ส่วนที่ 1 ตอนที่ 11 จับปีศาจ (2)

ปลดผนึกหัวใจหวนรัก Love and Redemption

เด็กหญิงบนหลังค่อยๆ ผล็อยหลับไป หายใจอย่างเป็นสุข ใบหน้าเต็มไปด้วยความสุขใจ จงหมิ่นเหยียนกลับรู้สึกถึงความเศร้าที่อัดเต็มภายใน

 

แต่เล็กเขาเป็นเด็กหยิ่งทะนงตน แต่ในเส้าหยางกลับเป็นศิษย์รุ่นอายุเล็กที่สุด แม้ว่าพยายามเต็มที่เพียงใด ก็ไม่อาจสู้บรรดาศิษย์พี่รุ่นก่อนหน้าได้ ครั้งนี้ได้เข้าร่วมภารกิจจับปีศาจงานชุมนุมปักบุปผา เขาดีใจมากจริงๆ คิดเพียงจะอาศัยโอกาสนี้แสดงออกให้ดีสักหน่อย จะได้รับการเหลียวมองจากอาจารย์

 

ผลปรากฏเขากลับต้องมาแบกคน เขาหันกลับไปมองเสวียนจี ใบหน้านางแดงระเรื่อ ขนตาสั่นไหว ไม่รู้ฝันอันใดอยู่ เฮ้อ หากคนที่มาเป็นหลิงหลง ทุกอย่างคงไม่เป็นเช่นนี้ ไม่แน่เขายังอาจได้ร่วมประสานกระบี่คู่กับหลิงหลง ร่วมต่อสู้กับมารปีศาจสักสองสามกระบวน!

 

เหตุใดอาจารย์จึงให้เขาเขียนชื่อเสวียนจี เหตุใดที่ถูกเลือกกลับเป็นเสวียนจีที่ไม่มีประโยชน์แม้แต่น้อย?

 

เขาแต่ไรมาก็ดูแคลนนาง แต่ตอนนี้ในความดูแคลนก็ยังมีความสงสารที่เป็นอารมณ์วุ่นวายอันกล่าวไม่กระจ่างผสมอยู่ นางเหมือนนกพิราบน้อยที่ได้รับบาดเจ็บตัวหนึ่ง อ่อนโยนนุ่มนิ่ม พิงเอนอยู่บนหลังเขาเงียบๆ ทำให้เขาไม่อาจกล่าววาจาเจ็บแสบออกมา

 

หลิงหลง หลิงหลง…อย่างไรก็เป็นหลิงหลงดี เด็กคนนั้นไม่ได้มาจับปีศาจ ตอนนี้คงกำลังหัวฟัดหัวเหวี่ยงอยู่ที่เส้าหยางเป็นแน่ คิดถึงท่าทางมีชีวิตชีวาของนาง เขาอดอยากจะยิ้มไม่ได้ ใจที่ขุ่นมัวก็เหมือนว่านิ่งสงบลงไปบ้าง

 

กำลังคิดเหลวไหลไปมา พลันได้ยินเสียงลมพัดผ่านด้านบนไป ซ่าพัดวูบหนึ่ง ใบไม้ปลิวม้วน พระจันทร์มืดดับลง

 

“ไม่ได้การ!” ฉู่เหล่ยร้องขึ้นเบาๆ เขาผ่านการต่อสู้มานับร้อย ประสบการณ์มาก พลิกข้อมือทันที แขนเสื้อพลันมีแสงสีแดงสว่างวาบพุ่งออกไปในพริบตา ปรากฏเสียงนกร้องแหลมดังบินทะยานออกไปทันที เห็นเพียงลำแสงกลางท้องฟ้าสายหนึ่งพาดผ่าน ทิ้งไว้เพียงแค่แสงวาบสายหนึ่ง

 

นี่เป็นสัตว์ภูตที่เขาเลี้ยงไว้ วิหคเทพหงหล่วน คนสำนักเส้าหยางบำเพ็ญได้สิบปีขึ้นไป ก็สยบมารปีศาจให้เชื่องได้ ทุกวันป้อนอาหาร น้ำพุศักดิ์สิทธิ์หลังเขาและผลเฉ่ากั่วก้านหยกคุนหลุนทำให้กลิ่นอายปีศาจกลายเป็นกลิ่นอายภูตเทพ ย่อมยอมให้ตนใช้งาน

 

วิหคเทพหงหล่วนของฉู่เหล่ยเลี้ยงมาได้มากกว่ายี่สิบปีแล้ว บินได้เร็วหาใดเทียม บินพุ่งออกจากแขนเสื้อ ส่งเสียงร้องดังร้ายกาจ ทุกคนได้แต่มองไปยังเงาดำก้อนหนึ่งกลางท้องฟ้าตรงลำแสงนั่น ปะทะกันดัง พริบตาก็หายวับไป

 

จงหมิ่นเหยียนมองอย่างตื่นตะลึง ข้างหูมีคนเตือนว่า “เร็ว! พวกเจ้าสองคนพาเสวียนจีไปหลบในถ้ำข้างหน้าก่อน!”

 

เขาตกใจทันที ก่อนได้สติว่าที่มาคือมารปีศาจปรากฏตัวแล้ว มองด้านหน้าไกลออกไปไม่กี่ก้าว เห็นมีถ้ำหนึ่ง ในห้วงเวลานั้นไม่อาจคิดอันใดมาก รีบแบกเสวียนจีวิ่งไปทันที วางนางลงบนพื้น ตนเองจะออกไปดูสถานการณ์ กลับเห็นอวี่ซือเฟิ่งวิ่งมาขวางปากถ้ำ

 

“อย่าออกไป!” เขากล่าวน้ำเสียงหนักแน่น

 

จงหมิ่นเหยียนร้อนใจ กล่าวเย็นชาว่า “ไม่ต้องให้เจ้ามายุ่งเรื่องข้า!” กล่าวจบผลักเขาออกจะเดินไป ไม่ลังเลประมือกับเขา เสียงหนึ่งรั้งข้อมือเขาไว้ พลิกทีหมุนที นิ้วมือกดแน่นที่จุดชีพจรเขา

 

“ข้าบอกแล้ว อย่าออกไป!” น้ำเสียงอวี่ซือเฟิ่งยิ่งเยียบเย็น “เจ้า ไม่ใช่ คู่ต่อสู้ พวกมัน!”

 

จงหมิ่นเหยียนยิ่งไม่ตอบ อีกมือพลันสะบัดเบาๆ นิ้วกลางแตะลงบนหลังมือเขาเบาๆ กำลังจะกดลงไป อวี่ซือเฟิ่งก็ราวกับแตะโดนกระแสไฟวาบ ปล่อยมือถอยหลังไปหลายก้าว

 

“พลังดรรชนีพันหมื่นสำนักเส้าหยาง!” เขาตกใจอยู่บ้าง “เจ้าถึงกับ เป็นวิชานี้!”

 

ว่ากันว่าพลังดรรชนีพันหมื่น ยามฝึกนั้นโหดร้ายทารุณมาก ทุกวันต้องฝึกซ้ำไปมาในน้ำเดือดและน้ำแข็ง คนปกติมักจะไม่อยากฝึก ผิวหนังฝ่ามือจะหลุดลอกออกเกือบหมด เจ็บปวดยิ่งยวด มีเพียงผู้ไม่กลัวความทรมาน ฝึกซ้ำไปมา จึงจะออกดรรชนีได้ราวสายฟ้าฟาด อ่อนโยนราวแพรไหม

 

แต่ไรมาเขาคิดว่าจงหมิ่นเหยียนก็แค่ศิษย์ธรรมดา ไม่คิดว่าเขามีความสามารถเพียงนี้

 

จงหมิ่นเหยียนสะบัดไม่โดน ร่างพลันหมุน นิ้วมือจงใจลูบไปบนผนังถ้ำ ได้ยินเสียงดังเปรี๊ยะ หินก้อนหนึ่งที่ยื่นออกมาค่อยๆ เป็นรอยแยก เศษหินหลายก้อนร่วงลงพื้น

 

เขาไม่กล่าวอันใด ได้แต่มองไปยังอวี่ซือเฟิ่ง

 

อวี่ซือเฟิ่งเงียบไปครู่หนึ่งกล่าวว่า “เจ้า ไม่สู้ เหลือแรงไว้ ช่วยอาจารย์ ของเจ้า มาสู้ข้า ไร้ความหมาย!”

 

“เช่นนั้นก็อย่าขวางข้า!” จงหมิ่นเหยียนขมวดคิ้ว

 

อวี่ซือเฟิ่งกล่าวน้ำเสียงนิ่งเรียบว่า “เจ้าตอนนี้ ออกไป มีประโยชน์ใด ก็แค่ ทำลาย สมาธิ พวกเขา ทำร้าย พวกเขา เสียสมาธิ ดูแลเจ้า รอจับได้ สุนัขฟ้า ค่อยออกไป ก็ไม่สาย”

 

วาจาเพิ่งกล่าวจบ ก็ได้ยินนอกถ้ำมีเสียงร้องแหลมดังมา ราวกับว่ามีแมวหลายหมื่นตัวมารวมกันส่งเสียงร้องหาคู่ ยังราวกับสุนัขมาออดอ้อน ยิ่งราวกับทารกร้องไห้กันเต็มทั่วเมือง เสียงนั่นออดอ้อนและก็ราวกระหายเลือด ทำให้คนได้ฟังแล้วต้องขนลุกไปทั้งตัว

 

“อินทรีกู่เตียว!” อวี่ซือเฟิ่งหลุดร้องออกมาเสียงหนึ่ง ลมพัดมายังปากถ้ำ จงหมิ่นเหยียนไม่ยอมแสดงความอ่อนแอ วิ่งตามไป

 

เห็นแสงสว่างวาบนอกถ้ำ บรรดานายพรานทำตามคำสั่ง เอาคบไฟทั้งหมดปักไว้ปากถ้ำ ป้องกันมารปีศาจเข้าไปในถ้ำทำร้ายเด็กทั้งสามคน วิหคเทพหงหล่วนอยู่บนท้องฟ้า ไล่ตามเงาดำขนาดใหญ่ ทั้งจิกทั้งขย้ำ ขนสีดำร่วงกลางอากาศไม่หยุด

 

อวี่ซือเฟิ่งเก็บขึ้นมาขนหนึ่ง เห็นว่าแข็งยิ่งกว่าก้านไม้ปกติ แต่ละก้านดำขลับมันวาว ส่องประกายเยียบเย็นราวเหล็ก ตั้งแต่ปลายขนถึงโคนยาวราวสองฝ่ามือเขา

 

เขาอดกล่าวไม่ได้ว่า “นี่คือ…! ใกล้เป็น จอมปีศาจแล้ว! อายุมากจริง อินทรีกู่เตียว! เกรงแต่ว่า อันตราย!”

 

จงหมิ่นเหยียนเดิมเคร่งเครียดยิ่ง พอได้ยินเขาพูดติดอ่าง ก็ยิ่งร้อนใจ หน้าบึ้งกล่าวว่า “เจ้าพูดภาษาคนดีๆ ไม่เป็นหรือ! พูดไม่เหนื่อย ฟังแล้วเหนื่อย!”

 

อวี่ซือเฟิ่งอึ้งไป คิดโต้ตอบ แต่ตนเองพูดภาษาจงหยวนไม่คล่องจริง ถึงเวลาถูกคนหัวเราะเยาะเอา ได้แต่ทำหูทวนลม

 

วิหคเทพหงหล่วนไล่ตามกัดอินทรีกู่เตียวตัวใหญ่มหึมามาได้พักหนึ่ง ค่อยๆ อ่อนแรง การเคลื่อนไหวไม่คล่องแคล่วเหมือนก่อนหน้า ตามคาด พริบตาก็ถูกอินทรีกู่เตียวมองเห็นจุดอ่อน มันสยายปีกกว้างขึ้นทันที ถึงกับยาวสิบกว่าจ้างได้ คลุมไปทั่วผืนดิน บดบังแสงจันทร์ วิหคเทพหงหล่วนถูกปีกมันเบียดให้เข้ามุม ไม่อาจพลิกตัวได้ เห็นกรงเล็บราวตะขอของอินทรีกู่เตียวตัวใหญ่มหึมาจับมันได้ราวจับวาง

 

ฉู่อิ่งหงร้อนใจกล่าวว่า “ไม่ได้การ! เจ้าสำนักรีบเรียกกลับมาเร็ว!”

 

ฉู่เหล่ยกำลังจะร่ายคาถา พลันเห็นวิหคเทพหงหล่วนพลิกตัวอย่างคล่องแคล่ว หลบกรงเล็บนั่นได้อย่างหวุดหวิด ทุกคนเพิ่งจะถอนหายใจโล่งอก ก็พลันได้ยินเสียงลมด้านหลัง มีเงาดำหนึ่งพุ่งออกจากในป่า ความมืดมองไม่ชัด ราวกับสัตว์ขนาดราวเสือ ใต้ฝ่าเท้ามันกระพือกระแสลม ทะยานขึ้น ถึงกับข้ามศีรษะทุกคนไป อาศัยแรงลมพุ่งเข้าใส่วิหคเทพหงหล่วน

 

วิหคเทพหงหล่วนรับมืออินทรีกู่เตียวก็สิ้นพลังมากพอแล้ว ผู้ใดจะคิดว่าด้านหลังพลันปรากฏมารปีศาจบุกมาอีกตัว มันหลับไม่พ้น ถูกตะปบเข้าอย่างจัง ขนสีแดงกระจัดกระจายเต็มพื้น

 

ตงฟางชิงฉีอดตกใจไม่ได้ “เป็นสุนัขฟ้า อา! แย่แล้ว!”

 

พวกเขายังไม่ทันได้ทำตามแผน มารปีศาจสองตัวออกมาเร็วไป กระสอบเกลือกับซอสเปรี้ยวราวกับเตรียมมาเสียเปล่า สามคนรับมือปีศาจสองตัว เปลืองพลังมากจริง นับประสาอันใดกับอินทรีกู่เตียวนั่น เหมือนว่า…

 

“อิ่งหง!” ฉู่เหล่ยตะโกนเรียก ฉู่อิ่งหงฉลาดระดับใด พอได้ยินก็เข้าใจความหมายเขาทันที พลิกกาย คว้าเอาไหซอสเปรี้ยวออกมาจากกองของที่ระเกะระกะกับพื้น สาดใส่ตัวสุนัขฟ้าที่กัดวิหคเทพหงหล่วนไม่ปล่อยตัวนั้น

 

พอมันได้ยินเสียงลมมันก็กระโดดหลบ ไหซอสเปรี้ยวสาดลงพื้น แตกกระจายดังเพล้ง กลิ่นแรงแสบจมูกคละคลุ้งไปทั่ว เจ้าสุนัขฟ้านั่นราวกับเกรงกลัวกลิ่นซอสเปรี้ยวมาก ส่งเสียงร้องยาว งับวิหคเทพหงหล่วนไม่อยู่ ปล่อยออกไปทันที

 

ฉู่เหล่ยรีบก้าวเข้าไป คว้าวิหคเทพหงหล่วนขึ้นมา ยัดเข้าในแขนเสื้อเฉียนคุนเงยหน้ามองอีกที สุนัขฟ้านั่นพุ่งเข้าใส่ฉู่อิ่งหงแล้ว

 

สุนัขฟ้าตัวนี้ดูแล้วอายุไม่มาก ขนที่ตัวยังเป็นสีเหลืองอ่อน ฟันเรียงวาววับ ดูแล้วเหมือนเสือดาวอยู่เจ็ดแปดส่วน ฉู่อิ่งหงเห็นมันพุ่งมา ด้านหลังยังมีอินทรีกู่เตียวตามมา ก็รีบหลบออกด้านข้าง โยนไหซอสเปรี้ยวในมือใส่อีก

 

สุนัขฟ้ารู้ความร้ายกาจของสิ่งนี้ รีบหลบทันที ไหซอสเปรี้ยวตกกระจายเต็มเท้า มันรีบทะยานขึ้น พอดีกับที่ตงฟางชิงฉีกำลังรออยู่อีกทาง เขาหัวเราะดังตวาดใส่ “ย้าก!” กระบี่ในมือราวกับมังกรเงินพุ่งออกไปทันที สุนัขฟ้าอยู่กลางอากาศย่อมหลบไม่พ้น โดนกระบี่เข้าไปเต็มๆ ส่งเสียงร้องครางก่อนจะร่วงลง

 

ฉู่เหล่ยถือไหซอสเปรี้ยวรออยู่อีกทางก่อนแล้ว เห็นมันร่วงลง ก็รีบเปิดปากไหสาดไป ซ่า ซอสเปรี้ยวในไหสาดลงบนหัวและใบหน้ามันพอดี

 

สุนัขฟ้าส่งเสียงคำรามแปลกประหลาดเสียงหนึ่ง ตัวมันค่อยๆ อ่อนยวบแน่นิ่งกับพื้น เท้ากระตุกสองที ก่อนจะไม่ขยับอีก

 

ทั้งสามยินดียิ่ง พวกเขาร่วมมือกันเรียกได้ว่าประสานกำลังกันได้ดีราวแผ่นฟ้าไร้ช่องโหว่ เพียงแต่เกิดผิดพลาดระหว่างนั้นเล็กน้อย ฉู่อิ่งหงยากจะไม่บาดเจ็บหนัก

 

ตงฟางชิงฉีใช้เชือกมัดปีศาจจับสุนัขฟ้ามัดไว้แน่น ทั้งสามเงยหน้าขึ้นพร้อมกัน มองไปยังอินทรีกู่เตียวที่ส่งเสียงร้องราวทารกกลางท้องฟ้าตัวนั้น

 

สุนัขฟ้าเป็นเรื่องเล็ก ประเด็นสำคัญสุดก็คืออินทรีกู่เตียวที่ใกล้กลายเป็นจอมปีศาจตัวนั้น ควรรับมือเช่นไร