บทที่ 51.4 ท่านพ่อตาโกรธแล้วนะ (4)

สวินหยาง ยอดหญิงไร้พ่าย ภาค 2

ซูอี้ไม่ได้พูดออกมา ว่าความจริงเมื่อเขาได้รับข่าวนี้ สิ่งแรกที่เขาคิดถึงก็คือฮ่องเต้ เมื่อได้ยินดังนั้นจึงเพียงแต่ยิ้มออกมา “หากเป็นเขา เช่นนั้นเจ้ายิ่งต้องรีบกลับไป ครั้งนี้หากเจ้าไม่ทำตามคำสั่งของเขา ต่อไปจะพูดจาอันใดก็ไม่มีประโยชน์แล้ว”

 

“ข้ารู้สึกว่า การที่เขาใช้ทุกวิถีทางเพื่อบรรลุเป้าหมายเช่นนี้ ออกจะเชื่อมั่นในตัวเองมากไปหน่อย” เหยียนหลิงจวินตอบ

 

“ทำไม? เจ้าคิดว่าข้าเป็นแค่คนไม่เอาไหนจริงๆ ใช่ไหม? คิดว่าใครก็สามารถจัดการข้าได้หรือไงกัน?” ซูอี้ยังคงหัวเราะอย่างไม่อนาทร ราวกับมันไม่ใช่เรื่องใหญ่โต สุดท้ายก็ทำหน้าเคร่ง ก่อนจะเอ่ยว่า “เจ้าเอาเวลาไปคิดเถอะว่ากลับไปแล้วจะอธิบายกับพ่อตาเจ้าอย่างไร แม้เรื่องนี้จะไม่เกี่ยวกับเจ้า แต่ก็มีเจ้าเป็นต้นเหตุ เขายิ่งขึ้นชื่อว่ารักลูกสาวอย่างกับอะไรดี คอยดูเถอะ… จุ๊ๆ!”

 

แม้เขาจะทำทีหยอกล้อแต่ก็ไม่อาจสลายบรรยากาศแห่งความเคร่งเครียดที่มีอยู่ระหว่างสองคนได้

 

เหยียนหลิงจวินเพียงแต่มองหน้าเขา

 

หากเป็นฮ่องเต้ที่ยื่นมือเข้ามา เขายิ่งไม่วางใจในการเดินทางไกลของซูอี้ในครั้งนี้ อีกอย่าง…

 

การที่ฉู่สวินหยางถูกวางยาพิษ ยิ่งทำให้จิตใจของเขาสับสนว้าวุ่นหนัก

 

กลัวว่าคนผู้นั้นจะอับอายจนกลายเป็นความแค้น เมื่อมีครั้งแรกได้ ก็ย่อมมีครั้งที่สองได้เช่นกัน

 

“ไปเถิด ข้าไม่มีวันโทษว่าเจ้าเห็นสตรีดีกว่าสหายหรอก” ซูอี้หัวเราะอย่างร่าเริง “ถ้าเขาคิดจะเอาให้จงได้ ต่อให้เจ้าอยู่ ก็มีแต่จะซวยไปทั้งคู่เท่านั้น เจ้ากลับไปก่อน วันข้างหน้าอาจพอช่วยอะไรข้าได้”

 

เหยียนหลิงจวินกับซูอี้สามารถคบหากันเป็นการส่วนตัวได้ แต่ถ้าคิดจะคบกันอย่างร่วมเป็นร่วมตาย…

 

ฮ่องเต้คงไม่มีทางปล่อยให้ซูอี้รอด เขาก็เช่นเดียวกัน

 

เป็นอย่างที่ซูอี้พูดจริงๆ หากฮ่องเต้ต้องการให้เขาเดินเข้าไปในกลลวง เหยียนหลิงจวินรั้งอยู่ก็เพียงแต่จะมีคนตายเพิ่มอีกคนเท่านั้น ต่อให้ทั้งสองช่วยกันฝ่าฟันผ่านไปได้ สิ่งที่ตามมา พวกเขามีแต่จะถูกฮ่องเต้ไล่ล่าอย่างบ้าคลั่ง

 

คิดอย่างไร…

 

ก็เป็นการค้าที่ไม่มีกำไรอยู่ดี

 

ในใจของเหยียนหลิงจวินนั้นได้คิดใคร่ครวญเรื่องราวทั้งหมดไว้ดีแล้ว ในที่สุดเขาก็ยกยิ้มมุมปาก ยกมือขึ้นตบไหล่ของซูอี้ “เช่นนั้นเจ้าก็ดูแลตัวเองดีๆ รอดกลับมาได้แล้ว ข้าจะวางยาพิษเขาจนตาย เพื่อฉลองความสำเร็จให้เจ้า แต่ถ้าไม่กลับมา…”

 

เขาพูดแล้วก็หยุดไปครู่หนึ่ง จากนั้นรอยยิ้มจึงเปิดเผยมากขึ้นพร้อมกับพูดว่า “ข้าก็จะจัดการเขาเอง ถือเป็นการล้างแค้นแทนเจ้า”

 

“หึ…” ซูอี้เงยหน้าขึ้นหัวเราะครั้งหนึ่ง กลับพูดว่า “หากรู้ว่าเจ้าใจกว้างเช่นนี้ ก่อนออกมาข้าคงให้เจ้าใช้พิษฆ่าเขาไปแล้ว จะได้ไม่ต้องมายุ่งยากทีหลัง!”

 

ฮ่องเต้อยู่ในมือของเหยียนหลิงจวิน หากต้องการเอาชีวิตของเขานั้นเป็นเรื่องง่ายดายนัก เพียงแต่เมื่อเขาตายไปแล้วสิ่งที่จะตามมาต่อจากนั้นจะเป็นเช่นใดเล่า

 

ได้ล้อเล่นกันสองสามประโยค บรรยากาศถึงได้ผ่อนคลายขึ้น

 

เหยียนหลิงจวนปลดกระเป๋าผ้าใบหนึ่งบนหลังม้าโยนให้ซูอี้ และกล่าวว่า “รับเอาไว้ เวลาสำคัญสามารถนำมาใช้ห้ามเลือดได้”

 

พูดแล้วหันไปกล่าวกับอิ้งจื่อว่า “เจ้าติดตามเขาไปเถอะ ถึงเวลานั้นถ้าสู้ไม่ไหวจริงๆ ก็แบกเขากลับมาด้วย!”

 

พูดจบก็ไม่รอให้ซูอี้ตอบคำ เลี้ยวม้ากลับอย่างคล่องแคล่ว ฟาดแส้ใส่ทันที

 

เชินหลานรีบควบม้าติดตามไป

 

ซูอี้บังคับม้าให้อยู่กับที่ มองดูเงาของแผ่นหลังเล็กใหญ่ที่ค่อยๆ กลืนหายไปกับความมืด รอยยิ้มมุมปากจางไปอย่างช้าๆ ก่อนจะหายไปอย่างไร้ร่องรอย

 

“ไปเถอะ” สีหน้าของเขาพลันเคร่งขรึม ร้องเสียงดังว่า “ออกเดินทาง”

 

—————————–

 

ราชโองการลับของฮ่องเต้ถูกส่งมาก่อนแล้ว ก็เพื่อให้ฉู่ฉีเฟิงกับฉู่ฉีเหยียนได้เตรียมตัวให้พร้อมแต่เนิ่นๆ รอแค่ซูอี้มาถึง สองฝ่ายพูดคุยสรุปสั้นๆ สองคนก็นำกองกำลังสามพันนายเดินทางไปยังเมืองฉู่

 

กองทหารทางนี้ที่ซูอี้รับช่วงต่อ เขาเพียงอ่านรายงานดูคร่าวๆ ก็เข้าใจความสัมพันธ์ทั้งหมด

 

หลังจากคุมเชิงมาสองเดือนกว่า ทหารเรือที่ซูหังเคยมีอยู่ในมือหนึ่งแสนนาย ตอนนี้เหลือเพียงสองหมื่นกว่านายเท่านั้น

 

หากว่ากันตามจริงแล้ว ด้วยความสามารถของฉู่ฉีเหยียนและฉู่ฉีเฟิงเพียงคนใดคนหนึ่ง ถ้าต้องการจะสังหารซูหังก็สามารถทำได้ ทว่าในช่วงเวลาสุดท้ายนั้น ฮ่องเต้ได้ออกพระราชโองการอีกฉบับหนึ่ง ให้ทั้งสองคนต้องจับเป็นซูหังเท่านั้น แล้วพาเขากลับไปสอบสวนยังเมืองหลวง

 

เมื่อเป็นเช่นนี้ ระดับความยากจึงเพิ่มขึ้น

 

ซูอี้ไม่รู้ว่าฉู่ฉีเฟิงกับฉู่ฉีเหยียนคิดอย่างไร แต่เขารู้ดี ฮ่องเต้เหลือหมากตัวสุดท้ายไว้…

 

เพื่อที่จะใช้จัดการกับเขา!

 

หากไม่ใช่ครั้งนี้เมืองฉู่เกิดเรื่องขึ้นพอดี น่าจะอีกไม่นาน เขาคงจะเปลี่ยนตัวฉู่ฉีเฟิงกับฉู่ฉีเหยียนออกจากการบัญชาทัพโดยอ้างว่าสองคนทำได้ไม่ดีพอ และอย่างไรก็คงต้องส่งตนเองมาแนวหน้าอยู่ดี

 

ซูอี้พลิกอ่านรายงานการศึกทั้งวัน เมื่อมาถึงค่ายทหารในวันแรก ทั้งวันนอกจากจะออกไปพบเจิ้งตั๋วแล้ว ก็ไม่ได้ออกไปนอกกระโจมอีก แม้คนข้างกายก็ถูกไล่ให้ออกไปด้วย มีเพียงทหารคนสนิทที่เข้าไปส่งอาหารมื้อเย็น จากนั้นภาพที่ทุกคนเห็นสะท้อนอยู่บนผ้ากระโจม ก็คือเงาของซูอี้ที่นั่งพลิกอ่านรายงานการศึกอยู่แบบนั้น

 

กลางดึกยามสอง

 

แม้จะเข้าสู่ช่วงเดือนหก แต่ลมริมแม่น้ำก็ยังพัดความชื้นเข้ามา ให้ความรู้สึกหนาวเมื่อโชยผ่านร่างคน

 

นายทหารที่เข้าเวรยามดึกต่างพากันดึงเสื้อผ้าให้แนบกายมากขึ้น แต่ต่อให้เป็นลมหนาวบางๆ ก็ยังยากที่จะทำให้คนเอาชนะความง่วงได้ แต่ละคนจึงได้แต่ค้ำทวนในมืองีบหลับไป

 

ช่วงเวลานี้ ทหารฝ่ายตรงข้ามนั้นพ่ายแพ้บนสนามรบครั้งแล้วครั้งเล่า เหล่าทหารเสียขวัญและกำลังใจ ดังนั้นเมื่อเทียบกันแล้ว กองทัพของราชสำนักจึงค่อนข้างผ่อนคลาย ไม่ได้ระแวดระวังกันเท่าใดนัก

 

ด้านนอกกระโจมใหญ่ของซูอี้มีทหารยามสามชั้น ยามดึกเงียบสงัด รอบนอกทหารลาดตระเวนเดินผ่านไปอย่างรวดเร็วรอบหนึ่ง

 

ทหารที่อยู่ห่างจากกระโจมใหญ่ราวสิบจั้งเงยหน้าขึ้นมองครั้งหนึ่ง จากนั้นยืนค้ำทวนในมือของตนงีบหลับต่อไป

 

หลังจากทหารยามชุดนั้นเดินผ่านไป ราตรีที่เงียบสงัดก็กลับคืนมาอีกครั้ง

 

เวลาผ่านไปอีกหนึ่งก้านธูป ทหารอีกชุดหนึ่งก็เดินมาจากอีกด้านแล้วเดินผ่านไป

 

เป็นเช่นนี้อยู่หลายครั้ง ทหารยามทั้งหมดจึงไม่ใส่ใจแล้ว

 

ในยามที่ทุกอย่างดูเหมือนจะปกติที่สุด ข้างนอกจากสถานที่ค่อนข้างไกล กระโจมที่อยู่ติดกับกระโจมของแม่ทัพพรมบนพื้นค่อยๆ ถูกมีดแหลมกรีดให้แยกออกเป็นทาง จากนั้นมีธนูดอกหนึ่งสอดเข้าไป กระจะเปล่งประกายคมกริบเมื่อกระทบกับแสงจันทร์

 

หลังจากลาดตระเวนอยู่นอกกระโจมของซูอี้หลายครั้ง ก็ได้พบกับตำแหน่งที่ดีที่สุด คนผู้นั้นบังคับทิศทางของลูกธนูอย่างไม่รีบร้อน เล็งไปยังตำแหน่งที่เหมาะสม

 

สวบ…

 

ท่ามกลางราตรีอันมืดมิดและเงียบสงบ มีเสียงจากของมีคมกรีดผ่านสายลมออกไป

 

ทหารยามที่กำลังง่วงงุนพลันรู้สึกตัวตื่นขึ้นทันที ได้ยินเสียงอะไรบางอย่างพุ่งผ่านกระโจมหนัง จากนั้นก็มีเสียงร้องดังออกมาจากด้านในของกระโจม

 

นาทีถัดมา เงาร่างที่นั่งอยู่หลังโต๊ะหนังสือในกระกระโจมนั้นก็ค่อยๆ ฟุบลงกับโต๊ะ

 

“ผู้บุกรุก! มีผู้บุกรุก!” ไม่รู้เป็นใครที่ร้องตะโกนขึ้นมากลางอากาศ ทันใดรอบข้างก็ระเบิดการเคลื่อนไหว มีคนพุ่งเข้าไปในกระโจม ร้องตะโกนเสียงดัง “ท่านหมอ รีบหาท่านหมอ แม่ทัพซูถูกยิง”

 

มีคนวิ่งอยู่รอบๆ ด้านนอก “ปิดประตูค่าย จับตัวผู้บุกรุก!”

 

ชั่วพริบตา ค่ายทหารที่เงียบสงบเมื่อสักครู่พลันระเบิดความชุลมุนออกมา ทุกคนตื่นตระหนกตกใจ ต่างร้องเรียกกันให้วุ่นวายไปหมด

 

เจิ้งตั๋วที่สวมอาภรณ์เสร็จแล้วรีบเข้ามาในกระโจมด้วยสีหน้าดำคล้ำ ท่ามกลางความสับสนวุ่นวายมีคนยกเปลหามเข้ามา จากนั้นท่านหมอจึงเข้าไปเดินๆ เพียงรอบหนึ่ง แต่ละคนที่ออกมานั้นต่างถอนหายใจด้วยใบหน้าซีดขาว ก่อนจะล่าถอยออกไป

 

————————————————