บทที่ 232.2 พบกับเทพอภิบาลเมืองอีกครั้ง โดย ProjectZyphon
คนทั้งสามเพิ่งมาถึงนอกประตูจวนจ้าว ชายหญิงที่ถูกคาถามารมีเลือดซึมออกมาจากดวงตาก็พุ่งเข้ามาสังหาร พวกเขาแยกเขี้ยวกางกรงเล็บ วิ่งตะบึงว่องไว มือดาบและมือธนูส่วนใหญ่ที่อยู่ข้างนอกคือมือปราบและเจ้าหน้าที่ในจวนขุนนางของเมือง เวลาปกติอย่างมากก็แค่รับมือกับโจรสลัดในมหาสมุทร หรือไม่ก็พวกหัวขโมยเล็กๆ น้อยๆ ไหนเลยจะเคยเจอกับเหตุการณ์อย่างนี้มาก่อน คนส่วนใหญ่จึงมีสีหน้าซีดขาวราวหิมะ ยิงธนูแทบไม่เข้าเป้า อีกอย่างต่อให้ข้ารับใช้ชายหญิงของตระกูลจ้าวที่โดนอาคมปีศาจจะโดนลูกธนูยิงก็ยังสามารถเดินหน้าได้ต่ออยู่ดี เฉินผิงอันมองเห็นเด็กหนุ่มที่ใบหน้าเปื้อนเลือดคนหนึ่งถูกลูกธนูน้ำหนักมหาศาลยิงเข้าที่หน้าอกในระยะยี่สิบก้าว ร่างทั้งร่างถูกแรงกระแทกพาบินออกไป ผงะหงายล้มผลึ่งลงด้านหลัง แต่แล้วเขาก็ดิ้นรนลุกขึ้นยืน ตรงหน้าอกยังมีลูกธนูดอกใหญ่เสียบคาโผล่มาครึ่งท่อน กระอักเลือดพลางกระโจนมาข้างหน้าต่ออีกครั้ง
การจัดขบวนรบอย่างหยาบๆ ของมือธนูกับนักปราบมือดาบแทบจะแตกซ่านเซ็น ได้แต่ต่อสู้ประชิดตัวกับมารร้ายที่ไม่กลัวตายพวกนั้น หากไม่เป็นเพราะพวกเฉินผิงอันสามคนมาถึงพอดี เกรงว่าคนของตระกูลจ้าวที่พากันกรูออกมาไม่หยุดคงกระจายตัวกันไปตามสถานที่ต่างๆ สร้างภัยพิบัติให้แก่ชาวเมืองเหมือนฝูงตั๊กแตนไปแล้ว เฉินผิงอันไม่รู้ว่ามีวิธีคลายอาคมปีศาจหรือไม่ เขาจึงยังใช้แค่หมัดและเท้าเตะต่อยให้คนตระกูลจ้าวที่เหมือนถูกผีสิงให้กระเด็นกลับไปใกล้ประตูใหญ่ของจวน กระพรวนของหลิวเกาซินสั่นสะเทือนรุนแรง ดอกไม้สี่ทองกระจายตัวกันไปสี่ทิศ อาคมปีศาจที่ขอแค่สัมผัสโดนดอกไม้สีทองก็จะแตกสลาย กลายมาเป็นเลือดสดเหนียวหนืดกองหนึ่งที่ส่งกลิ่นคาวคละคลุ้ง
หลังจากมือดาบแซ่โต้วชักดาบออกมา ตัวดาบก็ปล่อยประกายแสงสีขาวหิมะ ทุกดาบที่ฟันลงไปล้วนตัดร่างชายหญิงเด็กแก่ที่ถูกปีศาจเข้าสิงให้ขาดครึ่งท่อน วิชาดาบของชาวยุทธ์คนนี้ไม่ธรรมดาอย่างยิ่ง เห็นได้ชัดว่าเป็นขอบเขตของปรมาจารย์ที่หวนกลับคืนสู่สภาพแท้จริงอันเป็นธรรมชาติที่สุด เด็ดขาดตรงไปตรงมา กระบวนท่าเรียบง่ายฉับไว ไม่มีอิดออดล่าช้าเลยแม้แต่น้อย แต่เมื่อเทียบกับวิชาดาบของสวีหย่วนเสียมือดาบเคราดกแล้ว การออกดาบของคนผู้นี้ขาดกลิ่นอายของความหยาบเถื่อนอย่างคนในสมรภูมิรบไปเล็กน้อย แต่มีบรรยากาศของการบรรลุถึงจุดสูงสุดของความสมบูรณ์แบบเพิ่มขึ้นมาแทน มีความเป็นไปได้มากว่าจะเป็นปรมาจารย์วิถีวรยุทธ์ขอบเขตสี่ที่กำลังก้าวเดินสู่เบื้องบน การที่เขาเก็บซ่อนความโดดเด่นตอนอยู่ในจวนเจ้าเมืองนั้นจึงสมกับคำว่าคนจริงไม่อวดตัวที่กล่าวกันในยุทธภพอย่างแท้จริง
หลังจากสกัดคนตระกูลจ้าวที่ถูกมารสิงร่างไปได้กลุ่มหนึ่ง หลิวเกาซินก็ค้นพบว่ารอบกายมีแต่เลือดสดนองเต็มพื้นเศษแขนขา เศษกระดูกกลาดเกลื่อน จู่ๆ นางก็ทรุดตัวลงนั่งยอง อาเจียนออกมาคำใหญ่
ในจวนจ้าวมีประกายแสงสีแดงเปล่งวูบวาบ แผ่กลิ่นอายของความมืดทะมึนน่าพรั่นพรึงอย่างเข้มข้น
เฉินผิงอันเห็นว่าหน้าประตูจวนจ้าวในเวลานี้ไม่มีอันตรายร้ายแรงจึงดีดปลายเท้า ทะยานร่างกระโดดข้ามกำแพงไปอย่างว่องไวดุจนกนางแอ่นถลาลม ตรงดิ่งไปยังต้นกำเนิดของแสงสีแดงนั้น
ไล่ตามเบาะแสแสงสีแดงไป เฉินผิงอันก็มาถึงเรือนที่เงียบสงบงามสง่าหลังหนึ่ง มีหอเก็บตำราส่วนตัวสามชั้นอยู่หนึ่งหลัง คุณชายสวมชุดขาวคนหนึ่งนั่งอยู่บนบันไดด้านนอกหอ ท่านั่งของเขาเกียจคร้าน ข้อศอกเท้าอยู่บนที่เท้าแขนเก้าอี้ มือหนึ่งเท้าคาง มือหนึ่งพลิกเปิดหน้าหนังสือโบราณพลางหาวไปด้วย
คุณชายที่หน้าตาหล่อเหลาชวนมองชำเลืองหางตามามองเฉินผิงอัน ยิ้มบางๆ กล่าวว่า “ทำไมเพิ่งมาเอาป่านนี้? คุณชายท่านนี้บุคลิกลักษณะไม่ธรรมดา คือเซียนซือที่ฝึกตนอยู่บนภูเขางั้นรึ? หรือว่าเป็นลูกศิษย์ของปรมาจารย์ที่เดินทางท่องเที่ยวอยู่ในยุทธภพ?”
จากนั้นคุณชายตระกูลจ้าวก็ขยับตัวนั่งตรง ยกนิ้วขึ้นแตะน้ำลาย พลิกเปิดหน้าหนังสืออีกหนึ่งหน้า ระหว่างที่หน้าหนังสือถูกเปิดก็มีแสงสีแดงสดพุ่งวาบผ่านไปอีกครั้ง
แสงสีแดงมารวมตัวกันเป็นเชือกหนาเส้นหนึ่งคล้ายงูหลามที่บิดพลิกตัวอยู่กลางอากาศ ขยับขดตัวอยู่บนกำแพงสูงของลานบ้านชั่วขณะหนึ่งก็พุ่งเข้าไปยังบางจุดของจวน พยายามหาร่างของคนมาสิงสู่
เฉินผิงอันตบน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ตรงเอวหนึ่งที
งูหลามสีแดงสดตัวนั้นก็ถูกฟันขาดครึ่งท่อน
คุณชายชุดขาวเลิกคิ้วขึ้นสูง “โอ้โห คือเซียนกระบี่น้อยคนหนึ่งหรือนี่? ร้ายกาจๆ ได้ยินว่าพลังสังหารของผู้ฝึกกระบี่ห้าขอบเขตล่างมหาศาลมาก แต่ก็ง่ายมากที่เรี่ยวแรงจะไม่เป็นใจ พอปล่อยปราณกระบี่ออกมา ประกายแสงก็ส่องจ้าพร่า แต่ได้แค่ไม่กี่ครั้งก็หมดท่าแล้ว ไม่รู้ว่าเจ้าจะร้ายกาจกว่านั้นหน่อยหรือเปล่า?”
มือหนึ่งของคุณชายชุดขาวถือหนังสือ อีกมือหนึ่งเปิดหน้าตำราโบราณตั้งแต่หน้าแรกไปจนหน้าสุดท้ายเสียงดังพั่บๆๆ
งูน้อยสีแดงฉานหนาเท่านิ้วมือหลายสิบตัวผุดพุ่งขึ้นฟ้าจากหอหนังสือแห่งนี้ หมายจะกระจายตัวไปสี่ด้านแปดทิศ แต่คุณชายชุดขาวกลับเห็นว่าเด็กหนุ่มที่ผูกน้ำเต้าสีชาดบรรจุเหล้าไว้ตรงเอวยังมีอารมณ์ปลดน้ำเต้ามาดื่มเหล้า ไม่รอให้คุณชายตระกูลจ้าวส่งเสียงหัวเราะหยัน เขาก็ไม่มีโอกาสได้หัวเราะแล้ว
เพราะงูแดงตัวน้อยบนท้องฟ้าที่มีชื่อว่าปล้องแดงเหล่านั้นถูกสายสีขาวที่ตวัดฉวัดเฉวียนฟาดฟันย่อยยับในเวลาเพียงชั่วพริบตา
จากนั้นเขาก็รู้สึกเย็นวาบตรงหว่างคิ้ว เบิกตากว้างราวกับเห็นผีกลางวันแสกๆ ตายตาไม่หลับทั้งอย่างนั้น
ที่แท้กระบี่บินไม่เพียงแต่แทงหว่างคิ้วทะลุกะโหลกศีรษะของเขาไป ปราณกระบี่ขุมนั้นยังแทรกซอนเข้ามาในร่างกายและจิตวิญญาณ บดขยี้พลังชีวิตทั้งหมดของเขาอย่างรวดเร็วราวสายฟ้าแลบด้วย
ตอนที่เฉินผิงอันผูกน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ไว้ตรงเอวเรียบร้อย ชูอีสืออูกระบี่บินสองเล่มก็พากันลอยเอ้อระเหยกลับเข้าไปในน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่
ตรงกำแพงเรือน มือดาบแซ่โต้วยืนอยู่บนหัวกำแพง มองเห็นภาพนี้แล้วก็กุมมือคารวะให้เฉินผิงอัน
เฉินผิงอันใจกระตุกวาบ เอ่ยกับเขาว่า “บอกหลิวเกาซินสักคำว่าข้าจะไปที่ศาลเทพผืนดินสักหน่อย แปบเดียวก็กลับมา”
มือดาบหัวเราะเสียงดังกังวาน “สถานที่แห่งนี้ไม่มีอันตรายน่ากลัวอะไรแล้ว ก็แค่หมาแมวตัวเล็กๆ ไม่กี่ตัวเท่านั้น เซียนซือวางใจได้เลย”
เฉินผิงอันรู้สึกจนใจเล็กน้อย เดิมทีคิดจะรีบรบรีบจบ คิดไม่ถึงว่าจะมีคนมาเห็นภาพที่ตนใช้กระบี่บินสังหารศัตรู เขาพยักหน้าให้จอมยุทธ์ผู้มีคุณธรรมคนนั้นแล้วดีดปลายเท้า เพียงครู่เดียวร่างก็หายวับไป
……
เฉินผิงอันห้อตะบึงไปตลอดทาง กระโดดข้ามกำแพงสูงแห่งแล้วแห่งเล่า สุดท้ายก็มาถึงศาลเทพผืนดินที่ว่างเปล่าไร้ผู้คนแห่งหนึ่งตามการชี้นำจาก ‘คนผู้นั้น’ ซึ่งดังขึ้นเป็น ‘เสียง’ ที่กระเพื่อมในทะเลสาบหัวใจของเขา พอเงยหน้ามองก็เห็นว่าด้านในศาลเทพผืนดินมีปัญญาชนท่วงท่าสง่างามคล้ายคนมีความรู้ลุ่มลึกคนหนึ่งกำลังกวักมือเรียกเขาด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม เพียงแต่ว่าเรือนกายของเขาส่ายวูบไหวเหมือนแสงตะเกียงเสี้ยวสุดท้ายที่อาจจะดับได้ทุกเมื่อถ้าถูกลมพัด
เฉินผิงอันลังเลเล็กน้อย ก่อนพุ่งวูบเข้าไปหา
องค์เทพท่านนี้ยืนอยู่ด้านในของธรณีประตูที่มืดสลัว เฉินผิงอันยืนอยู่นอกธรณีประตูที่สว่างกว่า
ปัญญาชนแบมือสองข้างทับกันไว้ด้านหน้าแล้วโค้งตัวลงคารวะ พอยืดตัวขึ้นก็กล่าวพร้อมยิ้มบางๆ “นี่เป็นครั้งที่สองที่พวกเราได้พบกัน ข้ามีนามว่าเสิ่นเวิน คือเทพอภิบาลเมืองของเมืองแยนจือ คอยดูแลเมืองแห่งนี้มาหลายร้อยปีแล้ว ผลของวันนี้คือกรรมที่เคยกระทำในอดีต เป็นข้าที่บกพร่องต่อหน้าที่ก่อน หากไม่เป็นเพราะเจ้าช่วยทำลายตราผนึก ขัดขวางไม่ให้ข้าตกสู่วิถีมารได้สำเร็จ ไม่แน่ว่าสุดท้ายแล้วเทพอภิบาลเมืองร่างทองผู้ยิ่งใหญ่ของแคว้นไฉ่อีอาจช่วยคนชั่วก่อกรรมทำเข็ญ กลายเป็นฆาตกรที่ทำลายชาวบ้านที่ตัวเองต้องปกป้องคุ้มครอง ข้าต้องขอบคุณเจ้า”
กล่าวมาถึงตรงนี้ ปัญญาชนก็ยิ้มกว้าง “ก่อนหน้านี้ธาตุไฟเข้าแทรกจึงไม่มีสตินึกรู้ ทุกการกระทำคงทำให้เซียนซือน้อยตลกแล้ว การขอบคุณครั้งนี้ ทั้งขอบคุณที่เจ้าช่วยเหลือข้า ไม่ให้ข้าออกไปทำร้ายประชาชนผู้บริสุทธิ์ ทิ้งชื่อเสียงฉาวโฉ่ไว้ในหนังสือประวัติศาสตร์นานนับหมื่นปี แล้วก็ทั้งขอบคุณจิตใจที่สะอาดบริสุทธิ์ของเจ้า ก่อนหน้านี้ถึงเป็นฝ่ายมอบกล่องไม้สีเขียวกล่องนั้นคืนให้กับข้า”
ตอนนั้นที่ก้าวเข้าไปในตำหนักเทพอภิบาลเมืองแล้วเด็กหนุ่มมอบกล่องไม้คืนให้ คือความดีอย่างหนึ่ง เป็นการทำเรื่องที่ดี
ทั้งๆ ที่ในร่างมีวัตถุฟางชุ่น แต่ตอนที่ส่งคืนกล่องไม้ กลับไม่ได้หยิบออกมาจากวัตถุฟางชุ่น แต่หยิบออกมาจากชายแขนเสื้อโดยตรง นี่หมายความว่าเด็กหนุ่มต่างถิ่นที่อยู่ตรงหน้าผู้นี้แน่ใจตั้งแต่แรกแล้วว่ากล่องไม้ก็คือของของตำหนักเทพอภิบาลเมือง
นี่คือความดีอีกอย่างหนึ่ง คือจิตใจที่ดี
เฉินผิงอันมองประเมินเทพอภิบาลเมืองเสิ่นท่านนี้อย่างละเอียด เมื่อมองไม่เห็นวี่แววว่าอีกฝ่ายจะถูกธาตุมารเข้าแทรกก็พอจะคลายใจลงได้บ้าง
เขาสองจิตสองใจอยู่ชั่วขณะก็ยกมือกุมคารวะ “ก่อนหน้านี้ตอนอยู่ในตำหนักเทพอภิบาลเมือง เพื่อปกป้องตัวเอง จำต้องทำลายร่างทองของท่านเทพอภิบาลเมืองโดยมิได้เต็มใจ…”
เทพอภิบาลเมืองที่ไม่ได้เผยกายด้วยร่างของเทวรูปโบกมือ เปลี่ยนหัวข้อสนทนาโดยถามว่า “เซียนซือน้อย เจ้าใช่บัณฑิตหรือไม่?”
เฉินผิงอันส่ายหน้าเขินๆ “ไม่นับเป็นบัณฑิต ตอนนี้ก็แค่รู้จักอ่านตำราฝึกเขียนตัวอักษรเท่านั้น หวังว่าจะรู้จักตัวอักษรมากขึ้น เรียนรู้หลักการการเป็นคนจากในตำราให้มากขึ้น”
เทพอภิบาลเมืองเสิ่นเวินถามยิ้มๆ “รู้ประโยชน์ของเศษชิ้นส่วนร่างทองหรือไม่?”
เฉินผิงอันยังคงส่ายหน้า เขาไม่รู้จริงๆ
เทพอภิบาลเมืองเสิ่นอธิบายเบาๆ “เศษชิ้นส่วนร่างทองเหล่านั้นต้องเก็บรักษาไว้ให้ดี สิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่สามารถเสพสุขกับควันธูปในโลกมนุษย์ ไม่ว่าจะเป็นเทพภูเขา เทพแม่น้ำ หรือเทพอภิบาลเมืองและเทพในศาลบุ๋นบู๊อย่างพวกเรา ล้วนมีคำเรียกขานว่าร่างทองทั้งสิ้น อันดับแรกต้องได้รับการแต่งตั้งจากทางราชสำนัก สร้างเทวรูป จากนั้นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ก็จะต้องบำรุงบ่มเพาะรัศมีบารมีด้วยตัวเอง เพียงแต่ว่าร่างทองก็มีการแบ่งระดับสูงต่ำคล้ายคลึงกับในวงการขุนนาง โดยทั่วไปแล้วระดับขั้นร่างทองของทวยเทพห้าขุนเขาใหญ่จะสูงที่สุด ตามมาด้วยเทพวารีแห่งมหานที รวมไปถึงพวกเทพอภิบาลเมืองในเมืองหลวง อนุมานตามลำดับเช่นนี้ไปเรื่อยๆ”
“กล่องไม้สีเขียวกล่องนั้นด้านในบรรจุ ‘ตราประทับเสี่ยนโย่วโป๋เทพอภิบาลเมืองแยนจือแคว้นไฉ่อี’ ที่ต้าเทียนซือรุ่นหนึ่งของจวนเทียนซือภูเขามังกรพยัคฆ์สลักและประทานมาให้ด้วยตัวเอง เป็นอาวุธอาคมที่ซุกซ่อนพลานุภาพแห่งสวรรค์ซึ่งแข็งแกร่งมากชิ้นหนึ่ง เพียงแต่ว่าจำเป็นต้องใช้ร่วมกับคาถาห้าอสนีถึงจะใช้ได้ แม้ว่าข้าจะเป็นเทพอภิบาลเมืองของเมืองแยนจือคนปัจจุบัน แต่ในฐานะสิ่งศักดิ์สิทธิ์ของพื้นที่หนึ่ง จึงไม่สามารถใช้คาถาห้าอสนีของระบบเต๋าได้ และในความเป็นจริงแล้วตอนที่จวนเทียนซือมอบตราประทับชิ้นนี้มาให้ เดิมทีก็มีความหมายในเชิงสัญลักษณ์มากกว่า แค่ให้ช่วยปกปักษ์ฮวงจุ้ยของเมืองแห่งหนึ่ง ไม่ได้ให้ผู้ฝึกลมปราณหรือเทพอภิบาลเมืองของแคว้นไฉ่อีเอามาอวดอ้างอำนาจ หากไม่เป็นเพราะตราประทับเทียนซือสยบหมู่มารโดยมองไม่เห็นด้วยตาเปล่า ด้วยสุสานระเกะระกะนอกเมืองที่มีมานาน ความอาฆาตพยาบาทเข้มข้น หมู่มารทั้งหลายก็คงบุกเข้ามาในเมืองแยนจือนานแล้ว”
เฉินผิงอันคิดแล้วก็ถามว่า “ต้องการให้ข้าช่วยนำไปมอบให้เจ้าเมืองหลิวแทนท่านหรือไม่? หรือว่าจะมอบให้ฮ่องเต้ของแคว้นไฉ่อีพวกท่านดี?”
เทพอภิบาลเมืองเสิ่นเวินจ้องมองดวงตาใสกระจ่างคู่นั้นอย่างตั้งใจ แล้วพลันโบกชายแขนเสื้อ หัวเราะเสียงก้อง “อริยะมีคำสอนบอกไว้ว่า อาวุธเทพแห่งฟ้าดิน มีเพียงผู้มีคุณธรรมเท่านั้นถึงจะควรค่าครอบครอง!”
—–