ตอนที่ 13 - 4 พบพานกันในคุก?

เขาสั่งให้ข้าเป็นราชินี [ส่วนที่ 2]

ภายในอุโมงค์ เหยียลี่ว์ฉียิ้มเยาะกอดอกมองดู

 

 

การขุดหลุมขุดอุโมงค์ตั้งแต่ไหนแต่ไรมา ขุดแนวขวางก่อนแล้วขุดแนวตั้ง เขาเดาว่าเจ้าคนข้างบนจะต้องดึงต้นหญ้าออกมาโยนคืนให้เขาอย่างแน่นอน ฉะนั้นจึงหลบอยู่ภายในอุโมงค์แนวขวางเนิ่นนานแล้ว ขุดหลุมหนึ่งหลุมข้างล่างอุโมงค์แนวตั้ง มดตะขาบงูหนูเหล่านั้นก็ร่วงลงไปในหลุมดังเพียะๆ ทำร้ายเขาไม่ได้ด้วยซ้ำ

 

 

เขานั่งยองลง คว้างูพิษหลายตัวออกมา ถอนเขี้ยวพิษออก แล้วหยิบเขี้ยวพิษไว้ในมือ

 

 

รอให้สิ่งของสับสนวุ่นวายเหล่านั้นร่วงลงมาหมดสิ้น เขามองดูโพรงที่โผล่ออกมาข้างบน สว่างวูบหนึ่งแล้วมืดมิด

 

 

พอมืดมิดแล้ว เรือนร่างของเขาก็เฉียดออกมาจากแนวดิ่ง เขี้ยวพิษในมือพุ่งทะลุโพรงออกไป!

 

 

รอให้แมลงหนูงูมดร่วงหล่นจนหมดสิ้น คนที่ดึงสมุนไพรออกไปย่อมต้องชะโงกหน้ามองลงมายังปากอุโมงค์ อุดปากอุโมงค์แล้วถึงจะจากไป

 

 

ยามที่อุดอุโมงค์ ใบหน้าต้องอยู่ข้างบนปากอุโมงค์เป็นแน่

 

 

ครู่หนึ่งนี้เอง

 

 

เขี้ยวพิษพลันพุ่งออกมา!

 

 

แม้แต่จิ่งเหิงปัวยังได้ยินเสียงลมจากอุโมงค์ทะลุใต้ดินแล้ว!

 

 

เจ้าคนที่อยู่ข้างบนนั้นพลันกระแทกก้อนหินที่หยิบลงมาถือไว้ในมือโดยตลอดก้อนนั้นลงบนปากอุโมงค์!

 

 

รวดเร็วปานสายฟ้าแลบ!

 

 

เสียง เพียะๆ! ดังขึ้นหลายเสียง เขี้ยวพิษโจมตีแหลกละเอียดบนก้อนหิน

 

 

ยามนี้เรือนร่างของเหยียลี่ว์ฉีใกล้จะร่วงลงมาถึงพื้นแล้ว

 

 

คนที่อยู่ข้างบนพลันคว้าฟางข้าวมัดใหญ่หนึ่งมัด ในมือมีกระบอกเชื้อไฟเพิ่มขึ้นมาไม่รู้ตั้งแต่ยามใด จุดไฟใส่ฟางข้าวด้วยการเขย่าเพียงครั้งเดียว รื้อแผ่นศิลาออกอย่างรวดเร็ว นำฟางข้าวที่มีเปลวไฟลุกโชนกลุ่มนั้นโยนลงไปข้างล่าง!

 

 

จิ่งเหิงปัวมองการเคลื่อนไหวที่รวดเร็วแม่นยำชุดหนึ่งของเขาด้วยท่าทางปากอ้าตาค้าง ซ้ำยังคล้ายมองเห็นรำไรว่าระหว่างนิ้วมือเขามีแสงแวววาวกะพริบวูบ แต่หายไปในชั่วพริบตาเดียว

 

 

ภายในอุโมงค์มีเปลวไฟลุกไหม้ดังฟึ่บ ร่วงหล่นบนศีรษะของเหยียลี่ว์ฉี

 

 

ฟิ้ว! เหยียลี่ว์ฉีรีบเร่งถอยลงข้างล่าง ยามร่วงหล่นยังไม่ลืมสะบัดแขนเสื้อตอบโต้ ประกายไฟนับไม่ถ้วนสาดกระเซ็น พุ่งออกจากปากอุโมงค์

 

 

ประกายไฟร่วงหล่นบนศีรษะของเหยียลี่ว์ฉี ซ้ำยังร่วงหล่นบนสาบเสื้อของเจ้าผู้นั้นด้วย

 

 

เพียะ! เจ้าคนที่อยู่ข้างบนผู้นั้นกระแทกแผ่นศิลาปิดตายอีกครั้งแล้ว

 

 

จากนั้นปัดประกายไฟบนสาบเสื้อ…สาบเสื้อไหม้จนเกิดรูเล็กรูน้อยมากมายแล้ว

 

 

จากนั้นปูฟางข้าวให้เรียบร้อย นั่งลงอย่างสุขุมเยือกเย็นอีกครั้ง

 

 

จิ่งเหิงปัวถูกทำให้ตกตะลึงจนลืมว่าจะกล่าวอะไรไปแล้ว

 

 

เพียงกะพริบตาไม่กี่ครั้ง พลันมองเห็นการต่อสู้กันระหว่างมังกรกับพยัคฆ์ของยอดฝีมือครั้งหนึ่ง

 

 

เป็นยอดฝีมือโดยแท้

 

 

แม้ไม่เคยกระทำด้วยตัวเองแต่เคยได้ยินมาบ้าง นางยังพอมีสายตาแยกแยะได้ เมื่อครู่เพียงชั่วประเดี๋ยวเดียว คนข้างบนกับคนข้างล่างประลองฝีมือกันสามกระบวนท่าแล้ว สามกระบวนท่านี้ทดสอบกลอุบาย ทดสอบสติปัญญา ทดสอบสายตา ทดสอบปฏิกิริยาตอบโต้ ขาดไม่ได้แม้เพียงอย่างเดียว

 

 

ทั้งสองคนล้วนเป็นผู้เก่งกล้าสามารถ

 

 

คนข้างล่างนั้นถูกขวางไว้ ใช้หญ้าดึงดูดแมลงมีพิษมาทำร้ายคนข้างบนนั้น ซ้ำยังตั้งใจให้เขาลุกออกไป

 

 

คนข้างบนนั้นแงะโพรงไล่แมลงลงอุโมงค์ ใช้วิธีของคนร้ายมาทำร้ายตัวคนร้ายเอง

 

 

คนข้างล่างนั้นคำนวณการตอบโต้ครั้งนี้ไว้เช่นกัน เตรียมอาวุธลับพร้อมสรรพ ลงมือยามคนผู้นี้ปรากฏตัวข้างบนปากอุโมงค์

 

 

ทว่าคนข้างบนนี้คาดเดากระบวนท่านี้ไว้เช่นกัน มือสะบัดก้อนหินที่ยังไม่ได้โยนทิ้งออกไปอุดไว้ในทันทีทันใด หลังจากขวางอาวุธลับไว้แล้ว ฉวยมือโยนเพลิงกลุ่มหนึ่งลงไป

 

 

ดูคล้ายเรียบง่าย ทว่าแท้จริงแล้วเป็นการวางหมากรุกประลองสติปัญญา ทั้งสองคนตอบโต้อย่างรวดเร็วจนน่าตกใจ แทบจะไม่มีเวลาหลงเหลือให้ครุ่นคิด

 

 

ผลลัพธ์สุดท้ายคล้ายทั้งสองคนต่างเสียเปรียบเล็กน้อย คนข้างล่างนั้นเสียเปรียบมากหน่อย แน่นอนว่าเป็นเพราะพื้นที่ไม่เอื้ออำนวย คงจะโทษเขาไม่ได้

 

 

เพียงแต่จิ่งเหิงปัวรู้สึกว่าน่าจะยังมีกลอุบายที่นางมองไม่ออก

 

 

ในดวงตาของนางเปล่งประกายแสงวิบวับ ในใจหวนคิดถึงการต่อสู้ครั้งหนึ่งนี้ของทั้งสองคนย้อนไปย้อนมา ในใจคล้ายเข้าใจขึ้นมา

 

 

สิ่งนี้ถึงเป็นทิศทางที่นางควรเรียนรู้

 

 

อีชีเอ่ยว่าโครงกระดูกนางเติบโตแล้ว เรียนวรยุทธ์สายเกินไป หวังจะสำเร็จศิลปะการต่อสู้ระดับสูงแทบจะเป็นไปไม่ได้ ทว่าสามารถบุกเบิกวิธีการอื่น สำเร็จความสามารถอีกรูปแบบหนึ่ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งเลือกสิ่งที่ตนเองเชี่ยวชาญ เมื่อครู่นางเข้าใจแล้ว สิ่งที่นางควรฝึกฝนที่สุดก็คือปฏิกิริยาโต้ตอบ ความเร็วและการคำนวณ

 

 

คำนวณการเคลื่อนไหวของคนอื่นและปฏิกิริยาโต้ตอบที่อาจเกิดขึ้น หากรู้ได้เสมอว่าก้าวต่อไปคนอื่นจะทำอะไร เตรียมพร้อมรอคอยอยู่ที่นั่น แบบนั้นจะไม่พ่ายแพ้ตลอดกาล!

 

 

คนชุดดำเงยหน้าขึ้นมาอย่างเงียบสงบ

 

 

มองแววตานางวูบไหวคล้ายครุ่นคิดบางสิ่ง ในแววตาของเขาสะท้อนรอยยิ้มเจือจาง

 

 

สตรีที่เฉลียวฉลาดปราดเปรื่อง ไม่ว่ายามใดอยู่แห่งใดต่างผลิแย้มแสงรุ่งโรจน์ได้

 

 

ผ่านไปครู่ใหญ่ จิ่งเหิงปัวจึงคืนสติ ถามเขาว่า “คนนั้น…ข้างล่างคือผู้ใด?”

 

 

ในใจรู้ว่าเขาคงไม่ให้คำตอบ

 

 

“ไม่รู้จัก” เขาตอบอย่างที่นางคิดไว้

 

 

“เช่นนั้นเหตุใดต้องลงมือโหดเ**้ยมขนาดนี้เล่า?” นางเบะปาก

 

 

“โหดเ**้ยมหรือ?” เขาเอ่ยคล้ายไม่มีเรื่องใดเกิดขึ้น “ข้าเหน็ดเหนื่อยกว่าจะขุดอุโมงค์ขึ้นมา เขาอยากขโมยหรือ? เคยถามความเห็นของข้าหรือไม่?”

 

 

จิ่งเหิงปัวยอมสยบอับจนคำพูดต่อวาจาโหดร้ายและเย่อหยิ่งประโยคนี้ ซ้ำยังแสดงออกว่ารู้สึกว่าวาจานี้แปลกประหลาด

 

 

นางได้แต่ไว้อาลัยให้สหายผู้โชคร้ายนายนั้น ขออย่าได้เป็นเหยียลี่ว์ฉีเลย คงจะไม่บังเอิญขนาดนั้นหรอกมั้ง?

 

 

 

 

ใต้อุโมงค์

 

 

เหยียลี่ว์ฉีออกแรงปัดเพลิงบนศีรษะ ผมที่ถูกเผาไหม้หลุดร่วงลงมามากมาย

 

 

 

 

ใต้อุโมงค์ฟื้นคืนความเงียบสงบ ไม่มีใครมาก่อกวนอีกแล้ว จิ่งเหิงปัวไม่รู้ว่าตนเองผิดหวังหรือโล่งใจ นางถอนหายใจออกมายืดยาว

 

 

เจ้าคนลึกลับฝั่งตรงข้ามเริ่มนั่งสมาธิอีกครั้ง คราวนี้ไม่ได้ขอนอนข้างนางอีก

 

 

จิ่งเหิงปัวจ้องมองเขา คนคนนี้รูปร่างไม่สูงมาก ผอมเหลือเกิน ผอมมากกว่าทุกผู้คนที่นางเคยเห็น ทรวดทรงทั่วร่างนุ่มนวลอย่างยิ่ง นางเปรียบเทียบเรือนร่างลักษณะท่าทางโดยละเอียด กล่าวจากรูปลักษณะภายนอกแล้ว คนคนนี้แปลกหน้ามาก

 

 

จิ่งเหิงปัวทนความเงียบเหงาไม่ไหว คนผู้นี้นั่งอยู่ตรงข้ามนางอย่างไม่ขยับเขยื้อนแม้แต่น้อย นางรู้สึกว่าแปลกประหลาดเหมือนถูกคนจ้องมองอยู่ จึงอดจะหาอะไรมาพูดไม่ได้ “เอ่อ…เจ้าเป็นพวกโจรหรือ? ปล้นคนรวยช่วยคนจนแบบนั้น?”

 

 

“ปล้นสุสาน” เขาเอ่ย

 

 

จิ่งเหิงปัวร้อง “อา” ออกมา เกิดความเคารพอย่างสูงขึ้นมาฉับพลัน บนโลกนี้อาชีพปล้นสุสานแบบนี้มีจริงด้วยแฮะ มิน่าล่ะถึงได้ขุดโพรงเก่งขนาดนี้

 

 

เจ้าคนนี้พอเอ่ยวาจาเสร็จแล้วก็ไม่เอ่ยต่ออีก คล้ายไม่มีความอยากจะสนทนาด้วยซ้ำ จิ่งเหิงปัวได้แต่ถามอีกว่า “จอมยุทธ์เดียวดาย?”

 

 

เจ้าผู้นั้นคล้ายครุ่นคิดอยู่ชั่วครู่แล้วจึงเอ่ยว่า “นับว่าใช่ และไม่นับว่าใช่”

 

 

“หมายความว่าอะไร” จิ่งเหิงปัวถามต่อด้วยท่าทีสนใจไม่น้อยในทันที

 

 

“ข้าเป็นผู้กล้ายุทธภพ ทว่ายามนี้มีผู้ดูแล” เขาตอบอย่างเหนื่อยหน่าย

 

 

จิ่งเหิงปัวยังรอคอยวาจาต่อไปของเขา สุดท้ายแล้วเจ้าคนนี้ก็ไม่เอ่ยวาจาอีก จิ่งเหิงปัวได้แต่ไล่ถามอย่างไม่ลดละว่า “จากนั้นเล่า?”

 

 

“จากนั้นอะไร?” ปฏิกิริยาของเจ้าผู้นี้อืดอาดโดยแท้

 

 

จิ่งเหิงปัวรู้สึกว่าสติปัญญาส่วนใหญ่ของเขาใช้ไปในทางฝึกวรยุทธ์หมดแล้ว

 

 

“ผู้ใดดูแลเจ้า เอ่ยตามจริงแล้วคนเช่นเจ้าน่าจะไม่ยอมรับการดูแลถึงจะถูก พี่ใหญ่ในยุทธภพหรือ?” นางสนใจยุทธภพอย่างยิ่ง รู้สึกเสมอว่าภายหลังจะได้คบค้าสมาคม ฉวยโอกาสนี้ทำความเข้าใจสักหน่อยน่าจะดี

 

 

เขาล้วงป้ายไม้อันหนึ่งออกมาโยนให้นาง

 

 

สิ่งนี้คือป้ายไม้ท้อแผ่นหนึ่ง สีสันโบราณ แผ่ซ่านความมันวาวเกลี้ยงเกลาด้วยเพราะพกติดกายเสมอ รูปแบบเรียบง่ายอย่างยิ่ง ข้างนอกเหลี่ยมข้างในโค้งมน ด้านหลังเป็นรูปมือหยิบดอกไม้ดอกหนึ่ง ด้านหน้าเป็นอักษรจ้วนตัวหนึ่ง

 

 

นางมองเห็นอักษรจ้วนแล้วปวดหัว เอียงศีรษะพึมพำอ่านว่า “หลีว์? หลู? หวงมู่?”

 

 

ภายในสมองพลันมีเสียงหนึ่งล่องลอยแว่วมา กังวานแจ่มชัดว่า ‘…กงโร่ว? หลี่ว์เย่ว์?’

 

 

ในใจนางพลันเจ็บปวด แทบจะถือป้ายไม้ไว้ในมือไม่ได้ รีบร้อนแบมือออก หัวเราะคล้ายเยาะเย้ยตนเองพลางเอ่ยว่า “เขียนอักษรตัวหนึ่งได้ซับซ้อนขนาดนี้ มันรู้จักข้า ข้าไม่รู้จักมัน”

 

 

เจ้าคนที่อยู่ฝั่งตรงข้ามผู้นั้นมองดูนางอย่างลึกซึ้ง สายตาคล้ายเหม่อลอยอยู่บ้าง ยามแววตานางพุ่งมาหา เขาพลันเบนสายตาออก เอ่ยว่า “ไม่เรียนรู้ไร้วิชา! มู่!”

 

 

“มู่ที่แปลว่าไม้?”

 

 

“มู่ที่แปลว่าเคร่งขรึม”

 

 

“อ้อ” นางหมดความสนใจจะไถ่ถาม คืนป้ายไม้ให้เขา

 

 

“ท่านมู่” เขากลับเอ่ยขึ้นมาก่อนว่า “ผู้นำใต้ดินของผู้กล้าในยุทธภพทั้งหกแคว้นแปดชนเผ่า ผู้คนสารพัดอาชีพ ทั้งคนดีทั้งคนเลว ต่อให้ไม่อยู่ภายใต้การดูแลของเขา ทว่ายังต้องให้เกียรติเขาไม่มากก็น้อย เดิมทีข้าออกปล้นผู้เดียว ภายหลังได้เขาช่วยเหลือไว้ครั้งหนึ่งจึงยอมอยู่ใต้อำนาจเขา”

 

 

จิ่งเหิงปัวแสดงท่าทางว่าท่านมู่สองคำนี้ฟังแล้วคุ้นหูเหลือเกิน เคยได้ยินที่ไหนมาก่อนนะ?

 

 

เจ้าคนฝั่งตรงข้ามนอนหลับไปอีกครั้งแล้ว นางได้แต่นอนลงเช่นกัน แต่เดิมนึกว่าจะมีคนมาสอบสวนนางอย่างรวดเร็ว แบบนั้นนางย่อมมีโอกาสหลบหนี ไม่คิดว่ารอนานแล้วยังไม่มีการเคลื่อนไหว ท้องฟ้าข้างนอกคล้ายสว่างอีกครั้งแล้ว นางได้ยินเสียงเปิดประตูกับเสียงเคลื่อนไหวฝีเท้า คล้ายกำลังตรงมาทางนี้

 

 

เจ้าคนที่นั่งสมาธิคนนั้นลืมตาขึ้น ล้มตัวนอนข้างในผืนฟาง ภายในห้องขังมืดมิด แค่นางไม่ร้องโวยวาย คนข้างนอกย่อมมองไม่ออก

 

 

จิ่งเหิงปัวลังเลอยู่พริบตาหนึ่ง จะร้องเรียกดีไหมนะ? แต่ล้มเลิกความคิดในชั่วพริบตาเดียว

 

 

ดูจากการลงมือของเจ้าคนนี้แล้ว ร้องไปก็ไม่มีประโยชน์ ผู้คุมอาจจะถูกสังหารในพริบตาเดียวหรือนางอาจจะถูกสังหารในพริบตาเดียว

 

 

“อาหารมาแล้ว!” ผู้คุมตะโกนด้วยเสียงดังแหบทุ้มเสียงหนึ่ง วางตะกร้าอาหารตามมา

 

 

จิ่งเหิงปัวรอให้คนไปก่อน จึงเอื้อมมือลากตะกร้ามาหาตนเอง มองคราหนึ่งแล้วกล่าวอย่างประหลาดใจว่า “ว้าว ข้าวคุกดีขนาดนี้เชียวหรือ? ระบบสวัสดิการของแคว้นเซียงไม่เลวเลยแฮะ”

 

 

แม้อาหารในตะกร้าไม่นับว่างดงามประณีต แต่มีปลามีเนื้อ ครบถ้วนทั้งเนื้อทั้งผัก ข้าวสวยร้อนระอุ ซ้ำยังมีน้ำแกงร้อน

 

 

แตกต่างจากข้าวคุกที่เต็มไปด้วยดินทรายกับอึหนูที่จิ่งเหิงปัวเคยเข้าใจโดยสิ้นเชิงแบบนั้น

 

 

นางชื่นชมอยู่สักพักแล้วเบิกตากว้างขึ้นมากะทันหัน เอ่ยว่า “แย่แล้ว ข้าเคยได้ยินมาว่าอาหารมื้อสุดท้ายของนักโทษประหารจะเป็นปลาตัวใหญ่เนื้อชิ้นโต นี่คงไม่ใช่ขั้นตอนก่อนจะประหารหรอกกระมัง?”

 

 

ครุ่นคิดอยู่ชั่วครู่แล้วกล่าวอีกว่า “โทษประหารก็โทษประหารสิ ตายแล้วคงกินไม่ได้อีกนาน รีบกินให้อิ่มก่อนดีกว่า” กล่าวจบก็ลงมือตักข้าว ทั้งหยิบทั้งเลือกในถาด ควานหาสิ่งที่ตนเองชอบกิน

 

 

คนชุดดำที่อยู่ฝั่งตรงข้ามลืมตาขึ้น มองดูสตรีที่คัดเลือกอาหารด้วยอารมณ์ฮึกเหิมเบื้องหน้า แววตาอ่อนโยน

 

 

พลังการปรับตัวที่ยิ่งใหญ่เป็นหนึ่งในศิลารากฐานให้ผู้แข็งแกร่งอยู่รอดยามกลียุคเช่นกัน

 

 

จิ่งเหิงปัวเลือกอยู่เนิ่นนาน เลือกอาหารที่ชอบกินให้ตนเองจนเต็มล้นชามหนึ่ง จู่ๆ ก็รู้สึกขึ้นมาว่าถูกแววตาจ้องเขม็ง พอเงยหน้ามองก็เห็นแววตาที่ยังไม่ทันได้เบนกลับไปของเจ้าคนที่อยู่ฝั่งตรงข้ามผู้นั้น

 

 

นางร้อง “อ่า” ออกมาอย่างเพิ่งรู้สึกตัว คราวนี้นึกถึงเพื่อนร่วมห้องขังไม่ได้รับเชิญขึ้นมา หากกล่าวกันตามเหตุผลแล้ว อาหารมื้อนี้เหมือนควรจะแบ่งให้เขากินสักหน่อย?

 

 

“นี่” นางอมตะเกียบยิ้มแย้มพลางถามว่า “อยากกินหรือ?”

 

 

“หา?” เจ้าผู้นั้นขานรับอย่างเซ่อซ่า

 

 

“อยากกินก็มากินเอง” นางจิ้มอาหาร กล่าวว่า “ข้าจะไม่เกรงใจผู้อื่น ต่อให้เจ้าจะแสร้งเกรงใจ แต่ข้าจะไม่แสร้งเกรงใจกินไปให้หมดเลย”

 

 

เจ้าคนนั้นลังเลอยู่บ้าง ก่อนขยับเข้ามานั่งลง

 

 

มีตะเกียบอยู่เพียงคู่เดียว จิ่งเหิงปัวครุ่นคิดอยู่ชั่วครู่ ก่อนจะยื่นตะเกียบให้เขา กล่าวว่า “หักเป็นสองท่อน แบ่งกันใช้เถิด ข้าไม่มีพละกำลัง”

 

 

เขารับเอาไว้ ก่อนหักตะเกียบอย่างแผ่วเบา ถือตะเกียบครึ่งหนึ่งในนั้นไว้ จะล้วงสิ่งใดสักอย่างจากในอ้อมแขนมาเช็ดตามความเคยชิน

 

 

“นี่” จิ่งเหิงปัวรีบกล่าวว่า “ฝั่งนั้นข้าใช้แล้ว”

 

 

มือของเขาหยุดชะงัก ยื่นตะเกียบครึ่งนั้นมาให้นาง จิ่งเหิงปัวรับไว้ เหลือบตามองเขา แล้วกล่าวว่า “เมื่อครู่เจ้าคิดจะทำอะไร?”

 

 

“ข้านึกว่ายังไม่ได้ใช้” เขาตอบอย่างเฉื่อยเนือย

 

 

จิ่งเหิงปัวแค่นเสียงหนึ่ง คว้าตะเกียบไว้กำลังจะกินต่อไป พลันชะงักทันที

 

 

นางรู้สึกว่าท่าทางเมื่อครู่นั้นแลดูคุ้นเคย