ท่ามกลางกระแสมิติอันเชี่ยวกราก

ฝูงกลุ่มแสงโปร่งใสที่มองไม่เห็น กำลังแล่นไปตามกระแสมิติโดยเลี่ยงเส้นทางที่มีมอนสเตอร์กระจุกตัวกันหนาแน่น มุ่งไปตามทิศทางที่สงบ และปลอดภัยที่สุด

เนื่องจากเส้นทางที่พวกเขามุ่งไป มันไม่ได้นำไปสู่วิหารทั้งเจ็ด ท่าเรือขนาดใหญ่ที่คึกคัก หรือโลกมิติอนันต์อันหาได้ยากยิ่งในดินแดนชิงอำนาจ ดังนั้นยานของพวกเขาจึงสามารถหลบรอดจากสายตาของมอนสเตอร์มิติได้ตลอดมา โดยเฉพาะในวันนี้

“บอส ทุกอย่างข้างหน้าปกติดี”

“บอส ทางฝั่งซ้ายขวาก็ปกติดี”

“บอส ทางฝั่งด้านหลังก็ปกติดี ถึงก่อนหน้านี้จะมีมอนสเตอร์มิติปรากฏตัวขึ้นมาก็เถอะ แต่มันก็แค่ลอยผ่านไป และตอนนี้ก็น่าจะหายไปในทิศทางอื่นแล้ว” ภายในยาน หลายเสียงรายงานดังขึ้นอย่างต่อเนื่อง

หลังจากนั้นครู่หนึ่ง เสียงที่แข็งกร้าวก็ถามสวนกลับมา “แล้วอีกนานแค่ไหนกว่าพวกเราจะไปถึงตลาดมืดเกรย์แฮนด์?”

“ตอนนี้พวกเราอยู่ในเส้นทางลับที่มุ่งสู่ตลาดมืดเกรย์แฮนด์แล้ว คาดว่าอีกหนึ่งชั่วโมงก็คงจะถึง” ใครบางคนตอบเขา

เสียงแข็งกร้าวออกคำสั่งอีกครั้ง “จากนี้ไป ทุกคนจะต้องตื่นตัวให้ดี เพราะตลาดมืดแห่งนี้ มักจะอันตรายมากกว่าตลาดอื่นๆ” ด้วยคำสั่งของเขา บรรยากาศในยานทั้งลำก็เริ่มตึงเครียดขึ้นมาทันที

เสียงแข็งกร้าวยังคงกล่าว “งั้นในระหว่างนี้ พวกเราก็แยกกันไปสำรวจตามจุดต่างๆ ของเจ้าขยะที่ลากกลับมากันก่อนเถอะ ว่าข้างในมันมีอะไรอยู่บ้าง”

“รับทราบบอส!” คำสั่งถูกปฏิบัติตามอย่างรวดเร็ว

ห้ากลุ่มเล็กที่เตรียมพร้อมมานานแล้ว เมื่อได้รับคำสั่งของกัปตันของพวกเขา ก็เริ่มเจาะเข้าไปในซากปรักหักพังของยานอวกาศ เพื่อค้นหาสิ่งมีค่าที่พอจะขายได้ ที่อาจหลงเหลืออยู่ข้างในทันที

และตรงบริเวณไม่ใกล้ไม่ไกลกับที่กู่ฉิงซานหลบซ่อนตัวอยู่  ก็ปรากฏถึงสองชาย หนึ่งหญิงเดินเข้ามา พวกเขาเริ่มออกค้นหาของมีค่าที่อาจหลงเหลืออย่างจริงจัง

นี่มันเป็นธุรกิจที่แสนจะคุ้นเคย และไม่น่าจะมีปัญหาอะไร กู่ฉิงซานเองก็ยังรู้สึกว่ามันไม่สมควรที่จะมีปัญหาเช่นกัน

ก่อนหน้านี้เขาได้ปล่อยจิตสัมผัสเทวะออกไปแล้วอย่างระมัดระวัง เพื่อตรวจสอบสถานการณ์ของยานอวกาศ และผู้คนที่อาจต้องเผชิญหน้า

สถานการณ์ในปัจจุบันก็คือ ซากยานอวกาศลำนี้ดูเหมือนจะถูกเก็บกู้โดยคนบางกลุ่มที่เชี่ยวชาญด้านการคัดแยกขยะในพื้นที่มิติ และเนื่องจากการที่ต้องมาทำงานอันตรายและไม่น่าไว้ใจแบบนี้ในมิติที่ว่างเปล่า ก็ย่อมแสดงว่าสถานะของคนกลุ่มนี้อยู่ในระดับล่างของดินแดนชิงอำนาจ

ซึ่งความแข็งแกร่งของพวกเขาเป็นตัวบ่งบอกถึงจุดนี้ได้เป็นอย่างดี

เพราะนอกเหนือไปจากกัปตันที่ทุกคนเรียกกันว่าบอส คนอื่นๆ ล้วนถูกกู่ฉิงซานปล่อยจิตสัมผัสเทวะเข้าไปตรวจสอบทั้งสิ้น ทำให้ได้รู้ว่า ด้วยฐานวรยุทธ์ของกู่ฉิงซาน และความแข็งแกร่งของคนพวกนี้ แต่เดิมแล้วเท่าเทียมกัน

เมื่อตรวจสอบเสร็จ กู่ฉิงซานก็รู้สึกโล่งใจขึ้นมาทันที

หากเป็นความแข็งแกร่งในระดับเดียวกัน ไม่ว่าหน้าไหนเขาก็ไม่กลัวเกรงทั้งนั้น ตราบใดที่ระวังตัวกัปตันเอาไว้ มันก็ไม่น่าจะมีปัญหาอะไร

ในช่วงเวลานี้ เขายังคงอยู่ในสภาพไข่มด ซ่อนตัวอยู่ในส่วนลึกของซากยานอวกาศ ส่วนเหตุผลที่ทำให้ตนยังคงเลือกที่จะอยู่อย่างนิ่งๆ นั้นมีอยู่ด้วยกันสองประการ

หนึ่งคือเขาเพิ่งเข้ามาในดินแดนชิงอำนาจ และยังไม่เชี่ยวชาญเทคนิคพื้นฐานในการเดินทางระหว่างโลก ตอนนี้เขาจึงเลือกจะติดตามคนกลุ่มอื่นไปก่อน

สองคือเขาเพิ่งผ่านพ้นโทษทัณฑ์หรือที่เรียกกันว่าหายนะในขอบเขตพันวิบัติครั้งแรกไป ส่งผลให้ฐานวรยุทธ์ของเขายังไม่มั่นคง เนื่องจากมันพุ่งสูงขึ้นอย่างกะทันหัน

ซึ่งโดยสิ้นเชิงแล้ว เจ้าตัวจะต้องเผชิญกับโทษทัณฑ์ทั้งสิ้นสามครั้ง

ผ่านโทษทัณฑ์ครั้งแรกไป กู่ฉิงซานก็จะสามารถยกระดับขึ้นมาในขอบเขตพันวิบัติขั้นกลางได้เลย

ผ่านโทษทัณฑ์ครั้งที่สอง เขาก็จะยกระดับขึ้นเป็นผู้ฝึกยุทธ์พันวิบัติขั้นปลาย

ผ่านโทษทัณฑ์ครั้งที่สาม เขาก็ไม่จำเป็นต้องทำการข้ามผ่านทัณฑ์สวรรค์อีกต่อไป แต่จะสามารถยกระดับขึ้นสู่ขอบเขตขีดสุดความว่างเปล่าได้เลยโดยตรง

แต่โทษทัณฑ์ในครั้งที่สามน่ะอันตรายเป็นอย่างยิ่ง ระยะเวลาของมันบ้างสั้นบ้างยาว แตกต่างกันไปในแต่ละคน บางครั้งคุณอาจจะคิดว่ามันจบลงไปแล้ว แต่บางทีมันอาจจะยังไม่จบลงก็ได้

บ่อยครั้งสำหรับบางคนที่แม้จะข้ามผ่านภัยพิบัติมาได้แล้ว แต่ก็ยังได้พบพานหายนะที่ตนละเลยไป

กู่ฉิงซานได้อ่านหนังสือโบราณของโลกล่องเวหามามากมาย และยังได้อ่านบันทึกฝึกยุทธ์บางส่วนที่ท่านอาจารย์มอบให้ ขณะนี้เขาถึงได้ย้อนนึกขึ้นมาได้ว่า ในช่วงที่ฉีหยานตกตายลง มันอาจจะเกี่ยวข้องกับหายนะครั้งสุดท้ายของอีกฝ่ายก็ได้

บางทีเวลานั้น การข้ามผ่านโทษทัณฑ์ที่ฉีหยานต้องเผชิญมันอาจจะยังไม่จบลงโดยสิ้นเชิง อีกฝ่ายไม่สมควรรีบตรงเข้ามาในโลกแห่งผู้ฝึกยุทธ์ทันทีที่สามารถทะลวงขอบเขตได้

สรุปสั้นๆ ว่าต่อให้ยกระดับขึ้นได้แล้วก็จริง แต่ผลพวงจากหายนะที่ต้องเผชิญมันอาจจะยังคงหลงเหลืออยู่ ด้วยเหตุนี้ กู่ฉิงซานที่พึ่งข้ามผ่านโทษทัณฑ์ครั้งแรกมาได้ จึงยังไม่มีความตั้งใจที่จะแสดงตัวใดๆ

เขาพร้อมที่จะหลบซ่อนตัวตลอดเวลา เฝ้ารอจนกระทั่งยานอวกาศลงจอด และเขาสามารถควบรวมฐานวรยุทธ์ให้คงที่ แล้วค่อยพยายามหาโอกาสหลบหนีออกจากยานก็ยังไม่สาย

จากนั้น เขาก็จะพยายามเข้าถึงโลกของดินแดนชิงอำนาจ พยายามเรียนรู้ ทำความเข้าใจในเรื่องราวต่างๆ เกี่ยวกับมัน เพื่อหาทางเอาชีวิตรอด

นี่คือแผนที่กู่ฉิงซานคิดเอาไว้

อย่างไรก็ตามสิ่งที่เกิดขึ้นหรือโชคชะตาที่นำพามันก็มักจะไม่เป็นไปตามความปรารถนาในใจของผู้คนเสมอไป

ท่ามกลางซากปรักหักพังของยานอวกาศ

“ที่รัก ช่วยมาดูตรงนี้หน่อยสิ” ผู้หญิงที่ได้รับภารกิจค้นหาตะโกนขึ้น

แล้วหนึ่งในชายทั้งสอง คนที่อ้วนมากกว่าก็เดินเข้ามา ปากเอ่ยถาม “มีอะไรงั้นหรือ? ยานอวกาศเส็งเคร็งแบบนี้ ไม่น่าจะมีสมบัติอะไรอยู่แท้ๆ นี่นา”

“แน่นอนว่ามันไม่ใช่สมบัติ แต่ฉันไม่สามารถเปิดกล่องใบนี้ได้ เพราะงั้นก็เลยอยากจะขอให้ที่รักช่วย” ผู้หญิงคนนั้นเอื้อมไปจับมือเขา กล่าวเสียงหวาน

ชายอ้วนก้มลงมองรูปทรงและรายละเอียดของกล่อง ไม่นานก็ตัดสินใจได้ในที่สุด

เขายิ้ม “ไม่คิดเลยว่าจะโชคดีแบบนี้ ภายในกล่องน่าจะเป็นของดีไม่น้อยแน่เลย”

“ที่รัก คุณรู้ได้อย่างไรกัน?” ผู้หญิงเอ่ยถาม

“เพราะกล่องใบนี้มันเต็มไปด้วยโปรแกรมทำลายอัตโนมัติ หากคุณไม่รู้รหัสผ่าน แล้วต้องการจะฝืนเปิดมัน สิ่งที่อยู่ภายในก็จะถูกทำลายโดยตรงด้วยระเบิดขนาดเล็กที่ถูกติดตั้งเอาไว้” ชายอ้วนกล่าว

“แต่ฉันขอเดาว่าคุณมีวิธีที่จะได้มันมาโดยไม่จำเป็นต้องรู้รหัสใช่ไหม?” หญิงกล่าวด้วยรอยยิ้ม

“แน่นอน เพราะฉันเป็นผู้อัญเชิญภูตผี ขอแค่ใช้ความสามารถในการอัญเชิญมาดัดแปลงเล็กๆ น้อยๆ ฉันก็จะสามารถทำการดึงเอาวัตถุที่อยู่ภายในนั้น ออกมาได้เลยโดยตรง” ชายอ้วนกล่าวอย่างภาคภูมิใจ

หญิงสาวมองดูเขา แสดงออกถึงสีหน้าชื่นชม “ความสามารถในการอัญเชิญของคุณช่างเป็นอะไรที่ยากนักจะพบเจอจริงๆ อนาคตของพวกเราทั้งคู่ขึ้นอยู่กับคุณแล้วนะ”

“วางใจเถอะภรรยาที่รัก ฉันจะเร่งทำงานเก็บเงินให้มากพอ แล้วจะพาเธอขึ้นยานอวกาศระดับสูง มุ่งหน้าไปยังวิหารแห่งชีวิตเพื่อจุดประกายต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์!”

ระหว่างกล่าว เขาก็คุกเข่าลงเบื้องหน้ากล่อง

เขากดมือลงบนกล่องเบาๆ และเริ่มใช้ออกด้วยสกิลอัญเชิญฉบับดัดแปลงอย่างเงียบๆ

ปรากฏแปดเงาสีเทาผุดยั้วเยี้ยขึ้นมาตามแขนของเขา คล้ายดั่งหนวดปลาหมึก ทยอยเลื้อยผ่านมือและจมลงไปในกล่อง

ด้วยพลังอัญเชิญภูตผี ไม่ใช่เรื่องยากเย็นเลยที่จะดัดแปลงมัน แล้วนำมาใช้เคลื่อนย้ายบางสิ่งที่ถูกชั้นอุปสรรคบางๆปิดกั้นไว้ออกมา

ชายอ้วนขมวดคิ้ว และมุ่งสมาธิอยู่กับสิ่งที่อยู่ภายในกล่อง แต่ทันใดนั้นเอง…

ปากของเขาก็ถูกอุด พร้อมกับมีดสั้นที่เสียบเข้าขั้วหัวใจ ทะลุออกมาถึงทรวงอก!

ชายอ้วนเบิกตากว้าง พยายามดิ้นรนด้วยความสิ้นหวัง แต่กลับเห็นแค่เพียงมีดสั้นที่ถูกชักออก ตามต่อด้วยมือข้างหนึ่งที่กระซวกผ่านรอยแผล คว้ากุมหัวใจของตน และบดขยี้มันโดยตรง

ชายอ้วนแข็งค้างไป และร่วงลงกับพื้น ทว่าด้วยความแข็งแกร่งในฐานะผู้อัญเชิญภูตผี เขาจึงยังไม่ตายลงในทันที…แต่สภาพนี้ก็คงจะอีกไม่นาน

“วังเฉิง ในที่สุดแกก็ถึงคราวตายซักที” เสียงของชายอีกคนดังขึ้นมาจากเบื้องหลัง

ชายอ้วนที่ล้มตัวลงกับพื้นค่อยๆ ยกสายตาตนเองขึ้นอย่างยากลำบาก แต่ภาพที่เห็นกลับทำให้วิสัยทัศน์ของเขาพร่ามัวไปด้วยน้ำตา

ภรรยาที่เขารักกำลังอิงแอบแนบกับแขนของชายอีกคนหนึ่ง สองมือกุมผ้าเช็ดหน้า ค่อยๆ ซับเลือดที่กำลังหยดย้อยลงจากมีดสั้น

ชายอีกคนก้มลงมองเขา กล่าวด้วยรอยยิ้ม “พี่วัง เรื่องภรรยาพี่ไม่ต้องกังวลไป เดี๋ยวผมจะดูแลให้เอง ตอนนี้ก็ตายๆ ไปให้พ้นๆ ได้แล้ว”

ชายอ้วนที่ถูกเรียกว่าวังเฉิงกระอักเลือดออกมา เอ่ยปากด้วยน้ำเสียงอ่อนล้า “บอสจะต้องไม่ยอม…”

“สบายใจได้น่า ฉันได้ตกลงกับเจ้าหน้าที่ลำดับสองเอาไว้แล้ว เขาได้รับเงินมากพอที่จะช่วยฉันปิดบังการกระทำในครั้งนี้”

ดวงตาของวังเฉิงไหลเป็นสายเลือด เขาจ้องมองหญิงสาวแต่ไม่ได้เอ่ยคำใด

ผู้หญิงคนนั้นเผยอริมฝีปาก และกล่าว “ตาแก่วัง เรื่องนี้ตำหนิฉันไม่ได้หรอกนะ เพราะจริงๆ แล้วคุณน่ะมันไร้ประโยชน์! ฉันอุตส่าห์ติดตามคุณมานานแล้ว แต่พอถึงเวลาที่จะต้องไปยังวิหารเทพ คุณกลับไม่สามารถช่วยออกเงินให้ฉันได้”

ชายอีกคนกอดเธอและยิ้ม “พี่วัง พี่มั่นใจได้เลยว่าด้วยเงินเก็บของพี่ รวมกันกับเงินออมของพวกเราทั้งสองคน มันจะเพียงพอที่จะช่วยให้ฉันกับเธอเดินทางไปยังวิหารแห่งชีวิต ส่วนพี่ก็พักผ่อนอยู่ที่นี่อย่างสงบเถอะ”

วังเฉิงมองผู้ชาย สลับไปมองผู้หญิง อดไม่ได้ที่จะหัวเราะขมขื่นออกมา

ในฐานะผู้อัญเชิญที่เกี่ยวข้องกับภูตผี กระทั่งในเวลานี้เขาก็ยังรู้สึกว่าพลังชีวิตของตนเองกำลังหมดลงอย่างรวดเร็ว

เขากำลังจะตาย

แต่เขาจะไม่ยอมตายไปเฉยๆ แบบนี้!

ไม่รู้ว่าตั้งแต่เมื่อไหร่ บางทีอาจจะเป็นในระหว่างที่อีกฝ่ายกำลังพูด วังเฉิงก็ได้ใช้เลือดของตัวเอง ตวัดไปมาเป็นลวดลายบางอย่างบนพื้น

เขาปลุกเร้าพละกำลังเฮือกสุดท้ายทั้งหมดในชีวิต เพื่อเตรียมเปิดใช้งานเทคนิคมนตราอัญเชิญที่แข็งแกร่งที่สุดของตน

อย่างไรก็ตาม ทั้งชายหญิงที่อยู่ตรงข้ามเขากลับไม่ห้ามปรามใดๆ แค่คอยเฝ้ามองดูฉากนี้อย่างไม่แยแส

ผู้ชายโอบกอดหญิงไว้ในอ้อมแขน และส่ายหัวด้วยรอยยิ้ม “ก่อนที่พวกเราจะเข้ามา ฉันได้วางอุปสรรคศักดิ์สิทธิ์ไว้รอบๆ ซากยานแล้ว นั่นหมายความว่าเทคนิคมนตราอัญเชิญสิ่งชั่วร้ายของพี่จะไม่สามารถเจาะมันเข้ามาได้”

ผู้หญิงมองดูเขาด้วยความซับซ้อนเล็กน้อย ปากเอ่ยกล่าวด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล “วังเฉิง พวกเราอยู่ด้วยกันมาตั้งหลายปี รู้เรื่องเกี่ยวกับคุณดีทุกอย่าง แล้วทำไมเราจะไม่รู้ว่าคุณกำลังคิดจะทำอะไร? ”

วังเฉิงก็ยังรู้สึกตัวนะว่าที่อีกฝ่ายพูดเป็นความจริง ที่เทคนิคอัญเชิญของเขาถูกขังอยู่ในยานอวกาศโดยอำนาจศักดิ์สิทธิ์โดยสิ้นเชิง

ในหัวใจของเขาเต็มไปด้วยความอ้างว้างและไม่ยินยอม แต่ก็ไม่เต็มใจจะตอบอีกฝ่ายไป เพราะแม้ว่าจะต้องตาย แต่เขาจะต้องทำให้ดีที่สุดก่อนจะสิ้นใจลงให้จงได้!

วังเฉิงปาดเลือดและน้ำตาบนใบหน้าของเขา ขมุบขมิบร่ายคำอัญเชิญให้จบครบสมบูรณ์

“ไม่ว่าจะเป็นภูตผีจากโลกใดก็ตาม ตราบใดที่ท่านสามารถแก้แค้นให้ฉันได้ ฉันก็ยินดีที่จะยกประสบการณ์ ความรู้ ทักษะความสามารถ และเงินตราทั้งชีวิตของฉันให้กับท่าน”

“ฉันยินยอมจมลงสู่ความมืดมิด และคำสาปแช่งชั่วนิรันดร์ จิตวิญญาณของฉันจะกลายเป็นแต้มพลังวิญญาณอันบริสุทธิ์ และมอบมันให้แก่ท่าน!”

“ตอนนี้ ได้โปรดปรากฏกายขึ้นเบื้องหน้าฉัน ช่วยแก้แค้นให้กับความเกลียดชังอันฝังรากลึกนี้ด้วยเถอะ!”

เปรี้ยง!

เมฆหมอกสีเทาขนาดใหญ่ฟุ้งกระจายออกจากเขาไปทุกทิศทาง ชายและหญิงอดไม่ได้ที่จะก้าวถอยห่างออกไป

ผู้ชายส่ายหัว “ไร้ประโยชน์น่า เทคนิคอัญเชิญของพี่มันไม่สามารถออกไปจากที่นี่ได้ และพี่จะตายไปทั้งๆ ที่ไม่มีใครรู้”

ขณะกล่าว กลับเห็นแค่เพียงเมฆหมอกสีเทาขนาดใหญ่เริ่มหลอมรวมกันอีกครา ห่อหุ้มร่างกายของวังเฉิงเอาไว้ แล้วควบไปรวมกันที่ฝ่ามือของเขา

นี่คือสัญญาณที่บ่งบอกถึงความสำเร็จของเทคนิคอัญเชิญ

“ได้ยังไงกัน! ทำไมเขาถึงเปิดใช้งานมันได้สำเร็จล่ะ!?” ผู้หญิงกรีดร้องด้วยความหวาดกลัว

ชายข้างกายเธอไม่อาจบังคับตนให้ใจเย็นอีกต่อไป เขาวูบกายไปข้างหน้า เหวี่ยงสะบัดมีดสั้นในมือด้วยกำลังทั้งหมดที่มี

บังเกิดประกายแสงเย็นวาบ

แขนข้างที่หมอกสีเทาไปควบรวมกันถูกตัดออก แต่ชายคนนั้นดูเหมือนว่าจะยังไม่สบายใจ เขาจึงตัดแขนอีกข้างของวังเฉิง รวมไปถึงขาทั้งสองด้วยเช่นกัน

“ฟู่ว…ไหนคราวนี้ลองดูสิว่าแกจะมีวิธีอะไรมาจัดการกับฉันอีกไหม” ชายคนนั้นอ้าปากหอบหายใจหนักหน่วง

แต่วังเฉิงกลับไม่สนใจชายคนนั้นเลย เพราะเขากำลังกลั้นลมหายใจเฮือกสุดท้ายเอาไว้ พยายามอย่างเต็มที่ ที่จะรักษาสติและเฝ้ารอ…

รอกฎเกณฑ์แห่งการอัญเชิญตอบรับกลับมาว่าภูตผีตนใดที่เขาสามารถเรียกมันมาได้

ทันใดนั้นเอง วังเฉิงก็คลายลมหายใจเฮือกสุดท้ายของเขาออกมา

ปากเอ่ยกล่าว “ราชาภูต…แห่งประภพ…ได้โปรด…” เสียงถูกตัดออกไป

คู่ดวงตาที่เต็มไปด้วยเลือดหมองลง ไร้ซึ่งวี่แววแห่งชีวิตอีกต่อไป เขาตายซะแล้ว

แต่โชคยังดี ที่เทคนิคอัญเชิญไม่ได้ถูกขัดจังหวะใดๆ หมอกสีเทาที่เกิดจากการทุ่มพลังทั้งหมดในการอัญเชิญ ปรากฏอักษรรูนลึกลับขึ้น และระเบิดออกทันที

ตูม!

หมอกและควันฟุ้งกระจายไปทั่ว พร้อมกันกับเสียงของชายหนุ่มที่ดังขึ้น

“ซวยฉิบหาย พล่ามแผนการมาตั้งครึ่งตอน สุดท้ายไม่ได้ใช้เฉยเลย!”

………………………………….