ภาคที่ 2 บทที่ 60 โคลนยักษ์ (1)

ราชันบัลลังก์เลือด(原血神座)

บทที่ 60 โคลนยักษ์ (1)

ซูเฉินตื่นมาตอนเช้าตรู่ยามที่ฟ้าเพิ่งจะสว่างเท่านั้น

เขาเหยียดแขนยืดกายด้วยความเกียจคร้าน ก่อนจะเดินออกมาจากเพิงพัก และพบว่าคนอื่น ๆ นั่งล้อมวงกินอาหารเช้ากันอยู่

“ของเจ้า วันนี้เจ้าตื่นสายนะ” หวังโต้วซานยื่นข้าวต้มถ้วยหนึ่งให้เขา

“อะไรหรือ ?” ซูเฉินรับถ้วยมาแล้วมองดูใกล้ ๆ

ภายในถ้วยคือของเหลวบางอย่างที่มีสีเขียว ด้วยร้อนมากจึงมีฟองผุดขึ้นมา คล้ายกับว่าภายในใส่พิษร้ายบางอย่างไว้

“ข้าลองแล้ว กินได้” หวังโต้วซานเอ่ยเสียงจริงจัง

“เจ้าทำหรือ ?” ซูเฉินถาม

ตู้ฉิงพูดขึ้น “ข้าทำเอง เป็นข้าวต้มจากเมล็ดพืชป่า ข้าใส่เมล็ดสนเขียวลงไปหน่อย แต่มันกลับละลายเสียอย่างนั้น กลายเป็นข้าวต้มเขียวไปเลย”

ตู้ฉิงพูดแล้วก็แลบลิ้นขี้เล่นออกมา

ซูเฉินยกถ้วยขึ้นซดก่อนพยักหน้า “หน้าตาแปลกไปหน่อย แต่ก็อร่อยไม่น้อย ปกติเรากินกันแต่เนื้อ ได้เปลี่ยนบรรยากาศบ้างก็ไม่เลว”

หลังกินอาหารเช้าเสร็จแล้ว ซูเฉินและคนอื่น ๆ ก็เริ่มออกล่า

วันนี้พวกเขาโชคดีมาก 1 ชั่วยามต่อมาก็พบกับหมีภูเขาตัวหนึ่ง

หมีภูเขาเป็นอสูรร้ายระดับสูง อีกทั้งยังทรงพลังมาก แต่เมื่อเผชิญหน้าเข้ากับกลุ่มศิษย์สถาบันแล้ว มันก็ได้แต่รอความตายเท่านั้น

ไม่นานทุกคนก็จัดการมันสำเร็จ

หลังจากนั้น ซูเฉินและและกังเหยียนก็เริ่มออกท่าทางพิลึกเพื่อส่งวิญญาณหมีภูเขาไปยังโลกหลังความตาย

เจิ้งเซี่ยยืนมองคนทั้งสองออกท่าทางประหลาดอยู่ใต้ต้นไม้ “น่าสนใจยิ่ง”

“มีอะไรน่าสนกัน ?” คนอื่น ๆ ไม่เข้าใจจึงถามขึ้น

เจิ้งเซี่ยชี้ไปทางซูเฉิน “พวกเจ้าคิดว่าเพราะเหตุใดพวกเขาจึงออกท่าทางไม่เหมือนกันทุกครั้งเลยเล่า ?”

หวังโต้วซานชะงักคิดไปเล็กน้อยก่อนพยักหน้าเห็นด้วย “น่าสนใจ สองคนนั้นกำลังทำท่าอะไรกันแน่ ? เหตุใดแต่ละครั้งจึงไม่เหมือนกันสักที ?”

“อาจเพราะพอเป็นเรื่องความเชื่อ ความจริงใจย่อมสำคัญกว่าการออกท่าทางกระมัง” ซุนจี้จู่วิเคราะห์

“ปัญหาคือทั้งกังเหยียนและซูเฉินไม่ใช่คนที่ดูจริงใจเลยสักหน่อย” ตู้ฉิงงึมงำขึ้น

ในสองคนนั้น คนหนึ่งคิดน้อย คนหนึ่งคิดมาก แต่ไม่ว่ายามสนทนาครั้งใดก็ไม่เคยกล่าวถึงความเชื่อของตนเลยสักครั้ง ไม่ว่าจะมองอย่างไรก็ดูเป็นคนเคร่งศาสนาไม่ได้จริง ๆ

เป็นตอนนั้นเองที่อวิ๋นเป้าเอ่ยขึ้น “พวกเจ้าสังเกตเห็นหรือไม่ว่าช่วงนี้พื้นฐานการบ่มเพาะพลังของซูเฉินดูจะเพิ่มสูงขึ้นมาก ?”

“งั้นหรือ ?” คนอื่นเอ่ยขึ้น “ไม่เห็นรู้สึกเลย”

หวังโต้วซานเอ่ยเสียงพิเคราะห์ “ข้ารู้สึกว่ากลิ่นอายเขาแกร่งขึ้นเล็กน้อย”

“เขาฝึกฝนอยู่บนเขาอินทรีโรยมา 10 วันแล้ว ดังนั้นกลิ่นอายย่อมต้องแกร่งขึ้นเป็นธรรมดา” เหยียนฟู่ซิงแกร็งกล้ามอกแล้วเอ่ยถาม “ช่วงนี้ข้าก็รู้สึกว่าข้าแกร่งขึ้นเหมือนกัน ศิษย์น้องฉิง เจ้าคิดเห็นอย่างไร ?”

ตู้ฉิงกลอกตาใส่เขาก่อนหันหน้าหนี เหยียนฟู่ซิงเห็นนางไม่ตอบก็นั่งหัวเราะอยู่เช่นนั้น

แต่ไม่มีใครรู้เลยว่าอวิ๋นเป้านั้นพูดได้ถูกต้องยิ่งนัก

ในช่วงนี้ พื้นฐานการบ่มเพาะพลังของซูเฉินนั้นพุ่งสูงขึ้น จาก 52 ดาราเหลือง เป็น 63 ดาราเหลืองแล้ว

ล้วนเป็นเพราะนัยน์ตาของเขาทั้งสิ้น

อาจกล่าวได้ว่าหากซูเฉินคิดจะมุ่งไปทางฝึกบ่มเพาะพลังเพียงอย่างเดียวไม่คิดมุ่งสู่หนทางบัณฑิตอีก เช่นนั้นก็จะใช้เวลาอีกเพียงร้อยวันเพื่อทะลวงสู่ด่านกลั่นโลหิตเท่านั้น เป็นเพราะเขามีความเร็วในการบ่มเพาะพลังสูงมาก

และด้วยความเร็วในการบ่มเพาะพลังเช่นนี้ หากซูเฉินต้องการ เขาย่อมสามารถกลายเป็นอัจฉริยะแห่งสถาบันได้

ทว่าซูเฉินไม่คิดทำเช่นนั้น นั่นไม่ใช่เป้าหมายของเขา สำหรับเขาแล้ว ประโยชน์จากดวงตานี้คือการที่ทำให้เขาประหยัดเวลาบ่มเพาะพลังไปได้มากเท่านั้น

ด้วยเหตุนี้ เด็กหนุ่มจึงไม่กังวลว่าคนอื่น ๆ จะล่วงรู้เรื่องนี้

หากไม่รู้ในทันที เขาก็สามารถใช้การวิจัยเป็นข้ออ้าง ถัวเฉลี่ยให้ความเร็วลดลงได้ ทำให้สุดท้ายคนอื่น ๆ ไม่อาจล่วงรู้ความจริงในที่สุด

มีเพียงกังเหยียนที่อาจทำให้ความลับแตก

เผ่าหินผาฝึกบ่มเพาะพลังได้ยากมาก แต่เพราะซูเฉิน เขาจึงสามารถเพิ่มพื้นฐานการบ่มเพาะพลังได้เทียบเท่า หรืออาจจะมากกว่ามนุษย์ปกติอยู่เล็กน้อย อีกทั้งกังเหยียนยังไม่ต้องใช้เวลาทำวิจัย ดังนั้นช่วงกลางวันก็สามารถฝึกบ่มเพาะพลังได้เต็มที่

หากแต่คนอื่น ๆ ก็คงจะเพียงตกใจกับ ‘ความเป็นอัจฉริยะ’ ของกังเหยียน มากกว่าที่จะคิดถึงซูเฉินหรือท่วงท่าส่งวิญญาณของพวกเขา เพราะซูเฉินมีพัฒนาที่ช้ากว่า ทำให้คนอื่น ๆ คลายความสงสัยที่อาจมีในตัวเขาลง

หลังจากทำพิธีส่งวิญญาณแล้ว ซูเฉินและกังเหยียนก็กลับไปหาทุกคน

พวกเขาเดินไปพูดคุยไป ในตอนที่กำลังมองหาอสูรตัวต่อไปนั้นเองก็ได้ยินเสียงคำรามลั่นดังขึ้นจากไกล ๆ

เป็นเสียงคำรามลั่นคล้ายสายฟ้าฟาด ดังก้องไปทั่วทั้งป่า มันสะท้านผ่านชั้นฟ้ากระแทกเข้าหูทุกคน เห็นได้ชัดว่าคนหรือสิ่งมีชีวิตบางอย่างที่เปล่งเสียงนี้ออกมาคงจะโกรธมากเป็นแน่

เสียงตัวอะไรน่ะ ?

ทุกคนชะงักค้างไป

อวิ๋นเป้าและซูเฉินรีบกระโดดเหินร่างขึ้นต้นสนสูงก่อนจะเพ่งมองไปไกล

พวกเขาเห็นสิ่งมีชีวิตขนาดยักษ์ตัวหนึ่งแหงนหน้าส่งเสียงคำรามโกรธขึ้นฟ้า มันสูงมาก กระทั่งกังเหยียนยังดูเหมือนเศษฝุ่นหากนำมาเทียบกัน ร่างมันเต็มไปด้วยดินและทรายเป็นก้อน ๆ ผสมกัน หลุดร่วงลงจากร่างเป็นพัก ๆ

“เจ้านั่นมันพวกโคลนยักษ์ใช่หรือไม่ ?” เสียงตื่นตกใจของตู้ฉิงดังขึ้นที่ด้านหลังซูเฉิน

โคลนยักษ์ไม่ได้อยู่ในเผ่าสัตว์อสูร แต่พวกมันเป็นเพียงสิ่งมีชีวิตที่เกิดจากธาตุเท่านั้น แต่กลับมีความสามารถในการควบคุมพลังต้นกำเนิดได้ สืบสายมาจากเผ่าพันธุ์ต้นกำเนิด มีชื่อว่าเผ่าธาตุ

เผ่าธาตุนั้นไร้สติปัญญา ทำสิ่งใดโง่เง่าไปตามสัญชาตญาณ และแม้มันจะมีขนาดตัวใหญ่ แต่ก็ไม่เคยช่วยเหลือกัน อีกทั้งยังมีจำนวนน้อย ดังนั้นจึงไม่เคยผงาดขึ้นมามีอำนาจเหนือทวีปต้นกำเนิดเลยสักครา

แต่มันก็มีร่างกายแข็งแกร่งมาก เผ่าธาตุที่แกร่งที่สุดนั้นทรงพลังได้เทียบเท่ากับจักรพรรดิอสูรกายเลยทีเดียว

โคลนยักษ์ตรงหน้าคงจะเป็นผู้อำนวยการสถาบันเป็นคนนำกลับมายามออกเดินทาง มันยังอยู่ในวัยเด็ก และหลังจากผนึกการเจริญเติมโตของมันไว้แล้วก็ถูกนำมาปล่อยไว้ในหุบเขาพันเถ้าเพื่อให้เหล่าศิษย์ได้ใช้ปรึกปรือฝีมือ

หากปลามังกรเป็นเจ้าแห่งทะเลสาบโบราณไม่รากู่ เช่นนั้นโคลนยักษ์ก็เป็นเจ้าแห่งหุบเขาพันเถ้า มันเป็นสิ่งมีชีวิตที่ทรงพลังที่สุด แม้จะเทียบในหมู่อสูรร้ายระดับสูงสุดก็ตาม

เคราะห์ดีที่โคลนยักษ์นั้น ปกติแล้วขี้เกียจมาก หากไม่ได้ถูกรุกล้ำเขตแดนก็จะไม่ทำอันตรายใคร

กลุ่มของซูเฉินเจอโคลนยักษ์ตอนสำรวจหุบเขาพันเถ้าอยู่หลายครั้ง แต่ไม่ได้ไปแหย่มันให้ออกมาโจมตี

ไม่คาดคิดเลยว่าวันนี้จะมีคนไปแหย่โคลนยักษ์ออกมา

ภายในป่ากว้าง คนกลุ่มหนึ่งวิ่งหนีกันหน้าตั้ง โคลนยักษ์กรีดร้องเสียงโหยหวนกระโจนไล่หลังตามมาติด ๆ

คนที่อยู่ด้านหน้าสุดคือคันศรไม้จางเซิ่งอัน