นี่หมายความว่าอย่างไร?
ผู้เฒ่าที่กำลังจะเดินลงโลงตรงหน้าคนนี้ โยนเข้าไปในฝูงชนไม่สะดุดตาสักนิด แต่อวี้ฉือไห่กลับไม่กล้าดูแคลนเขา
ผู้เฒ่าคนนี้รับใช้ฮ่องเต้มาสามพระองค์ พูดถึงความสามารถ พูดถึงการบริหารบ้านเมืองไม่มีสิ่งที่โดดเด่น แต่ขุนนางชั้นสูงเท่าไรผงาดขึ้นแล้วหายไป มีเพียงเขายืนตระหง่านไม่ล้ม ตำแหน่งขุนนางยิ่งสูงขึ้นทุกทีๆ ยิ่งได้รับความไว้วางพระทัยขึ้นทุกทีๆ
นี่ก็คือความสามารถที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของเขา
อวี้ฉือไห่คำนับจริงจัง
“ข้าน้อยโง่เขลา ขอใต้เท้าหวงโปรดชี้แนะ” เขาเอ่ย
ร่างกายหวงเฉิงค่อยๆ หมุนถ้วยชาในมือช้าๆ
“ใต้เท้าอวี้ ท่านเดิมทีเป็นผู้ลี้ภัยจากแผ่นดินเยี่ยน ตอนเยาว์วัยร่ำเรียนหนังสือของปราชญ์แล้วยังเคยสอบซิ่วไฉ เล่ากันว่าเพราะคนของสำนักศึกษากลั่นแกล้งถึงไม่ผ่าน ดังนั้นถึงโกรธแค้นไปพึ่งพิงชาวจิน มีครอบครัวบุญธรรม เปลี่ยนชื่อแซ่ กลายเป็นชาวจิน” เขาเอ่ย
ถูกคนเปิดเผยที่มาชาติกำเนิด ทั้งยังไม่ได้น่าภาคภูมิอย่างไร อวี้ฉือไห่ไม่อับอายสักนิด
“เป็นดังนั้น” เขาเอ่ย
“ถ้าอย่างนั้นท่านเคยได้ยินคำพูดของปราชญ์ประโยคหนึ่งหรือไม่” หวงเฉิงเอ่ยต่อ
“แม้ข้าเคยอ่านหนังสือหลายเล่ม แต่ไม่กล้าสอนหนังสือสังฆราชต่อหน้าใต้เท้าหวง” อวี้ฉือไห่ตอบอย่างนอบน้อม
หวงเฉิงยิ้ม เอียงถ้วยชาหน้าตัว เงาที่ฉายออกมาประหนึ่งภูเขาครอบทับบริเวณนี้ สายตาของอวี้ฉือไห่ทะมึน
“ปราชญ์กล่าวไว้ หอมไม่ต้องการ เหม็นต้องการ” เขาเอ่ย
อวี้ฉือไห่ตะลึง
นี่ปราชญ์ท่านไหนกล่าวไว้?
หวงเฉิงหัวเราะพลางนั่งตัวตรง ดวงตาของอวี้ฉือไห่ฟื้นกลับมาสว่างไสว
“พวกท่านตอนนี้เป็นฝ่ายขอสงบศึก นี่ล้วนเป็นผลงานของเฉิงกั๋วกง” หวงเฉิงรินชาไปพลางเอ่ยไปพลาง “เฉิงกั๋วกงคนผู้นี้ ชอบตีสุนัขตกน้ำยิ่งนัก พวกท่านขอร้องเวลานี้ นั่นใยไม่ใช่พิสูจน์ความร้ายกาจของเขา”
อวี้ฉือไห่ยิ้มขมขื่นนิดหนึ่ง
“เขาร้ายกาจจริงๆ” เขาว่า
หวงเฉิงยกถ้วยชา
“ถ้าอย่างนั้นเป็นเช่นนี้ ใยแค่เหนือมีเฉิงกั๋วกง ทั้งต้าโจวคงมีเพียงเฉิงกั๋วกงแล้ว” เขาเอ่ย
อวี้ฉือไห่เข้าใจบางสิ่ง แววตาระยิบระยับ
“ถ้าอย่างนั้นความหมายของใต้เท้าหวงก็คือ…” เขาเอนกายเอ่ยถาม
หวงเฉิงหมุนถ้วยชา
“ดังนั้นความหมายของข้าก็คือต้องดูความจริงใจของพวกท่านแล้ว” เขาเอ่ย “ยกเมืองให้”
แล้วยื่นมือเคาะรายการของขวัญด้านข้างอีก
“เงินทอง สิ่งเหล่านี้ล้วนไม่เลว แต่ก็แค่สิ่งของนอกกาย เอาสิ่งของนอกกายมาแสดงความจริงใจ พูดจากอีกด้านหนึ่งเป็นสิ่งที่ง่ายดายยิ่งนัก ก็ไม่ขาดทุนอะไร”
ไม่ขาดทุนอะไร?
อวี้ฉือไห่มองเขา
“พวกท่านกล้าทุ่มกำลังสู้หนึ่งศึก ใช้เลือดเนื้อทหารชาวจินของพวกท่านมาแสดงความจริงใจหรือไม่?” หวงเฉิงเอ่ยถามคล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้ม
อะไรนะ?
อวี้ฉือไห่ตะลึง
“ใต้เท้านี่ท่าน…” เขาหลุดปากเอ่ยถาม เสียงพูดออกจากปากก็มองเห็นแววตาขุ่นมัวของหวงเฉิงผู้เฒ่าชราคนนี้กลายเป็นเย็นเยียบ
อวี้ฉือไห่ยกยอตนเองว่าเคยเห็นความเป็นความตายมาแล้วแววตาเย็นชา แต่นาทีนี้มองเห็นแววตานี้ ยังคงประหนึ่งถูกน้ำเย็นเสียดแทงกระดูกอ่างหนึ่งราดรดศีรษะ ทั้งร่างหนาวสะท้าน
“…พูดจริงหรือ?” คำพูดที่เหลือของเขาเอ่ยออกมางึมงำ
สายตาของหวงเฉิงหลุบลง เป่าถ้วยน้ำชา ดื่มชาคำหนึ่ง
“ดึกดื่นเที่ยงคืนเช่นนี้ข้าไม่หลับไม่นอนตั้งใจมาพูดเล่นกับท่านงั้นหรือ?” เขาเอ่ย
………………………..
………………………..จนกระทั่งยืนอยู่นอกประตู มองราตรีมืดสนิทดั่งน้ำหมึก อวี้ฉือไห่ก็ยังหนาวขนลุกอยู่บ้าง
“ใช่แล้ว ยังมีอีกเรื่องหนึ่ง” เขายืนอยู่ครู่หนึ่งพลันคิดอะไรได้หมุนตัวเอ่ยกับบ่าวที่ออกมาส่ง “ตอนข้ามา พบใต้เท้าลู่ขององครักษ์เสื้อแพรบนถนน”
ยามค่ำคืนมองไม่เห็นสีหน้าของบ่าว
“ใต้เท้าลู่หรือขอรับ?” เขาเอ่ย เสียงสงบยิ่ง “ไม่ต้องเป็นห่วง ใต้เท้าลู่จะไม่เห็นท่านหรอก”
ถ้าอย่างนั้นดูท่าหวงเฉิงกับหัวหน้ากองพันลู่ผู้ชื่อเสียงเลื่องลือคนนี้คงปราศรัยกันมาแล้ว
แม้ทราบว่าอีกฝ่ายมองไม่เห็นสีหน้าของตน อวี้ฉือไห่ก็ยังคำนับอย่างนอบน้อมที่สุด
“ลำบากใต้เท้าแล้ว” เขาเอ่ย
บ่าวรับใช้ส่งเสืองอืมขึ้นจมูกทีหนึ่งก็หมุนตัวเข้าไปแล้ว
อวี้ฉือไห่ปรับตัวกับความมืดครู่หนึ่งถึงเดินไปข้างนอก เดินมาถึงปากตรอกแสงโคมบนถนนก็สาดเข้ามา ทำให้เขามองเห็นถนนชัด แล้วก็ทำให้คนมองเห็นสีหน้าของเขาชัดด้วย
บนหน้าของเขาไม่มีความถ่อมตนประจบประแจงสักนิด ร่างกายเหยียดตรง ไมมีความต้อยต่ำเช่นก่อนหน้านี้
“ร่ำเรียนหนังสือของปราชญ์” เขาเอ่ยกับตนเอง สีหน้าเหยียดหยันจางๆ “ก็อ่านหนังสือของปราชญ์เหมือนกัน”
พูดประโยคหนึ่งจบ สีหน้าเหยียดหยันก็เก็บซ่อนไป สีหน้าเปลี่ยนมาอ่อนโยนอีกครั้ง เดินช้าๆ ไปตามถนน มาถึงในตลาดกลางคืนอย่างรวดเร็วยิ่ง มองถนนที่เที่ยงคืนฤดูใบไม้ร่วงนี่ยังคงครึกครื้นก็จินตนาการได้ถึงภาพตระการตายามกลางวัน
อวี้ฉือไห่ยืนอยู่บนถนน ในดวงตาเต็มไปด้วยความอิจฉา
ชาวบ้านที่คุยเล่นหัวเราะเดินผ่านข้างร่างเขา ไม่สนใจเขาสักนิด อย่างมากที่สุดก็ยิ้มด้วยความเข้าใจ
ยามคนบ้านนอกเข้าเมืองเหลวงเห็นตลาดกลางคืนล้วนสีหน้าเช่นนี้
ดินแดนอันแสนรุ่งเรืองประหนึ่งแดนเซียนแห่งนี้ อวี้ฉือไห่เดินตามผู้คนไปบนถนนตลาดกลางคืนช้าๆ ในดวงตาก็ซ่อนความละโมบไว้ไม่อยู่อีกครั้ง
……………………
“เขาพบกับลู่อวิ๋นฉีได้อย่างไร?”
ส่วนอีกด้านหนึ่ง หวงเฉิงเอยถามบ่าวรับใช้
“ผู้น้อยไปถามแล้ว หัวหน้ากองพันลู่เมื่อครู่ออกจาเมืองไปแล้วขอรับ” บ่าวรับใช้ก้มศีรษะเอ่ยตอบ
หวงเฉิงขมวดคิ้ว
“ดึกดื่นป่านนี้ออกจากเมืองทำอะไร” เขาเอ่ย “ไม่รู้รึคนเท่าไรอยากกินเนื้อเขาดื่มเลือดเขา?”
เวลานี้หน้าสุสานสักแห่งหนึ่งของบ้านสกุลลู่นอกเมือง คบไฟอันแล้วอันเล่าจุดอยู่ ส่องสุสานนี่ประหนึ่งกลางวัน แต่ด้านในสุสานกลับมีเพียงลู่อวิ๋นฉีคนเดียวยืนอยู่เดียวดาย
เขามองป้ายสุสานตรงหน้า เอื้อมมือลูบช้าๆ ไม่เอ่ยวาจา ไม่มีการกระทำอื่นใด เพียงแค่ลูบคำว่าจิ่วหลิงสองคำครั้งแล้วครั้งเล่า
เจ็บยิ่งนัก
เจ็บยิ่งนัก
……………………………………….
……………………………………….
เวลานี้คนที่ดึกดื่นยังไม่นอนมีมากมาย บนถนนของหยางเฉิงไม่มีตลาดกลางคืนคึกคัก มีขบวนคนขบวนหนึ่งกำลังวิ่งเร็วรี่มา ใต้แสงคมไฟส่องเด็กหนุ่มที่นำหน้าเปล่งรัศมี นั่นด้วยเหตุเพราะบนรัดเกล้าหยกของเขาฝังไข่มุกราตรีเม็ดหนึ่งไว้
เด็กหนุ่มขี่ม้านำเดี่ยวควบเร็วรี่มาตามถนน คฤหาสน์สกุลฟางปรากฏตรงหน้าอย่างรวดเร็ว ไม่รอพวกเขาขี่เข้าใกล้ ประตูใหญ่ก็ถูกผลักเปิดแล้ว
ฟางเฉิงอวี่หยุดก็ไม่หยุดพุ่งเข้าไป
“ดึกดื่นป่านนี้ไปทำอะไร? อันตรายมากนะ”
นายหญิงใหญ่ฟางเอ็ดอย่างไม่สบอารมณ์
ฟางอวิ๋นซิ่วกับฟางอวี้ซิ่วก็ล้วนอยู่ด้านในโถงด้วย
“หากท่านย่ารู้เข้า ทั้งคืนคงนอนไม่หลับแล้ว” ฟางอวิ๋นซิ่วก็เอ่ยด้วย
ฟางเฉิงอวี่ยิ้มให้พวกนาง คำนับขออภัยแล้วชูจดหมายในมือขึ้น
“ข้าไปเอาจดหมมายของจิ่วหลิง” เขายิ้มตาหยีเอ่ย “รอถึงพรุ่งนี้ไม่ได้แล้วจริงๆ”
รู้อยู่เชียว แค่เป็นเรื่องของจิ่วหลิง เด็กคนนี้ก็ไม่สนใดๆ ทั้งสิ้น นายหญิงใหญ่ฟางพรุลมหายใจ สีหน้าจนปัญญา
“พวกท่านไม่รู้ จิ่วหลิงเกิดเรื่องแล้ว” ฟางเฉิงอวี่ฉีกจดหมายเปิดแล้วเขย่า สีหน้าจริงจังเอ่ยขึ้น
ฟางอวิ๋นซิ่วตะลึง
“เกิดอะไรขึ้น?” นางรีบเอ่ยถาม
“นางถูกโจรภูเขาลักพาตัวไป” ฟางเฉิงอวี่เอ่ยบิก
ฟางอวิ๋นซิ่วร้องหาพลันปิดปากไว้ ส่วนนายหญิงใหญ่ฟางกับฟางอวี้ซิ่วสีหน้านิ่งเฉย
ฟางอวี้ซิ่วถึงขั้นยังหาวด้วย
“เอาล่ะ เอาล่ะ คนกลับมาแล้วไม่เป็นไรแล้ว ทุกคนแยกย้ายเถอะ” นางเอ่ยจากนั้นคล้องแขนฟางอวิ๋นซิ่ว
แยกย้าย? เวลานี้?
“แต่เจินเจินนาง…” ฟางอวิ๋นซิ่วเอ่ยขึ้นอย่างไม่เข้าใจ
“เจินเจินนางต้องไม่เป็นไรแน่นอน” ฟางอวี้ซิ่วเอ่ย “พี่ใหญ่ ท่านเป็นห่วงนาง ยังไม่สู้เป็นห่วงพวกโจรภูเขาสักหน่อย”
ฟางอวิ๋นซิ่วส่งเสียงหัวเราะพรืดออกมา