เช้าวันถัดมาหลังจากแอสรันจากไป ฉันก็ได้รับจดหมายจากเลออน บนจดหมายมีข้อความสั้นๆ ที่เขียนด้วยตัวหนังสือรีบเร่งว่าจะกลับมาในไม่ช้าและไม่ได้กล่าวถึงว่าจากไปเพราะอะไร ด้านล่างเขียนปัจฉิมลิขิตไว้ว่าฝากเซอร์ราธบันไว้แล้ว

ไม่ใช่แค่เลออนเท่านั้น แต่ทหารคนสนิททั้งหมดของเขาก็หายไปด้วย ทำให้ฉันไม่อาจรู้ได้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับเขา รู้อย่างนี้ฉันน่าจะจับทหารที่นำจดหมายมาให้ไว้ก็ดี

แอสรันไปแล้ว ส่วนคราวนี้เป็นเลออนที่ไป

‘คงไม่ใช่ว่าเลออนก็ไปหาอีริสหรอกนะ?’

เขาเองก็คงได้ยินข่าวลือเกี่ยวกับอีริสเช่นกัน

ฉันย้อนนึกถึงจุดประสงค์แรกที่เลออนมายังวิหารหลวง เขามาหานักบุญหญิง เช่นนั้นแล้วเขาคงจะสงสัยมากกว่านักบุญหญิงอีกคนคือใคร แม้ฉันจะพยายามปลอบใจตนเองว่าเขาคงไม่เคลื่อนไหวเร็วถึงขนาดนี้เพื่อไปเจออีริสหรอก แต่ในใจก็ยังอดคิดไปในแง่ไม่ดีอยู่เรื่อย

อีกทั้งเช้าวันนี้ ราธบันทำเพียงทักทายสั้นๆ และยังคงไม่มองฉันตรงๆ เหมือนเดิม

ระหว่างนั้นเอง ฉันก็ได้รับแจ้งข่าวที่น่าตกใจ

“นักบวชคาร์ลยอมรับผิดอย่างนั้นหรือ?”

“ใช่ขอรับ”

“แล้วจะเป็นอย่างไรต่อไป…”

“เขาจะถูกส่งไปคุกใต้ดินของวิหารหลวง ตามกฎแล้วอย่างน้อยจะถูกขังอยู่ที่นั่นสิบปี ระดับโทษที่ชัดเจนจะถูกกำหนดขึ้นหลังจากตรวจสอบบันทึกของโทษทัณฑ์ในอดีตก่อนขอรับ”

นักบวชระดับสูงที่มาแจ้งข่าวพูดอะไรมากมายนอกเหนือจากนั้น แต่สุดท้ายเนื้อหาก็มีเพียงอย่างเดียว

คาร์ลยอมรับผิด

‘เป็นไปไม่ได้’

ฉันไม่เคยคาดคิดมาก่อน

‘เขาคิดอะไรอยู่กันแน่?’

ฉันไม่เข้าใจเลยว่าทำไมจู่ๆ เขาถึงทำตัวเหมือนยอมแพ้ทุกอย่าง เอาเป็นว่า ฉันออกคำสั่งให้คุมขังเขาไว้ลำพังในที่ที่ลึกที่สุดของคุกใต้ดิน ภายในหัวมีคำถามและความกังวลเกี่ยวกับคาร์ลและอีริสมาต่อแถวไม่หยุดหย่อน จากนั้นภาพของราธบันในช่วงนี้ก็ลอยเข้ามา

ทั้งแอสรันและเลออนต่างก็ออกไปจากที่นี่แล้ว พวกเขาเชื่อราธบันและจากไป แต่ตอนนี้…

‘…ฉันเชื่อเขาไม่ได้’

***

ผ่านไปสี่วันแล้วหลังจากแอสรันและเลออนจากไป ด้วยเพราะรู้จุดมุ่งหมายของแอสรัน ฉันจึงไม่กังวลเท่าไร แต่เมื่อไม่ได้รับข่าวคราวใดๆ จากเลออนนอกเหนือจากคำพูดที่เขาทิ้งไว้ก่อนออกไปอย่างเร่งรีบว่าจะรีบกลับมา ฉันก็เริ่มรู้สึกไม่สบายใจขึ้นมาทีละน้อย

วิหารหลวงอลหม่านขึ้นระหว่างนั้น แม้ฉันจะส่งหน่วยอัศวินแห่งวิหารไปประจำที่ทรีออนเป็นการชั่วคราวแล้ว แต่ก็ยังมีเสียงที่บอกว่าราธบันควรไปด้วยอยู่ตลอด แต่ยังโชคดี ราธบันกล่าวอย่างเฉียบขาดว่าตนยังอยู่ในช่วงเก็บตัวและยิ่งในช่วงเวลาแบบนี้ เขาควรต้องอยู่อารักขาฉันมากยิ่งขึ้น

เมื่อได้ยินคำพูดนั้น แม้ฉันจะรู้สึกไว้วางใจแต่ความไม่สบายใจก็ยังไม่หายไป เพราะเขายังคงไม่มองฉันตรงๆ ราวกับคนทำความผิด

บางทีคงเป็นเพราะความไม่สบายใจ

“เฮือก…!”

ฉันที่เข้านอนแต่หัวค่ำจึงสะดุ้งตื่นขึ้นมาพร้อมกับเสียงร้อง

“ทำไม….”

หน้าผากและแผ่นหลังชุ่มไปด้วยเหงื่อ มือสั่นระรัวจนไม่อาจกำอะไรได้ เรื่องราวในหนังสือโผล่ขึ้นมาในฝันตลอด แม้ฉันจะดิ้นรนเพื่อให้มีชีวิตรอด แต่สุดท้ายเมื่อตั้งสติได้ก็จะพบว่ากำลังยืนอยู่บนกองฟืนที่ไฟลุกโชน ภายในฝันฉันตายในร่างของอีเบลลีน่าซ้ำแล้วซ้ำเล่า

ฉันปรับลมหายใจอยู่สักพัก ก่อนจะลุกขึ้นจากเตียงนอนและไปห้องหนังสือ อย่างไรก็คงนอนต่อไม่ได้แล้ว หากต้องฝันแบบนั้นอีก สู้ตื่นอยู่แบบนี้ยังดีเสียกว่า

หลังจากคิดว่าหาอะไรอ่านดีไหม ฉันก็มองหน้าต่างในห้องหนังสือ

“…เอ๋?”

สายตาของฉันมองทิวทัศน์ยามค่ำคืนซึ่งแตกต่างจากที่เห็นในห้องเล็กน้อย ก่อนจะไปรวมกันที่จุดหนึ่ง แสงสีฟ้าครามเลือนรางอยู่บนพื้นของอาคารหลังเล็กที่อยู่ด้านหลังจัตุรัสกลางซึ่งมองไม่เห็นจากในห้อง

เห็นได้ชัดว่านั่นคือพลังศักดิ์สิทธิ์

“ทำไมพลังศักดิ์สิทธิ์ถึงไปอยู่ในที่แบบนั้น…”

มันไม่ใช่พลังศักดิ์สิทธิ์ที่มารวมกันชั่วครู่แล้วหายไป ถ้าทั่วทั้งพื้นถึงกับส่องแสงแบบนั้น ใต้ล่างนั่น…

ชั่วขณะที่คิดได้ถึงตรงนั้น ฉันก็ย้อนนึกถึงฉากที่เคยเห็นเมื่อก่อน ภาพของอีเบลลีน่าที่มองดูพลังศักดิ์สิทธิ์ที่กำลังลุกไหม้ในสถานที่ที่อยู่ใต้ดินลึก

‘ตรงนั้นเอง!’

ต้องไปที่นั่นและตรวจสอบดูเดี๋ยวนี้ ฉันสังเกตดูด้านนอกทันที หลังจากไม่ได้ยินเสียงใคร ฉันก็เปิดประตูอย่างระมัดระวังและพบว่าไม่มีใครยืนอยู่หน้าห้อง แต่มีเสื้อผ้าของพวกนางที่มักจะสวมใส่เวลาออกไปด้านนอกถูกพับอยู่อย่างเรียบร้อยและวางอยู่ข้างเก้าอี้สำหรับนักบวชที่มานั่งรอแทน

หลังจากคว้ามันเอาไว้ได้ราวกับถูกยั่วยวน ฉันก็รีบวิ่งไปที่บันไดซึ่งอยู่สุดอาคารทันที ต้องออกไปจากที่นี่และหลบสายตาของผู้คนให้ได้ก่อน

โชคดี ไม่รู้เป็นเพราะพวกเขาไม่รู้ตัวว่าฉันออกมาจากห้องหรือไม่ รอบๆ ทางเดินจึงไม่ได้ยินเสียงอื่นใดเลย

ฉันเดินลงบันไดที่อยู่สุดอาอาคารซึ่งปลอดผู้คนอย่างระมัดระวัง เนื่องจากเป็นเวลาดึกมากแล้ว บวกกับช่วงนี้บรรยากาศในวิหารหลวงไม่ค่อยสงบ เหล่านักบวชที่สัญจรอยู่ด้านนอกในตอนกลางคืนจึงมีจำนวนไม่มากนัก หลังจากรอให้สงบอีกนิด ฉันก็สวมชุดนักบวชที่ถืออยู่ตามที่คว้าได้แล้วใช้ฮู้ดปิดใบหน้า

แม้จะไม่ใช่สถานที่ที่อยู่ห่างจากที่พักของฉันมาก แต่เส้นทางที่ใช้เดินไปกลับทำให้ฉันรู้สึกว่ามันไกลเหลือเกิน ในหูก้องไปด้วยเสียงหัวใจที่เต้นแรงด้วยความกังวลว่าจะเจอใครหรือไม่ อีกฝ่ายจะจดจำฉันได้หรือไม่

“แฮ่ก… แฮ่ก…”

หลังจากถึงอาคาร ฉันจึงพอจะหายใจได้ ทันทีที่ได้ปลดปล่อยลมหายใจที่กลั้นเอาไว้ อากาศเย็นยะเยือกยามค่ำคืนก็ทำให้สติเริ่มกลับมาทีละน้อย ฉันพิจารณาดูพลังศักดิ์สิทธิ์ขึ้นมาจากพื้นราวกับม่านหมอก เห็นได้ชัดว่ามันลอยขึ้นมาจากใต้ดินล่างอาคาร

‘จะลงไปด้านล่างนี้ยังไง?’

หากมองอาคารนี้ผ่านๆ มันดูเหมือนโกดังกลางของวิหาร ฉันเดินวนรอบอาคารนั้นอย่างระมัดระวังรอบหนึ่ง โชคดีที่ฉันเจอประตูไม้เล็กๆ ซึ่งอยู่ในที่ลับตาคนได้ไม่ยาก

ก๊อก ก๊อก

ฉันเคาะประตูเผื่อไว้ด้วยความไม่แน่ใจ แต่ก็ไม่รู้สึกถึงการมีอยู่ด้านใน เมื่อจ้องมองประตูอีกครั้ง ก็เห็นฝุ่นเกาะอยู่อย่างหนาเตอะแม้อยู่ท่ามกลางความมืด ฉันสังเกตรอบด้านอีกรอบให้มั่นใจว่าไม่มีใคร จากนั้นใช้ร่างกายดันประตู ประตูที่ดูเหมือนปิดสนิท สั่นอยู่หลายครั้ง ก่อนจะส่งเสียงไม่น่าฟังและเปิดออกกะทันหัน

“อึก…”

เพราะเปิดออกกะทันหันจึงทำให้ฉันกลิ้งเข้าไปด้านใน ฉันเงยหน้าขึ้นแล้วพิจารณาดู ในพื้นที่ที่ไม่มีหน้าต่างมีเพียงความมืดมิด หากไม่ใช่เพราะแสงเลือนรางจากด้านนอกที่เข้ามาผ่านประตูที่เปิดออก ก็คงไม่อาจแยกได้กระทั่งด้านบนและด้านล่าง ขณะที่ยันพื้นเพื่อจะลุกขึ้น ฉันก็ก้มตัวลงอีกครั้ง

“นี่มัน…”

หินของพื้นพลันปรากฏต่อสายตา ก่อนนี้ฉันไม่ได้สังเกตเห็นเพราะมัวแต่หลบสายตาของผู้คนจนทำให้ไม่มีสติ

“หินของที่นั่นที่อีเบลลีน่าเคยเห็น…”

ในความทรงจำของอีเบลลีน่า นางยืนอยู่ในพื้นที่ที่มีพลังศักดิ์สิทธิ์ลุกโชน หินนี้เป็นหินเดียวกับผนังที่เคยได้เห็นในความทรงจำนั้นไม่มีผิด มันเป็นหินอ่อนผิวหยาบหลากสี ทันทีที่ตระหนักได้ ฉันก็คาดเดาได้ฉับพลัน ที่แห่งนี้จะต้องมีเปลวเพลิงของพลังศักดิ์สิทธิ์ที่อีเบลลีน่าเคยเห็นอยู่ที่ใดสักแห่ง

‘พลังศักดิ์สิทธิ์ลอยขึ้นมาจากใต้พื้นดิน’

และสถานที่ที่อีเบลลีน่ายืนอยู่ เป็นสถานที่ที่อยู่ลึกซึ่งต้องเดินลงบันไดสักพักหนึ่งจึงจะไปถึง เปลวเพลิงของพลังศักดิ์สิทธิ์นั่นจะต้องอยู่ด้านใต้ล่างนี้แน่

ฉันรีบปิดประตูเพราะกลัวว่าจะมีใครเข้ามา ตอนนี้ในห้องเต็มไปด้วยความมืดมิดจนมองไม่เห็นแม้ห่างไปแค่คืบ แต่เมื่อสังเกตดูให้ดีจะเห็นประกายแสงของพลังศักดิ์สิทธิ์ที่ส่องขึ้นมาระหว่างซอกหิน ฉันคว่ำหน้าลงด้วยท่าคลาน และพิจารณาดูร่องรอยของพลังศักดิ์สิทธิ์ ในตอนที่กำลังปัดใยแมงมุมที่ติดใบหน้าออกขณะคลานไปบนพื้น ฉันก็เจอพลังศักดิ์สิทธิ์ที่ลอยขึ้นมารอบหินสี่เหลี่ยมขนาดใหญ่

“ที่นี่เอง”

ทันทีที่คลำด้านบน หินส่งเสียงกึกกัก ก่อนที่ฉันจะจับโดนห่วงที่ทำจากเหล็กเย็น

ฉันค่อยๆ ผลักของจุกจิกที่กระจัดกระจายอยู่รอบข้างออกไป จากนั้นลุกขึ้นและดึงห่วง

“ฮึ้บ!”

มันเผยอขึ้นเล็กน้อยแต่ยกออกมาไม่ได้ง่ายๆ ฉันใช้แรงทั้งหมดดึงขึ้นมาอีกครั้ง ตอนนั้นเอง แผ่นหินส่งเสียงครืดและถูกยกออกมา

“แฮ่กกก… แฮ่ก…”

ฉันดันหินออกไปได้จนร่างแทบจะเคลื่อนไปด้วยอย่างหวุดหวิด เหงื่อไหลออกมาราวกับฝนตก ด้านล่างมีบันไดที่คล้ายจะไม่สิ้นสุดปรากฏขึ้น ท่ามกลางความมืดของใต้ดินที่มองไม่เห็นปลายทางเพราะไกลมาก พลังศักดิ์สิทธิ์กำลังลอยขึ้นมาราวกับม่านหมอก

‘ต้องลองลงไปข้างล่าง…’

ความหวาดกลัวถาโถม ฉันจะเจอกับอะไรถ้าลงไปในความมืดที่มองไม่เห็นปลายทางด้านล่างนั่น

แต่ว่าไม่มีเวลาให้ลังเลแล้ว สิ่งที่ทำให้ฉันวิ่งมาที่นี่แรกเริ่มเดิมทีก็เป็นเพราะพลังศักดิ์สิทธิ์ที่กำลังลอยขึ้นมาจากข้างล่างในตอนนี้ ฉันลองเอื้อมมือออกไปสัมผัสพลังศักดิ์สิทธิ์ มันเข้ามาวนรอบปลายนิ้วอยู่ชั่วครู่ ก่อนจะหายไปราวกับซึมเข้ามา

เมื่อเห็นภาพนั้น ฉันจึงตั้งสติและลองรวบรวมพลังศักดิ์ดูเผื่อจะว่ามันจะเกิดอะไรขึ้น

“…!”

แม้จะเป็นช่วงสั้นๆ แต่พลังศักดิ์สิทธิ์ก็เข้ามาหมุนวนรอบปลายนิ้วก่อนจะหายไปอีกครั้ง

‘ถ้าอย่างนั้น…’

หากใต้ล่างนี้ยังมีเปลวเพลิงของพลังศักดิ์สิทธิ์หลงเหลืออยู่ ฉันจะดูดกลืนมันกลับมาหน่อยได้ไหมนะ?

ฉันยืนหน้าบันได จากนั้นมองลงไปด้านล่างชั่วครู่ ก่อนจะเดินลงไปอย่างระมัดระวัง

เดินลงมาสักพัก ฉันก็เริ่มเข้าใกล้แสงสีฟ้าครามที่กำลังไหวกระเพื่อมอยู่ด้านล่างนั้นเรื่อยๆ ฉันเร่งฝีเท้า ตอนนี้มั่นใจได้แล้ว ที่นี่คือสถานที่ที่เคยเห็นในความทรงจำของอีเบลลีน่าไม่ผิดแน่ ทว่ามีสิ่งที่ต่างจากในความทรงจำเป็นอย่างมากอยู่

“นี่คือ…พลังศักดิ์สิทธิ์ทั้งหมด…?”

ในความทรงจำ เปลวเพลิงของพลังศักดิ์สิทธิ์ไหวกระเพื่อมอย่างรุนแรงจนถึงกับไม่สามารถเข้าใกล้ได้ แม้ขนาดของมันจะลดลงในขณะที่อีเบลลีลีน่ามองอยู่ แต่ก็ยังมีอยู่จนเต็มพื้นที่แห่งนี้ได้อย่างไม่มีปัญหา แต่เปลวเพลิงที่อยู่ตรงหน้าฉันตอนนี้กลับเป็นแค่กองไฟเล็กๆ เท่านั้น ฉันควรขอบคุณที่มันยังคงเหลืออยู่เพราะพลังศักดิ์สิทธิ์ของฉันได้หายไปหมดแล้ว แต่เพราะเคยเห็นรูปร่างเดิมของมันก็ทำให้อดรู้สึกประหลาดใจไม่ได้

ส่วนปลายของเปลวเพลิงที่ไหวกระเพื่อมฟุ้งกระจายเหมือนม่านหมอกและลอยขึ้นไปด้านบนอยู่ตลอด บางทีนี่คงเป็นพลังศักดิ์สิทธิ์ที่ฉันเห็นได้จากห้องหนังสือ

‘หากปล่อยไว้แบบนี้ อีกไม่นานมันคงหายไปหมด’

ไฟของพลังศักดิ์สิทธิ์คงลดลงเรื่อยๆ หลังจากที่อีเบลลีน่าเคยมาที่นี่ และในครั้งนี้พลังนั่นคงหายไปโดยสมบูรณ์ พลังศักดิ์สิทธิ์ที่หลงเหลืออยู่ที่นี่เป็นเพียงเศษตะกอนที่เหลืออยู่หลังจากที่อีริสดึงไปทั้งหมด

ทันทีที่ตระหนักได้ ฉันก็ยื่นมือออกไปหาพลังศักดิ์สิทธิ์ที่เหลือ เศษตะกอนที่ยังไม่ทันได้ไปหาอีริสนี้เป็นของที่จำเป็นแก่ฉันมากกว่าสิ่งใด ในตอนที่กำลังยื่นมือไปทางพลังศักดิ์สิทธิ์นั่นเอง

ฮวากกก!

จู่ๆ พลังศักดิ์สิทธิ์ที่สัมผัสปลายนิ้วก็ส่งเสียงดังและลุกโชนขึ้นอย่างแรงราวกับระเบิด

“อึก!”

แม้มันจะไม่ร้อน แต่เพราะลมที่พัดแรงและแสงเจิดจ้าที่แทบจะทำให้ตาบอดก็ทำให้ฉันต้องใช้แขนปิดใบหน้า

‘ทำไมถึงเป็นแบบนี้ล่ะ’

พลังศักดิ์สิทธิ์จะกลับมาไหมนะ ความหวังเล็กๆ ผลิบานอยู่ในซอกหนึ่งของหัวใจ

หากเป็นเช่นนั้น หากสามารถนำพลังศักดิ์สิทธิ์กลับมาได้ อย่างน้อยฉันก็ไม่ต้องสั่นในความมืดอย่างเช่นตอนนี้ ในตอนนั้นเอง

“…!”

มีเงาร่างของใครบางคนปรากฏขึ้นท่ามกลางเปลวเพลิงของพลังศักดิ์สิทธิ์ที่ลุกไหม้จนไม่อาจมองตรงได้ ฉันมองคนผู้นั้นด้วยแววตาตกใจ อีกฝ่ายก็พลอยมีสีหน้าตกใจราวกับเห็นฉัน

หญิงสาวเจ้าของดวงตาและเส้นผมสีดำที่ยาวจนถึงเอว ใบหน้าของนางซีดเผือดคล้ายว่าเหน็ดเหนื่อยเป็นอย่างมาก ร่างกายผอมแห้งเหมือนอดอาหารมาเป็นเวลานาน ทว่าดวงตาที่จ้องมองฉันกลับเปล่งประกายไปด้วยความอยากรู้อยากเห็นที่เหนือกว่าความตกใจและความหวาดกลัว

“อีริส…?”

ฉันรับรู้ได้ทันทีที่เห็น เป็นนาง

ตัวเอกของโลกใบนี้ คนที่จะได้ทุกอย่างไปอยู่ในมือ

ดวงตาของอีริสเบิกกว้างขึ้นทันทีที่ฉันเอ่ยเรียกชื่อ นางยื่นมือมาหาฉัน ฉันเองก็ยื่นมือไปหาอีริสเช่นกัน และก่อนที่มือทั้งสองจะแตะกันนั้น

พั่ก!

พลังศักดิ์สิทธิ์ที่ลุกไหม้หายไปในพริบตา ตอนนี้ตรงหน้าฉันเหลือเพียงเชื้อเพลิงที่เทียบไม่ได้กับกองไฟครู่ก่อนกำลังกระจัดกระจายอยู่ทั่ว

“ไม่นะ! พลังศักดิ์สิทธิ์!”

ฉันวิ่งไปอย่างเร่งรีบและจับเชื้อเพลิงที่ยังเหลืออยู่อย่างเอาเป็นเอาตาย ตอนนั้นเอง

“นี่…”

“…!”

ฉันหมุนตัวกลับไปด้วยความตกใจทันทีที่ได้ยินเสียงที่ดังขึ้นด้านหลัง ราธบันยืนอยู่ตรงนั้น

นี่ฉันมัวแต่จดจ่อสติอยู่กับพลังศักดิ์สิทธิ์ขนาดไหนกัน ถึงได้ไม่รู้สึกตัวว่าเขาตามหลังมา แขนที่กวัดแกว่งอยู่กลางอากาศเพื่อพยายามไขว่คว้าร่องรอยของพลังศักดิ์สิทธิ์ร่วงลง เขาเห็นทุกอย่าง ทั้งพลังศักดิ์สิทธิ์ที่ลุกไหม้ขึ้นก่อนจะหายไป ทั้งอีริสที่ปรากฏตัวขึ้นอีกฟากหนึ่งของพลังศักดิ์สิทธิ์

“ร ราธบัน นี่…”

“พลังศักดิ์สิทธิ์…หายไปหมดแล้วหรือ?”

“…!”