพลังที่ทำให้จิตใจสงบ
จิตใจสงบเกินไปแล้ว…
จิตใจสงบจนดวงตาของนางจะหลับลงแล้ว…ง่วงจัง…ทำไมถึงง่วงขึ้นมาขนาดนี้นะ…
ความอ่อนเพลียพวยพุ่งมาปานกระแสธาร จิตสำนึกจมดิ่งสู่ความมืดมิดทีละเล็กทีละน้อย นางพยายามต่อต้านอาการง่วงนอน แต่ยังถูกลากเข้าสู่ดินแดนแห่งความฝันอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ในใจนางรู้สึกว่าผิดปกติเลือนราง กัดฟันกรอดคิดว่ายอมฆ่าผิดคนดีกว่าปล่อยให้รอดชีวิต คว้ากริชในมือออกมาค่อยๆ ขยับไปข้างหน้า ขยับไปข้างหน้า…
ก่อนกริชจะถึงเป้าหมาย ความง่วงนอนมหาศาลหอบหนึ่งพวยพุ่งเข้ามา นิ้วมือนางอ่อนยวบ หลับตาลงทันที
นอนหลับไปแล้ว
ท่ามกลางความมืดมิด ความเลือนรางมัวสลัว คล้ายมีเสียงถอนใจยาวนานเสียงหนึ่งดังขึ้น
ซ้ำยังคล้ายไม่มีเสียงนั้น
…
จิ่งเหิงปัวรู้สึกว่าตนเองตื่นขึ้นมาอย่างรวดเร็ว
ความรู้สึกรวดเร็วนี้น่าจะไม่ใช่ความรู้สึกลวง เพราะว่าเมื่อนางลืมตาขึ้น มองเห็นหยดน้ำที่ไหลลงมาหยดหนึ่งบนกำแพงฝั่งตรงข้ามยังไม่ทันแห้งเหือด
เจ้าคนข้างกายนั้นกำลังนอนหลับ ลมหายใจหนักหน่วงคล้ายเหน็ดเหนื่อยเสียยิ่งกว่านาง
จิ่งเหิงปัวรู้สึกว่าการนอนหลับกับคนแปลกหน้าคนหนึ่งภายในคุกใต้ดินพระราชวังแคว้นเซียงอย่างกะทันหันนั้น ก็ช่างน่าขบขันอย่างยิ่ง พิลึกพิลั่นอย่างยิ่ง
แต่เรื่องแปลกประหลาดยิ่งกว่านั้นคือคนคนนี้นอนอยู่ข้างกาย หลังจากได้ฟังเสียงลมหายใจหนักหน่วงจากความอ่อนเพลียจนถึงขีดสุดของเขาท่ามกลางความเงียบสงัดแล้ว นางรู้สึกขึ้นมาทันทีว่าสบายใจเหลือเกิน ภายในใจอบอุ่นและบริสุทธิ์ผ่องใส
นางเคยนึกว่านางคงนอนหลับสนิทข้างใครก็ตามไม่ได้อีกแล้ว นึกไม่ถึงว่าคนแปลกหน้าคนหนึ่งจะทำให้นางนอนหลับสบายได้
อาจจะเพราะว่าเป็นคนแปลกหน้าล่ะมั้ง
นางมองดูใบหน้ายามที่นอนหลับของเขาอย่างนึกอิจฉาเล็กน้อย เจ้าคนรอบคอบคนนี้นอนหลับแล้วยังไม่ยอมถอดผ้าคลุมหน้าออก แต่หน้าผากราบเรียบ มองออกว่ากำลังหลับฝันดี
นางไม่ได้นอนหลับฝันดีมานานมากแล้ว แม้จะนอนหลับได้แต่ฝันร้ายมากมายเหลือเกิน
พอนึกถึงคำว่าฝันร้ายสองคำนี้ นางก็รู้สึกว่าช่วงท้องเจ็บปวดขึ้นมากะทันหัน
กระแสปราณแปลกประหลาดภายในร่างกายหอบนั้นคล้ายได้รับกระทบไปด้วยจนได้ ระเบิดออกทันทีแล้วรวมตัวกันกลายเป็นน้ำวนน้อยลูกหนึ่งตรงตำแหน่งตานเถียน คำรามเกลือกกลิ้ง ก่อกวนจนสำไส้และกระเพาะอาหารของนางคล้ายพลิกคว่ำฉับพลัน
นางปวดจนแทบจะตัวงอ
บุรุษที่หลับลึกอยู่ข้างกายพลันพลิกตัวครั้งหนึ่ง ยามที่พลิกตัวนั้นแขนกวัดแกว่งระลอกหนึ่ง กระแทกลงบนกระเพาะนางดังพลั่กพอดี
จิ่งเหิงปัวนึกว่าผิวตรงท้องของตนเองคงต้องถูกกระแทกจนระเบิดแน่แล้ว
แต่ภายในร่างกายคล้ายมีเสียงดัง พลั่ก! พร้อมกันด้วย น้ำวนน้อยลูกนั้นระเบิดออกแล้ว
ความเจ็บปวดสูญสลายในทันที
เรือนร่างที่ขดงออยู่ของนางพลัดยืดออกโดยสำนึก ลูบคลำผิวท้องอย่างงงงวยอยู่บ้าง บนผิวท้องปวดแสบปวดร้อนนั่นเพราะถูกเจ้าคนนี้กระแทกเข้า แต่ความเจ็บปวดรุนแรงภายในกระเพาะนั้นพลันหายไปแล้ว
ควรด่าเขาหรือขอบคุณเขาดี?
พอจิ่งเหิงปัวหันหน้ามามองก็เห็นเขานอนหลับลึกเหลือเกิน คล้ายไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตนเองช่วยขจัดอันตรายทุกข์ยากของเพื่อนร่วมผืนฟางโดยไม่ตั้งใจ
จิ่งเหิงปัวตัดสินใจว่าจะไม่ขอบคุณเขาและไม่ด่าเขาด้วย ถือว่าหายกัน
นางหลับตาลงเตรียมวางแผนปรับปราณ หมอกพิษนั่นยังไม่สูญสลาย ไม่รู้ว่าจะกำเริบขึ้นมาเมื่อไร
กระแสปราณที่ปะปนกันภายในร่างกายตนเองมีมากเกินไป คล้ายว่าจะก่อเกิดการควบคุมต่อหมอกพิษนั่น แต่ยังไม่อาจเอาชนะได้โดยสิ้นเชิง จนทำให้หมอกพิษนั่นกลายเป็นกลุ่มก้อนที่ไม่เป็นหนึ่งเดียว จะระเบิดออกได้ทุกเวลาเหมือนลูกระเบิด
เมื่อคิดแบบนี้ นางรู้สึกขึ้นมาทันทีว่าร้อนผ่าวตั้งแต่ช่องท้องจนถึงกลางหน้าอกคล้ายมีสิ่งของอะไรพวยพุ่งขึ้นมาอย่างรุนแรง จากนั้นรวมตัวกันกลายเป็นกลุ่มขนาดเล็กกลุ่มหนึ่งตรงหน้าอก
ซวยแล้ว!