บทที่ 181 ช่องเขาเมฆามรกต

บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน [符皇]

บทที่ 181 ช่องเขาเมฆามรกต

บทที่ 181 ช่องเขาเมฆามรกต

“ผีเสื้อเงาหิมะเหล่านี้อาศัยอยู่ร่วมกันเป็นฝูงและมีความเร็วที่น่าสะพรึงกลัวยิ่งนัก ถ้าหากพวกมันบุกเข้ามาอย่างพร้อมเพรียงกันละก็…” เฉินซีไม่รู้จะกล่าวอะไรในทันที

“ยิ่งไปกว่านั้น…” หลิงไป๋กลืนน้ำลายเต็มปากด้วยความยากลำบาก ราวกับสิ่งที่จะกล่าวต่อไปนี้ยากที่จะพูดถึง

เฉินซีมีลางสังหรณ์ไม่ดีในทันที ก่อนเขาจะถามขึ้น “ยิ่งไปกว่านั้น อะไรหรือ?”

หลิงไป๋กัดฟันและกล่าวว่า “ยิ่งไปกว่านั้น สถานที่ที่มีผีเสื้อเงาหิมะอยู่ ย่อมมีด้วงวิญญาณมืดเช่นกัน แมลงที่น่ารังเกียจเหล่านี้มีความแข็งแกร่งทางกายภาพและการป้องกันที่น่าตกตะลึงจนสุดแสนจะบรรยาย ซึ่งมันอยู่ในอันดับที่สามสิบเจ็ดของแผนภูมิแมลงพิษทั้งหนึ่งร้อยอันดับ และอยู่สูงกว่าผีเสื้อเงาหิมะถึงสองอันดับ”

“อาจกล่าวได้ว่า หากเราเดินลึกเข้าไปอีก เป็นไปได้ที่เราจะถูกโจมตีจากผีเสื้อเงาหิมะและด้วงวิญญาณมืดหรือ?” ใบหน้าของเฉินซีไม่น่าดูเป็นอย่างยิ่ง

หลิงไป๋พยักหน้าอย่างจริงจัง

ทันใดนั้น ใบหน้าของเฉินซีที่ดูไม่ค่อยดีอยู่แล้ว กลับไม่น่าดูยิ่งขึ้นไปอีก เขาที่ปกติจะสงบและสุขุม เกือบจะไม่อาจระงับคำสาปแช่งที่หลั่งไหลออกมาได้

“ด้วงวิญญาณมืดมีจุดอ่อนหรือไม่?” เฉินซีหายใจเข้าลึก ๆ แล้วเอ่ยถาม

“การป้องกันของพวกมันเปรียบได้กับสมบัติวิเศษระดับปฐพี และจุดอ่อนที่เดียวคือดวงตาของพวกมัน แต่ดวงตาของพวกมันก็เล็กยิ่งนัก เล็กจนแทบเท่าเมล็ดถั่วเขียว ยิ่งไปกว่านั้น ด้วงวิญญาณมืดมักจะเป็นผู้คุ้มกันของผีเสื้อเงาหิมะ ตัวหนึ่งที่มีความเร็วเป็นพิเศษจะคอยรับผิดชอบเรื่องการโจมตี ส่วนอีกตัวที่มีการป้องกันที่น่าเกรงขามจะรับผิดชอบด้านการป้องกัน” หลิงไป๋ถอนหายใจและกล่าวว่า “ด้วยการร่วมมือเช่นนี้ เจ้าคิดว่าพวกมันไม่น่ารังเกียจหรอกหรือ?”

หนึ่งเดือนต่อมา

หลังจากที่เฉินซีฆ่าด้วงวิญญาณมืดตัวสุดท้าย เขาก็ล้มลงไปนั่งกับพื้นทันทีและเริ่มหายใจอย่างเหนื่อยหอบ ร่างกายของเขาเต็มไปด้วยรอยแผลเป็นที่ตัดขวางทั้งแนวนอนและแนวตั้ง และมีเลือดสด ๆ ไหลรินออกมา จนเปรอะเปื้อนเสื้อผ้าที่ขาดวิ่นของเขา รวมถึงสิ่งสกปรกต่าง ๆ จึงทำให้เขามีสภาพไม่น่าดูเป็นอย่างยิ่ง

อย่างไรก็ตาม ท่าทางของเขากลับสงบและลึกล้ำถึงขีดสุด ในช่วงเดือนที่ผ่านมานี้ เขาเผชิญกับการโจมตีทั้งน้อยใหญ่จากผีเสื้อเงาหิมะและด้วงวิญญาณมืดมากกว่าสิบครั้ง การโจมตีขนาดเล็กมีจำนวนไม่กี่สิบครั้ง ในขณะที่การโจมตีขนาดใหญ่มีจำนวนหลายพันครั้ง และการได้รับบาดเจ็บระหว่างการต่อสู้อันยากลำบากติดต่อกันถือว่าเป็นเรื่องปกติ

ในตอนนี้ พื้นที่ทั้งหมดเบื้องหน้าเขาถูกปกคลุมไปด้วยชิ้นส่วนที่ถูกตัดขาดของผีเสื้อเงาหิมะและด้วงวิญญาณมืด ส่วนหลิงไป๋กำลังรวบรวมวัสดุที่ยังพอมีประโยชน์อยู่

ปีกของผีเสื้อเงาหิมะและเปลือกของด้วงวิญญาณมืด เป็นวัสดุขัดเกลาอุปกรณ์ที่ล้ำค่าและหายาก ในหมู่พวกมัน ปีกของผีเสื้อเงาหิมะเป็นวัสดุหลักในการขัดเกลาสมบัติวิเศษประเภทบินได้ระดับสวรรค์ที่ถูกเรียกว่า ‘ปีกวิญญาณวายุ’ และมูลค่าของมันก็น่าตกตะลึงเป็นอย่างยิ่ง ถึงแม้ว่าเฉินซีจะไม่สามารถใช้มันได้ แต่เขาก็สามารถแลกเปลี่ยนมันเป็นวารีวิญญาณได้อยู่ดี

อันที่จริง ตลอดเส้นทางภายในรอยแยกแห่งนี้ พวกเขาทั้งสองได้รวบรวมวัสดุมากมายที่มีค่ามหาศาล และแต่ละชิ้นล้วนเป็นสมบัติของสวรรค์และโลก ซึ่งมีค่าเทียบเท่ากับก้อนเหล็กของเทพเจ้าเสวียนอู่

ยกตัวอย่างเช่น ศิลาดาราหลากสี เถาเกาทัณฑ์สีขาว รากล่องมรสุม เป็นต้น พวกมันล้วนเป็นทั้งวัสดุในการขัดเกลาสมบัติวิเศษระดับสวรรค์ หรือวัตถุวิญญาณสำหรับกลั่นเม็ดยาระดับสวรรค์ และถ้าพวกมันถูกนำเข้าสู่ตลาดของโลกภายนอก มูลค่าของพวกมันก็จะสามารถแลกเปลี่ยนได้อย่างมหาศาล

หลังจากพักผ่อนเป็นเวลาหนึ่งชั่วยามครึ่ง เฉินซีก็ลุกขึ้นยืนและออกเดินทางอีกครั้ง

ในระหว่างเดินผ่านรอยแตกจนถึงตอนนี้ เฉินซีและหลิงไป๋ก็ไม่มีทางให้ถอยกลับ จึงทำได้เพียงมุ่งหน้าต่อไปและต่อสู้อย่างไม่หยุดหย่อนเพื่อหาทางออกเท่านั้น เพราะเขารู้สึกได้ว่าลมที่พัดมาจากรอยแยกนั้นแรงขึ้นเรื่อย ๆ แสดงว่าเขาเกือบใกล้จะถึงทางออกแล้ว

ผ่านไปอีกครึ่งเดือน

ในช่วงเวลาครึ่งเดือนมานี้ เฉินซีและหลิงไป๋ไม่ได้พบกับผีเสื้อเงาหิมะและด้วงวิญญาณมืดอีกเลย ดูเหมือนว่าพวกมันจะถูกกำจัดจนหมดสิ้น แต่พวกเขาก็ได้พบกับสัตว์อสูรตัวอื่นอีกหลายสิบตัว และพวกมันล้วนมีชื่อเสียงอยู่ในแผนภูมิแมลงพิษทั้งหนึ่งร้อยอันดับ ยกตัวอย่างเช่น ต่อนรกทมิฬที่อยู่ในอันดับที่ยี่สิบสาม และกิ้งกือเปลือกสีชาดที่อยู่ในอันดับที่สิบเก้า สัตว์อสูรเหล่านี้ทั้งหมดได้ตายอย่างอนาถภายใต้น้ำมือของเฉินซีและหลิงไป๋

ผ่านไปหนึ่งเดือนครึ่งแล้ว ตั้งแต่เฉินซีเข้ามาในรอยแยกนี้มันถือว่าไม่นานเกินหรือสั้นไป แต่สำหรับเฉินซีกับหลิงไป๋ ผู้ผ่านประสบการณ์การฆ่าฟันอันนองเลือดอย่างมากมาย กลับรู้สึกราวว่าเวลาผ่านไปเนิ่นนาน และความแข็งแกร่งของพวกเขาก็ก้าวหน้าขึ้นอย่างก้าวกระโดด โดยเฉพาะเฉินซี กระบวนท่ากระบี่อันยิ่งใหญ่ทั้งแปดของคัมภีร์กระบี่หมื่นบรรจบ ได้รับการขัดเกลาจนสมบูรณ์แบบและเขาก็สามารถใช้งานมันได้อย่างสะดวก ยิ่งไปกว่านั้นเต๋าแห่งกระบี่บางส่วนในบรรดาเต๋าแห่งกระบี่ที่ยิ่งใหญ่ทั้งแปด ก็มีร่องรอยของการผสานกันอยู่บ้าง

ในตอนนี้ รูปลักษณ์ภายนอกของเขายังคงสงบนิ่งอย่างเช่นเคย แต่เมื่อใดที่การต่อสู้เกิดขึ้น ร่างของเขาจะกลายเป็นดุร้ายและรวดเร็วซึ่งแฝงด้วยเจตนาฆ่าอันเข้มข้น ราวกับกระบี่แหลมคมที่คอยดื่มเลือดสด ๆ จำนวนนับไม่ถ้วนในทันที ท่าทางที่องอาจของเฉินซีก็เพียงพอที่จะทำให้ผู้อื่นต้องตกใจจนแทบตาย และเมื่อเขาอยู่ในการต่อสู้ ก็เป็นดั่งเทพแห่งความตายที่ไม่มีผู้ใดเทียบเคียงได้!

นี่คือเจตจำนง อิริยาบถที่องอาจ และประสบการณ์ที่ขัดเกลาด้วยการเข่นฆ่าและนองเลือดอย่างต่อเนื่องเท่านั้น

ภายในรอยแยกที่มืดสนิท เฉินซีและหลิงไป๋พุ่งไปข้างหน้าโดยไม่เร่งรีบ อย่างไรก็ตาม จิตใจของเฉินซีไม่ได้ตึงเครียดอีกต่อไปแล้ว เนื่องจากตลอดทางมานี้ สัตว์อสูรที่พวกเขาพบก็ค่อย ๆ ลดลงเรื่อย ๆ และบางครั้งก็แทบไม่พบกับสัตว์อสูรแม้แต่สักตัวตลอดทั้งวัน

เขากำลังครุ่นคิดอยู่เรื่องเดียว หลังจากประสบกับการต่อสู้ในวันที่ผ่านมา ความแข็งแกร่งในการต่อสู้ของเขาได้เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง แต่มันก็มาถึงขีดจำกัดแล้ว และถ้าเขาต้องการที่จะก้าวหน้าไปมากกว่านี้ เขาจะต้องบรรลุไปสู่ขอบเขตการบ่มเพาะขั้นต่อไป

ทว่ามันก็ช่างน่าเสียดาย หลังจากที่เขาบรรลุสู่ขอบเขตเคหาทองคำจนกระทั่งตอนนี้ แม้ว่าปราณแท้ภายในห้วงทะเลสาบอินทนิลของเขาจะกว้างใหญ่ขึ้นเรื่อย ๆ แต่ก็ไม่สามารถผ่านการเปลี่ยนแปลงได้จนถึงตอนนี้

สิ่งนี้เกิดจากการขาดแคลนของปราณหยินและปราณหยาง

มีเพียงการใช้ปราณหยินและปราณหยางเพื่อขัดเกลาปราณแท้ของเขาเท่านั้น จึงจะทำให้ความแข็งแกร่งของเขาสามารถก้าวข้ามไปได้ หลังจากนั้น เขาก็จะมีความหวังที่จะทะลวงเข้าสู่ขอบเขตแกนทองคำหยินหยาง ดังนั้น สิ่งสำคัญที่สุดในยามนี้คือการไปยังห้วงทะเลทรายมรณะและค้นหาปราณหยางนพเก้าล้ำลึกที่มีคุณภาพสูงสุดเป็นการด่วน

ในทางกลับกัน ในระหว่างการต่อสู้และการบ่มเพาะของวันที่ผ่านมา การบ่มเพาะแปรสภาพร่างกายของเขาได้มาถึงจุดสิ้นสุดของการพัฒนาแล้ว และเขาต้องการเพียงปัจจัยเดียวเท่านั้น เพื่อจะบรรลุสู่ขอบเขตเคหาทองคำได้อย่างง่ายดาย

“เฉินซี! ดูเหมือนว่าจะมีร่องรอยความผันผวนของปราณแท้อยู่ที่ข้างหน้า…” ท่ามกลางความมืด หลิงไป๋กล่าวออกมาอย่างกะทันหัน และน้ำเสียงของเขาก็มีร่องรอยความตื่นเต้นที่ยากจะปกปิด ตลอดช่วงหนึ่งเดือนครึ่งมานี้ การเข่นฆ่าอย่างต่อเนื่องทำให้หลิงไป๋เหนื่อยล้าเป็นอย่างมาก และดูเหมือนว่าเขาได้ตกอยู่ในสถานการณ์ที่สิ้นหวัง ซึ่งไม่มีแม้กระทั่งแสงแดดที่สามารถส่องผ่านความมืดมิดเลยแม้แต่น้อย มันจึงทำให้เขาต้องตื่นตัวอยู่ตลอดเวลา โดยไม่รู้ว่าสถานการณ์เช่นนี้จะจบลงเมื่อใด

เฉินซีตกตะลึงเล็กน้อย และได้สติขึ้นมาจากความคิดอันลึกซึ้งของเขา จากนั้นจึงใช้ญาณศักดิ์สิทธิ์กวาดออกไป เมื่อมันสัมผัสได้ถึงความผันผวนของปราณแท้ ทำให้เขามีความสุขในทันที และเขาได้พุ่งไปข้างหน้าด้วยความเร็วที่มากขึ้นกว่าเดิม

ในพื้นที่โล่งที่ปกคลุมไปด้วยหมอกวิญญาณ ผู้บ่มเพาะกว่าสิบคนกำลังล้อมรอบสัตว์ร้ายขนาดมหึมาพร้อมกับเปิดการโจมตีใส่มัน

สัตว์ร้ายตนนี้มีขนาดเท่ากับเนินเขาเล็ก ๆ หัวของมันเหมือนเสือที่มีดวงตาสีแดงเข้มคู่หนึ่ง ร่างกายของมันปกคลุมด้วยเกราะเกล็ด กรงเล็บที่แหลมคมของมันก็เหมือนกับดาบที่ไม่มีฝักซึ่งมีความยาวทั้งหมดราวสิบสองฉื่อ อีกทั้งยังส่องประกายราวกับโลหะที่เยียบเย็น ยิ่งไปกว่านั้น หางอันน่าสยดสยองของมันก็หนาเหมือนถังน้ำที่ปกคลุมด้วยตะขอ และห่อหุ้มไปด้วยปราณเยือกเย็นที่น่าสะพรึงกลัว หากมันกวาดไปโดนผู้ใดสักคน จุดจบที่น่าเศร้าของผู้นั้นก็คือ เนื้อหนังจะถูกฉีกกระชากเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย

“ทุกคน กดดันมันมากขึ้นกว่านี้! พยัคฆ์เกราะเกล็ดทมิฬนี้ไม่อาจยืนหยัดไปได้นานมากกว่านี้แล้ว” ที่ด้านนอกของกลุ่มผู้บ่มเพาะ มีหญิงสาวในชุดสีม่วงยืนอยู่ หญิงสาวคนนี้มีทรวดทรงราวกับนาฬิกาทรายที่สง่างามและได้สัดส่วนที่ดี รูปร่างหน้าตาของนางก็งดงามเป็นอย่างมาก แต่มุมปากที่โค้งงอเล็กน้อยของนางเผยให้เห็นร่องรอยความเย่อหยิ่ง

ผู้บ่มเพาะเหล่านี้ ไม่ว่าผู้เยาว์หรือผู้ใหญ่ล้วนมีการบ่มเพาะที่ขอบเขตเคหาทองคำ และพวกเขากำลังควบคุมสมบัติวิเศษระดับล้ำลึกต่าง ๆ เพื่อผสานการโจมตีใส่พยัคฆ์เกราะเกล็ดทมิฬ การโจมตีที่ทรงอานุภาพหลายครั้งของพวกเขา ได้บีบให้สัตว์อสูรบรรพกาลต้องล่าถอยอย่างต่อเนื่อง ทำให้เกราะเกล็ดของมันที่แข็งเหมือนเหล็กกล้าได้รับความเสียหายอย่างสิ้นเชิง ในขณะที่เลือดของมันหลั่งไหลลงมาดั่งน้ำพุที่พุ่งออกไป

“น้องจื่อเซวียนไม่ต้องกังวลไป เจ้าสัตว์ร้ายตัวนี้ไม่อาจหลบหนีในครั้งนี้ได้อย่างแน่นอน” ชายหนุ่มที่สวมชุดสีขาวแย้มยิ้ม ขณะที่เขาแทงพัดด้ามจิ๋วในมือไปที่พยัคฆ์เกราะเกล็ดทมิฬอย่างดุดัน เมื่อมันแทงออกไปก็เป็นดั่งกระบี่คมกริบจนเกิดรูเลือดมากมายที่ร่างของสัตว์ร้าย ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความแข็งแกร่งที่ทรงพลังเป็นอย่างยิ่งของเขา

แท้จริงแล้ว ผู้บ่มเพาะขอบเขตเคหาทองคำทั้งสิบกว่าคนเหล่านี้ ถูกนำโดยชายหนุ่มที่สวมชุดขาว ในขณะที่พวกเขาสร้างวงล้อมเป็นวงกลมสองวงปิดล้อมพยัคฆ์เกราะเกล็ดทมิฬ และหากไม่มีชายหนุ่มที่สวมชุดขาวเป็นแกนหลัก พวกเขาก็คงไม่สามารถทำร้ายอสูรตัวนี้ ด้วยการบ่มเพาะขอบเขตแกนทองคำหยินหยางอย่างสิ้นเชิง

หญิงสาวในชุดสีม่วงที่ถูกเรียกว่าจื่อเซวียน แย้มยิ้มขณะที่นางพยักหน้า ชายหนุ่มในชุดขาวคนนั้นมีชื่อว่า ‘หานเหวินจวิน’ ซึ่งเป็นสหายที่ดีที่สุดของนางตั้งแต่เด็ก และอาจถือได้ว่าพวกเขาเติบโตมาด้วยกัน

“คุณหนู ในระหว่างการที่เข้าสู่ภายในช่องเขาเมฆามรกตครั้งนี้ เราสามารถรวบรวมวัตถุดิบวิญญาณต่าง ๆ ได้ถึงหนึ่งร้อยสามสิบจิน ในหมู่พวกมันก็มีวัสดุยี่สิบหกชิ้นที่เป็นสมบัติอันล้ำค่าของสวรรค์และโลก อีกทั้งยังมีวัสดุอื่น ๆ อีกมากมาย…” หญิงสาวร่างเล็กที่อยู่ด้านข้างของจื่อเซวียน มองไปที่ถุงร้อยสมบัติของนางขณะที่กล่าวอย่างรวดเร็ว

“ยี่สิบหกชิ้นเองหรือ? เหตุใดถึงน้อยยิ่งนัก เซี่ยวจวินเจ้าดูไม่ผิดใช่ไหม?” จื่อเซวียนหันเหความสนใจของนางออกจากสนามรบและขมวดคิ้วขณะที่นางกล่าว

ช่องเขาเมฆามรกต เป็นช่องเขาที่ครอบคลุมระยะทางกว่าหมื่นลี้ ยิ่งไปกว่านั้นมันยังถูกล้อมรอบด้วยชั้นของข้อจำกัดที่ทรงพลังเป็นอย่างยิ่ง โดยบรรพบุรุษผู้ทรงอำนาจของจื่อเซวียน ทำให้แม้แต่ผู้บ่มเพาะ ขอบเขตเซียนปฐพี ก็ไม่สามารถเข้าไปได้หากไม่มีตราคำสั่งมาจากตระกูลของนาง

อย่างไรก็ตาม เมื่อใช้งานตราคำสั่ง ก็จะสามารถเข้าได้เพียงครั้งเดียวในทุก ๆ หนึ่งร้อยปี และอยู่ได้เพียงครึ่งเดือนเท่านั้น หากไม่ออกไปก่อนระยะเวลาที่กำหนด ก็จะต้องรอไปอีกหนึ่งปีจึงจะสามารถจากไปได้ เนื่องจากสิ่งนี้คือข้อจำกัดและไม่มีทางสามารถเปลี่ยนแปลงมันได้

ภายในช่องเขาเมฆามรกตนี้ มีปราณวิญญาณของสวรรค์และโลกอยู่มากมายมหาศาล มันหนาแน่นจนดูเหมือนกับเมฆหมอก และวัตถุวิญญาณต่าง ๆ ก็เติบโตขึ้นอยู่ภายใน ในบรรดาวัตถุวิญญาณเหล่านี้ ล้วนเป็นสิ่งหายากอันล้ำค่าของสวรรค์และโลกที่ขาดหายไป ซึ่งก็เหมือนกับดินแดนแห่งสมบัติที่สวรรค์ประทานมาให้ ทว่าภายในช่องเขาเมฆามรกตนั้นกลับไม่ปลอดภัย และมีสัตว์อสูรมากมายที่มีพละกำลังที่น่าเกรงขามเดินเตร็ดเตร่ไปมา

นี่เป็นครั้งแรกที่จื่อเซวียนได้เข้ามาในที่แห่งนี้เช่นกัน ดังนั้นนางจึงนำผู้คุ้มกันไม่กี่สิบคน ที่มีการบ่มเพาะขอบเขตเคหาทองคำติดตามมาด้วย อีกทั้งยังเชิญหานเหวินจวิน ผู้เป็นสหายที่ดีที่สุดของนาง ดังนั้นการเตรียมการของนางอาจกล่าวได้ว่าเพียงพอถึงขีดสุด

แต่ในช่วงเจ็ดวันที่ผ่านมานี้ นางกลับรวบรวมวัตถุวิญญาณที่เป็นสมบัติล้ำค่าได้เพียงยี่สิบสามชิ้น ซึ่งเกินความคาดหมายของนางเป็นอย่างมาก เพราะตามคำบอกเล่าของบิดาของนาง เมื่อครั้งที่พวกเขาได้เข้าสู่ช่องเขาเมฆามรกตเมื่อหนึ่งร้อยปีก่อน ตระกูลของพวกเขาได้รับวัตถุวิญญาณที่เป็นสมบัติล้ำค่าของสวรรค์และโลกมากกว่าหนึ่งร้อยชิ้น!

“คุณหนู เหตุใดท่านไม่ลองดูซะเองเลยเล่าเจ้าคะ” เซี่ยวจวินตอบกลับ

‘หรือว่ามีการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นภายในช่องเขาเมฆามรกต?’ จื่อเซวียนโบกมือของนางและกล่าวพร้อมกับขมวดคิ้วด้วยท่าทางที่ครุ่นคิด “ไม่จำเป็น” นางไม่ได้สังเกตว่าศีรษะของข้ารับใช้หญิงตัวน้อยของนางก้มต่ำลงและดวงตาของนางก็สั่นไหวระริกอย่างมิอาจควบคุม

“โฮก!” ในขณะนี้ พยัคฆ์เกราะเกล็ดทมิฬที่กำลังจะตายได้คำรามอย่างกะทันหัน เสียงของมันสั่นสะเทือนไปทั้งสวรรค์และโลก ร่างกายของมันที่เป็นดั่งเนินเขาเล็ก ๆ ในตอนนี้ อาการบาดเจ็บทั่วร่างกายก็ค่อย ๆ หายไปทีละน้อยก่อนที่จะฟื้นตัวอย่างสมบูรณ์ ยิ่งไปกว่านั้น กลิ่นอายที่องอาจบนร่างกายของมันไม่ได้ลดลงเลยแม้แต่น้อย แต่กลับทะยานสูงขึ้นเป็นสามเท่าจากก่อนหน้านี้ ทำให้มันเกรี้ยวกราดและดุร้ายถึงขีดสุด!

ผู้บ่มเพาะขอบเขตเคหาทองคำทั้งสิบกว่าคน ที่อยู่โดยรอบต่างก็ตกตะลึงทันที มันเกิดอะไรขึ้น? หรือว่าสัตว์ร้ายตัวนี้ปกปิดความแข็งแกร่งของมันมาตลอด?

พยัคฆ์เกราะเกล็ดทมิฬจึงได้ฉวยโอกาสนี้โจมตีใส่ มันกระทืบพื้นลงไปอย่างรุนแรงทันที ทำให้หางยาวสี่จั้งที่หนาเหมือนถังน้ำฟาดออกไปราวกับแส้ในมือของเหล่าทวยเทพ ซึ่งแฝงไปด้วยความดุดันและความรุนแรงขณะที่มันพุ่งเข้าหาจื่อเซวียน!

บัดซบ!

จื่อเซวียนไม่เคยคิดมาก่อนว่าเหตุการณ์เช่นนี้จะปรากฏขึ้นจริง ๆ และนางก็ไม่ทันได้ตั้งตัว ทำให้มันสายเกินไปที่จะหลบหลีก แล้วจะนับประสาอะไรกับการต่อต้านการโจมตีที่กำลังมาถึง

‘หรือว่าคราวนี้ข้าจะต้องตายอยู่ที่นี่? ด้วยภัยพิบัติที่กำลังจะเกิดขึ้น’ จื่อเซวียนทำได้เพียงหลับตาขณะที่นางจมอยู่ในความกลัวที่จะต้องตาย

ในอีกด้านหนึ่ง เมื่อหานเหวินจวินเห็นฉากนี้ มุมปากของเขาก็แย้มยิ้มเย็นชาและดูอิ่มเอมใจ ราวกับว่าเขาคาดหวังถึงเหตุการณ์นี้ไว้แล้ว!

ปัง!

เพียงชั่วพริบตา รอยยิ้มเย็นที่มุมปากของหานเหวินจวินกลับแข็งค้าง เนื่องจากในขณะที่หางของพยัคฆ์เกราะเกล็ดทมิฬกำลังจะฟาดใส่จื่อเซวียน กลับมีเงาร่างหนึ่งทะยานผ่านท้องฟ้าอย่างรวดเร็วราวกับสายฟ้าฟาด และเพียงพริบตาเดียว ร่างนั้นได้ปรากฏขึ้นข้างกายจื่อเซวียน หลังจากนั้น ก็ฟันออกไปด้วยกระบี่ของเขา ซึ่งมันเฉือนหางของพยัคฆ์เกราะเกล็ดทมิฬออกเป็นสองส่วนได้อย่างง่ายดาย!