ภาคที่ 4 ตอนที่ 23 ผู้มีปัญญา

มรรคาสู่สวรรค์

คำถามของเจ้าล่าเยวี่ยมิได้ทำให้ความคิดของจิ๋งจิ่วสะดุดลง หากแต่ทำให้เขายิ่งครุ่นคิดจริงจังมากขึ้น

สิ่งที่เขาพูดกับหลิ่วสือซุ่ยนั้นเป็นความจริง แล้วก็เป็นคำพูดจากใจจริง

สำหรับฟ้าดินแห่งนี้แล้ว การบรรลุกลายเป็นเซียนคือความชั่วที่้เลวร้ายที่สุด แต่กลับเป็นความปรารถนาเพียงหนึ่งเดียวและสูงสุดของเขา

ดังนั้นสำหรับเขาแล้ว ความดีความชั่วมิได้สลักสำคัญอะไร

เพียงแต่เพราะการบำเพ็ญเพียรจำเป็นต้องไม่ถูกรบกวน เขาต้องการความเงียบ แล้วก็เป็นเพราะความสัมพันธ์ในความรู้สึกบางอย่าง เขาถึงได้มีจุดยืน

เขาเข้าใจความรู้สึกของฟางจิ่งเทียนที่ต้องการแก้แค้นให้อาจารย์ แล้วก็เข้าใจการดิ้นรนที่จะบรรลุสภาวะอันแสนยากลำบากของเหลยพั่วอวิ๋น

การที่คำพูดประโยคหนึ่งของศิษย์พี่สามารถทำให้เกิดคลื่นยักษ์อันน่าตกตะลึงขึ้นบนโลกได้ นั่นก็เป็นเพราะเขาเข้าใจว่าแต่ละคนต้องการอะไร ไล่ตามหาอะไร

ข้อยกเว้นเพียงหนึ่งเดียวก็คือตัวเขา ศิษย์พี่ไม่เคยรู้มาก่อนว่าเขาชอบอะไร อยากได้อะไร ศิษย์พี่รู้แค่เพียงว่าเขาอยากจะบรรลุกลายเป็นเซียน แต่กลับไม่สามารถมอบมันให้แก่เขาได้

ก็เหมือนกับที่เขารู้ว่าตอนนี้เจ้าล่าเยวี่ยอยากจะทำอะไร แต่เขากลับให้นางไม่ได้

เจ้าล่าเยวี่ยกล่าว “ฟางจิ่งเทียนเคยเชิญเทียนจิ้นเหรินให้มาสังหารเจ้า เห็นได้ชัดว่ามีความเกี่ยวข้องกับสำนักกระบี่ซีไห่และปู้เหล่าหลิน เหตุใดเจ้าสำนักกับกฎกระบี่ถึงไม่จัดการ?”

จิ๋งจิ่วกล่าวว่า “ข้าเคยบอกแล้ว พวกเขาเป็นศิษย์พี่ศิษย์น้องกัน ยิ่งไปกว่านั้นไม่มีหลักฐาน”

เจ้าล่าเยวี่ยกล่าว “หรือเจ้าไม่รู้สึกว่ายอดเขาซั่งเต๋อน่าสงสัย?”

ในยอดเขาทั้งเก้าของชิงซานต่างรู้ว่าหยวนฉีจิงไม่ชอบนักพรตจิ่งหยาง ยิ่งไปกว่านั้นในช่วงนี้มีหลายๆ เรื่องที่ยอดเขาซั่งเต๋อจัดการแปลกๆ

จิ๋งจิ่วรู้ว่าหยวนฉีจิงไม่ชอบตัวเอง แต่มันก็มิได้มีอะไรน่าสงสัยจริงๆ เขาจึงอธิบายกับนางว่า “เขาเป็นคนสังหารเหลยพั่วอวิ๋น”

เจ้าล่าเยวี่ยกล่าว “นี่อาจจะเป็นการฆ่าคนปิดปาก”

จิ๋งจิ่วมองนางอย่างเงียบๆ

เจ้าล่าเยวี่ยเงียบไปครู่ กล่าวว่า “เอาล่ะ ปัญหาเรื่องการบำเพ็ญเพียรของหลิ่วสือซุ่ยมีหวังที่จะแก้ไขได้ นี่ถือเป็นเรื่องดี”

แม้นจะพูดเช่นนี้ แต่การที่ถูกยอดเขาซีไหลเล่นงาน อีกทั้งคนอื่นๆ อย่างเจี่ยนหรูอวิ๋นก็ยังมาเลอะเลือนเช่นนี้อีก นางย่อมต้องรู้สึกไม่ค่อยพอใจ การหายใจหนักขึ้นเล็กน้อย

จิ๋งจิ่วรู้ว่านางไม่พอใจ ความจริงแล้วตัวเขาเองก็ไม่ค่อยชินเช่นกัน ที่ผ่านมาหากเจอเรื่องแบบนี้ ถ้าไม่สังหารในกระบี่เดียวก็เป็นอีกฝ่ายมาคุกเข่าร้องขอชีวิตก่อนที่เขาจะปล่อยกระบี่ออกไป ไหนเลยจะเป็นเหมือนตอนนี้ที่เวลาทำอะไรมักจะรู้สึกเหมือนมีอะไรมามัดมืดมัดเท้าเอาไว้

“สิ่งที่ผู้บำเพ็ญพรตมีอยู่มากที่สุดก็คือความอดทน”

ไม่รู้ว่าคำพูดประโยคนี้เขากำลังสอนนางหรือว่ากำลังเตือนสติตัวเอง

ในตอนที่จิ๋งจิ่วถูกขังอยู่ในที่ราบหิมะ กู้ชิงเคยกล่าวเอาไว้ว่าผู้บำเพ็ญรอล้างแค้นร้อยปีก็ยังไม่สาย แต่เจ้าล่าเยวี่ยมิใช่คนแบบนี้

นางมองจิ๋งจิ่วพลางกล่าวถามอย่างจริงจัง “เมื่อไรเจ้าถึงจะบรรลุขั้นแหวกทะเลได้?”

สภาวะของจิ๋งจิ่วยังหยุดอยู่ในขั้นมิประจักษ์ระดับกลาง ยังเหลืออีกห้าชั้นกว่าจะบรรลุขั้นแหวกทะเลได้

สำหรับศิษย์ชิงซานธรรมดาทั่วไปแล้ว หากทุกอย่างราบรื่นก็อาจจะใช้เวลาสิบกว่าปีในการบรรลุหนึ่งชั้น แต่แน่นอนว่าการใช้เวลาหลายสิบปีก็ถือเป็นเรื่องธรรมดาอย่างมากเช่นกัน

ทว่าเจ้าล่าเยวี่ยคาดหวังในตัวจิ๋งจิ่วอย่างมาก ถึงแม้สภาวะของเขาจะหยุดนิ่งมาเป็นเวลาเจ็ดปี จนใกล้จะเป็นคนที่อ่อนแอที่สุดในยอดเขาเสินม่อก็ตาม

นางถึงขนาดมองว่าขอเพียงจิ๋งจิ่วสามารถบรรลุขั้นแหวกทะเลได้ ไม่ว่าจะเป็นไป๋หรูจิ้งหรือว่าฟางจิ่งเทียนก็ล้วนแต่มิใช่คู่ต่อสู้ของเขา

เมื่อได้ยินคำถามนี้ จิ๋งจิ่วยิ้มเล็กน้อย มิได้กล่าวกระไร

เจ้าล่าเยวี่ยไม่เข้าใจความหมายของเขา จึงกล่าวถามว่า “ทำไมหรือ?”

ไม่รู้ว่าเป็นเพราะพระอาทิตย์ในฤดูใบไม้ร่วงร้อนแรงเกินไป หรือเป็นเพราะใบหน้าที่ยิ้มเล็กน้อยนั้นงดงามเกินไป นางถึงมิทันสังเกตเห็นความขมขื่นที่แฝงอยู่ในรอยยิ้มของจิ๋งจิ่ว

ที่น่าแปลกใจก็คือในรอยยิ้มของเขายังมีความเย้ยหยันในตัวเองแฝงอยู่เล็กน้อยด้วย

ซึ่งเหล่านี้ล้วนแต่เป็นอารมณ์ที่น้อยครั้งนักที่จะปรากฏขึ้นมาในตัวเขา

……

……

จิ๋งจิ่วไม่เคยกังวลเรื่องการบำเพ็ญเพียรของตนเองมาก่อน ตอนนี้ดูเหมือนเขาจะมั่นใจในตัวเองไปหน่อย เพราะเขาเจอกับปัญหายุ่งยากที่ไม่สามารถแก้ไขได้

ราชินีแคว้นเสวี่ยคลอดลูก ทำให้ที่ราบหิมะเกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างรุนแรง เขากับไป๋เจ่าติดอยู่ในถ้ำอันหนาวเย็นเป็นเวลาหกปี

ในเวลาหกปีนี้ เพื่อที่จะรักษาอุณหภูมิภายในถ้ำเอาไว้ไม่ให้ไป๋เจ่าหนาวจนแข็งตาย จิ๋งจิ่วเผาเพลิงกระบี่โดยไม่หยุดแม้เพียงอึดใจเดียว

เพื่อที่จะทำให้เพลิงกระบี่เผาไหม้อยู่ตลอดเวลา เขาจำเป็นต้องเผาผลาญปราณกระบี่อยู่ตลอดเวลา แล้วก็ต้องคอยรักษาให้ปราณกระบี่ไม่เหือดแห้ง ในช่วงเวลาหกปี ปราณกระบี่ของเขาโคจรอยู่ในระดับที่ต่ำที่สุด พอแค่เพียงจะทำให้มีชีวิตอยู่รอดได้มาโดยตลอด คล้ายกับน้ำแข็งเบาบางแผ่นสุดท้ายบนแม่น้ำที่ใกล้จะละลายไปจนหมด แล้วก็คล้ายกระดาษแผ่นสุดท้ายที่ใกล้จะถูกเผาไหม้จนหมดในเตาไฟ

สถานการณ์แบบนี้ย่อมไม่สามารถบำเพ็ญเพียรได้ แล้วก็ไม่มีทางที่จะมีใจไปรับรู้ถึงฟ้าดินได้ ประโยชน์เพียงหนึ่งเดียวของการทำเช่นนี้คือทำให้จิตใจมีความมุ่งมั่นจนถึงขีดสุด

แต่น่าเสียดายที่จิ๋งจิ่วไม่ต้องการสิ่งนี้ ดังนั้นสำหรับเขาแล้ว ช่วงเวลาหกปีนี้คือการสูญเปล่า

เขามิได้ใส่ใจนัก หากแต่คิดว่าหลังกลับมายังชิงซานแล้วทุกอย่างจะกลับมาเป็นปกติ ถึงแม้สองปีแรกสภาวะจะยังหยุดอยู่ที่ขั้นมิประจักษ์ระดับกลาง ไม่มีทีท่าว่าจะบรรลุขึ้นไปสู่ขั้นที่สูงกว่าได้ เขาก็ยังไม่ร้อนใจ เพราะเขารู้ว่าการบำเพ็ญพรตเป็นเรื่องที่ต้องใช้ความละเอียดอ่อนและใช้เวลา เหมือนหินที่กร่อนเพราะน้ำที่หยดลงมาทุกวัน หากไม่ถึงช่วงเวลานั้นจริงๆ น้ำฝนตกลงไปบนหินก็มีแต่จะแตกกระจายออก

จนกระทั่งเมื่อหลายวันก่อนในตอนที่้เขาครุ่นคิดถึงปัญหาการบำเพ็ญเพียรของหลิ่วสือซุ่ย เขาได้ทำการสำรวจตัวเองเพื่อทำการเปรียบเทียบ ขณะเดียวกันก็ทำการศึกษาดูการเปลี่ยนแปลง ก่อนจะต้องแปลกใจเมื่อพบว่า…หากเป็นแบบนี้ต่อไป น้ำหยดนั้นคล้ายจะไม่มีวันหยดทะลุหินอย่างตัวเองก้อนนี้ไปได้แน่

……

……

ยอดเขาเสินม่อทำการเรียกประชุม น้อยครั้งนักที่จะมีเหตุการณ์แบบนี้ มิใช่ริมผา หากแต่เป็นภายในถ้ำ

จิ๋งจิ่วมิได้นอนอยู่บนเก้าอี้ไม้ไผ่เหมือนอย่างทุกที เจ้าล่าเยวี่ยเองก็มิได้นั่งอยู่บนเก้าอี้เหมือนอย่างทุกที หากแต่นั่งอยู่บนตั่งหยกร้อนทั้งคู่

เมื่อมองดูภาพทั้งสองคนนั่งคู่กัน หยวนฉวี่พลันคิดถึงคำพูดเกี่ยวกับเทียนแดง[1]ขึ้นมา บนใบหน้ามีรอยยิ้มซื่อบื้อปรากฎขึ้นมา จากนั้นพลันรับรู้ได้ถึงแรงกดดันเล็กน้อยภายในถ้ำ จึงรีบหุบยิ้ม ยืนอยู่ข้างกู้ชิงด้วยใบหน้าขึงขัง

แมวขาวและจักจั่นเหมันต์ไม่ชอบตั่งหยกร้อน หากแต่ไปฟุบหมอบอยู่บนหน่อไม้หน่อหนึ่งที่อยู่ไกลออกไป ไม่ยอมเข้ามา

จิ๋งจิ่วเรียกทุกคนเข้ามาเพราะอยากจะอธิบายปัญหาในการบำเพ็ญเพียรของตน

เจ้าล่าเยวี่ยรู้สึกว่าน่าขัน ในใจครุ่นคิดว่าปัญหาในการบำเพ็ญเพียรที่กระทั่งเจ้าก็ยังแก้ไขไม่ได้ แล้วทั่วทั้งแผ่นดินเฉาเทียนจะยังมีใครแก้ได้อีก?

แต่หยวนฉวี่กลับรู้สึกว่านี่เป็นเรื่องปกติ ต่อให้พรสวรรค์ทางวิถีกระบี่ของอาจารย์อาจะสูงส่งแค่ไหนก็ไม่มีทางที่จะเหนือไปกว่าอาจารย์ที่เป็นเมล็ดพันธุ์แห่งเต๋าแต่กำเนิดได้ ปัญญาในการตื่นรู้ของศิษย์พี่กู้ชิงเองก็ยอดเยี่ยม กระทั่งตัวเขาเองก็ใกล้จะไล่ตามอาจารย์อาทันแล้ว การที่อาจารย์อาจะมาขอความช่วยเหลือมันก็เป็นเรื่องปกติ การที่เขากล้ามาถามโดยไม่รู้สึกอายนั้นช่างน่านับถือจริงๆ

กู้ชิงย่อมต้องไม่ได้คิดเหมือนอย่างหยวนฉวี่ อาจารย์ลึกล้ำไม่อาจประมาณได้ กระบี่ของทั้งเก้ายอดเขาสามารถร่ายออกมาได้ตามใจ ตัวเองไหนเลยจะมีสิทธิ์ไปช่วยเขาได้?

จิ๋งจิ่วไม่ได้สนใจว่าศิษย์สองคนนี้กำลังคิดอะไรอยู่ เขาอธิบายปัญหาที่ตัวเองพบเจอให้ทุกคนฟังรอบหนึ่ง จากนั้นบอกถึงจุดที่สำคัญออกมาตรงๆ

—-กระบี่บินของเขาไม่สามารถรวมเข้ากับโอสถกระบี่ได้

เมื่อได้ยินประโยคนี้ กู้ชิงและหยวนฉวี่พลันมองไปยังกระบี่เหล็กสีดำที่อยู่ตรงหน้าเขาทันที

กระบี่เหล็กที่สืบทอดมาจากอาจารย์เซียนม่อแห่งยอดเขาซีไหลเล่มนี้เป็นกระบี่บินธรรมดาที่มิได้มีอะไรพิเศษ ตอนอยู่ในที่ราบหิมะถูกเขาใช้เพลิงกระบี่เผาอย่างต่อเนื่องเป็นเวลาหกปี ผิวนอกของกระบี่เหล็กหลอมละลายจากนั้นจับตัวแข็งใหม่ ซ้อนทับเป็นชั้นๆ กลายเป็นสิ่งที่ดูเหมือนกระดองอย่างไรอย่างนั้น ดูค่อนข้างน่าเกลียด คล้ายที่คีบที่ถูกเผาจนไหม้

หลังบรรลุเข้าสู่สภาวะมิประจักษ์ จิ๋งจิ่วยังคงสะพายกระบี่ กลายเป็นเรื่องแปลกที่ไม่เคยมีใครพบเห็นมาก่อนในโลกแห่งการบำเพ็ญพรต ใครจะไปคิดบ้างว่าเขามิได้จงใจทำเช่นนั้น หากแต่ไม่รู้จะทำอย่างไรจริงๆ?

เจ้าล่าเยวี่ยรู้เรื่องนี้ กู้ชิงและหยวนฉวี่เองก็พอจะคาดเดาอะไรบางอย่างได้ เมื่อได้ยินจิ๋งจิ่วยอมรับด้วยตัวเอง พวกเขายังคงรู้สึกตกตะลึงเป็นอย่างมาก

………………………………………………………..

[1]เทียนแดง เป็นสิ่งที่ใช้ในงานมงคล งานสมรส ในห้องหอของบ่าวสาว