เล่ม 5 เล่มที่ 5 ตอนที่ 142 ท่านอ๋อง ฝนตกทันเวลา

สนมโง่เจ้าจะหนีไปไหน

“พระชายา หมอเทวดาหวามาแล้วเพคะ! ”

        “เชิญเข้ามา! ”

        ในที่สุดซูจิ่นซีก็ไม่ ‘กลั่นแกล้ง’ ซูอวี้อีกแล้ว

        ซูอวี้ก็ยืนอย่างเชื่อฟังอยู่ข้างกายของซูจิ่นซี

        “ข้าน้อยคำนับพระชายา! ”

        หลังจากที่หมอเทวดาหวาเข้าประตูมาก็ทำความเคารพซูจิ่นซี

        “ลุกขึ้นเถิด! มารยาทเหล่านี้ก็ละเว้นเสีย เรื่องของอวี้เอ๋อร์ท่านอ๋องคงบอกท่านแล้วใช่หรือไม่? ” ซูจิ่นซีถามอย่างตรงไปตรงมา

        “ท่านอ๋องบอกแล้วพ่ะย่ะค่ะ คุณชายน้อยอวี้ต้องการเข้าร่วมการแข่งขันคัดเลือกผู้สืบทอดของสกุลซูและมีเวลาเตรียมตัวเพียงเจ็ดวัน พระชายาโปรดวางพระทัย ในเวลาเจ็ดวันนี้ข้าน้อยจะสอนคุณชายน้อยอวี้เป็นอย่างดีแน่นอนพ่ะย่ะค่ะ เมื่อถึงเวลานั้น ในการแข่งขันคุณชายน้อยอวี้จะไม่ทำให้พระชายาเสียพระพักตร์อย่างแน่นอน”

        “ดี ในเมื่อหมอเทวดาหวามั่นใจถึงเพียงนี้แล้ว ข้าผู้นี้ก็ไม่กังวลอีกต่อไป เริ่มกันตั้งแต่วันนี้เถิด! ในช่วงนี้ท่านไม่จำเป็นต้องกลับไปที่วิหารวิญญาณแล้ว พักเสียในจวน ข้าจะให้พ่อบ้านจัดที่พักให้ท่าน ทุกวันตื่นในยามเหมา [1] และพักผ่อนตอนกลางคืนในยามไฮ่ [2] อวี้เอ๋อร์ เจ้าก็เช่นกัน”

        ซูจิ่นซีกล่าวกับหมอเทวดาหวา และกล่าวกับซูอวี้เช่นเดียวกัน

        “พ่ะย่ะค่ะ พระชายา”

        “ท่านพี่จิ่นซี อวี้เอ๋อร์ทราบแล้ว”

        กลับมาเชื่อฟังอีกครั้งแล้ว? ไม่โกรธเคืองแล้วหรือ?

        ซูจิ่นซีเหลือบมองซูอวี้อย่างมีนัยลึกซึ้ง ทั้งยังขยิบตาให้ซูอวี้อีกด้วย

        ปรากฏว่าเด็กนี่หน้าแดงเสียแล้ว

        เด็กอายุเท่านี้จะรู้กระไรเล่า?

        คาดไม่ถึงว่าจะหน้าแดง!

        “เอาล่ะ! กล่าวมากมายถึงเพียงนี้ ไปเรียนเถิด! ตามพ่อบ้านไป ข้าจะวางแผนเรื่องสถานที่ให้พวกเจ้า”

        “พ่ะย่ะค่ะ! ”

        หมอเทวดาหวากับซูอวี้เดินออกประตูไปด้วยกัน ตามหลังพ่อบ้านออกไป

        ซูจิ่นซีไม่ได้วางแผนจัดสถานที่เรียนของซูอวี้ในเรือนชิงโยวไว้ เยี่ยโยวเหยามิชอบให้เรือนชิงโยวถูกรบกวนโดยผู้ที่ไม่มีส่วนเกี่ยวข้อง ประเด็นนี้ซูจิ่นซีรู้ดียิ่ง หากมีคนมากเกินไปจะทำให้เยี่ยโยวเหยาโกรธเคือง ถึงเวลานั้นผู้ที่เสียเปรียบคงเป็นตัวนางเอง

        ซูจิ่นซีเป็นคนฉลาด นางไม่หาความยุ่งยากมาใส่ตนหรอก

        หลังจากที่หมอเทวดาหวาและซูอวี้จากไป แม่นมฮวาก็เข้ามาด้วยใบหน้าลำบากใจราวกับกลัวซูจิ่นซีมากอย่างใดอย่างนั้น

        “พระชายาเพคะ! ”

        “อืม” ซูจิ่นซีส่งเสียงตอบกลับเล็กน้อย

        “พระชายาเพคะ? ”

        “มีเรื่องอันใด พูด! ”

        เมื่อใดกันที่แม่นมฮวากลายเป็นอืดอาดยืดยาดถึงเพียงนี้?

        “พระชายา นี่… ”

        “แม่นมฮวา ตกลงว่าเจ้ามีเรื่องอันใดกันแน่? ”

        ซูจิ่นซีรู้สึกหงุดหงิดเล็กน้อย เมื่อเงยหน้าขึ้นมาก็พบแม่นมฮวากำลังถือถาดอยู่ จึงกล่าวว่า “วางตรงนี้ก็พอ แม่นมฮวา ปกติเจ้าก็เป็นผู้ที่ซื่อตรงผู้หนึ่ง เหตุใดวันนี้จึงอ้อมค้อมลังเลถึงเพียงนี้? มีเรื่องอันใดพูดมาตรงๆ ไม่ได้หรือ? ”

        แม่นมฮวามองไปยังใบหน้าของซูจิ่นซี นางลดถาดในมือลงอย่างไม่สบายใจ เพื่อให้ซูจิ่นซีได้เห็นสิ่งของที่อยู่บนถาด

        ซูจิ่นซีมองแวบเดียวก็พลันโกรธเคืองขึ้นมาทันที

        “แม่นมฮวา ข้าไม่ได้บอกไปแล้วหรอกหรือ? ต่อไปนี้ห้ามทำน้ำแกงไก่ตุ๋นโสม ข้าทานสิ่งนี้จนแทบจะอาเจียนอยู่แล้ว เหตุใดเจ้าถึงยังทำอีกเล่า? ”

        สีหน้าของแม่นมฮวายิ่งลำบากใจมากขึ้น “พระชายา ข้าน้อยก็ไม่อยากทำเช่นกันเพคะ ทว่าเป็นท่านอ๋องที่ขอให้ข้าน้อยทำ ท่านอ๋องได้สั่งให้คนไปซื้อไก่มาสิบตัวและโสมร้อยปีสิบหัว เมื่อส่งมาแล้วก็รับสั่งให้ข้าน้อยตุ๋นให้ท่านทุกวันเพคะ”

        “กระไรนะ? ”

        มุมปากของซูจิ่นซีกระตุก นางลุกขึ้นจากเก้าอี้ในทันที

        ทว่าเนื่องจากนั่งนานเกินไป กอปรกับที่เมื่อคืนซูจิ่นซีเสียเลือดไปมาก ร่างกายจึงอ่อนแอจนแทบจะหมดสติอีกครั้ง

        แม่นมฮวารีบวางถาดในมือและเข้าไปพยุงซูจิ่นซีไว้

        นางกล่าวเกลี้ยกล่อมว่า “พระชายาเพคะ ข้าน้อยรู้ว่าท่านไม่ชอบดื่ม ทว่านี่เป็นความตั้งใจของท่านอ๋องต่อท่านเช่นกัน! นอกจากนี้ร่างกายของท่านยังอ่อนแออยู่มาก หากท่านไม่รีบบำรุงร่างกาย ต่อไป… ต่อไปจะรับใช้ท่านอ๋องได้อย่างไรกัน? ”

        แม่นมฮวาไม่รู้ว่าเกิดอันใดขึ้นในตำหนักฝูอวิ๋นเมื่อคืนนี้ นางรู้เพียงว่าคืนวานซูจิ่นซีนอนที่ตำหนักฝูอวิ๋นของเยี่ยโยวเหยาและไม่ได้ออกมาทั้งคืน ดังนั้นจึงเริ่มคิดสกปรกขึ้นมาอีกครั้งโดยธรรมชาติ

        แม่นมฮวาคิดว่าซูจิ่นซีได้รับความโปรดปรานจากเยี่ยโยวเหยาจนร่างกายย่ำแย่ถึงเพียงนี้

        นางเป็นผู้เดียวที่มีแรงกังวลเกี่ยวกับชีวิตทางเพศในอนาคตของซูจิ่นซีและเยี่ยโยวเหยาอย่างไม่หยุดหย่อน

        “แม่นมฮวา ตาของเจ้าบอดแล้วหรืออย่างไร? ข้าเพียงเสียเลือดมาก! ”

        ซูจิ่นซีมองแม่นมฮวาและแกว่งข้อมือที่มีผ้าพันแผลของตนไปยังเบื้องหน้านาง

        แม่นมฮวาชะงักไปครู่หนึ่ง นางถอนหายใจด้วยใบหน้าสลด “เฮ้อ… ท่านอ๋องนี่ก็จริงเชียว เขาป่วยจนกลายเป็นเช่นนั้นแล้วยังมีกะจิตกะใจตอกย้ำผู้อื่น คงไม่อยากมีชีวิตอยู่แล้วจริงๆ ยิ่งไปกว่านั้นยังไม่รู้จักเกรงใจพระชายาท่าน”

        แม่นมฮวาคิดว่าสวรรค์รู้ดีว่าเมื่อคืนท่านอ๋องทรงตอกย้ำพระชายาอย่างไร

        หลังจากนั้นไม่นาน แม่นมฮวาก็มองไปที่ซูจิ่นซีอีกครั้งและกล่าวว่า “อย่างไรก็ตาม พระชายา…ท่านก็จริงๆ เลยนะเพคะ! ”

        “…”

        ใบหน้าซูจิ่นซีมืดหม่นลงทันใด

        เหตุใดจึงตำหนินางได้ นางผิดหรือ?

        แม่นมฮวาถอนหายใจอีกครั้ง แม้จะรู้ว่าไม่มีผู้ใดอยู่ใกล้ๆ ทว่านางก็ยังขยับเข้าไปใกล้ซูจิ่นซีและกระซิบกระซาบว่า “พระชายา ท่านอ๋องยังทรงเยาว์วัยจึงมีพลังมาก กลางคืนย่อมไม่อาจหลีกเลี่ยงไม่ไยดีท่านได้ ทว่าท่านร้องขอความเมตตาได้นี่เพคะ! แท้จริงแล้วเมื่อบุรุษเผชิญหน้ากับสตรีที่ตนเองโปรดปราน ตราบใดที่สตรีร้องขอความเมตตาก็จะใจอ่อน ยิ่งไปกว่านั้นท่านอ๋องยังทรงหวงแหนท่านมาก ทว่าเหตุใดท่านจึงคิดไม่ได้เล่าเพคะ? ต้อง… ต้องฆ่าตัวตายเลยหรือ? ท่านดูสิ ท้ายที่สุดผู้ที่เป็นทุกข์ก็คือท่านไม่ใช่หรือ? ”

        นี่แม่นมฮวากำลังคิดกระไรอยู่?

        หรือนางคิดว่า เป็นเพราะซูจิ่นซีรับไม่ไหวกับเยี่ยโยวเหยานางจึง… ฆ่าตัวตาย?

        ให้ตายเถิด!

        หญิงชราสกปรกผู้นี้ นางอดทนต่อไปไม่ไหวแล้ว!

        ซูจิ่นซีพยายามอย่างหนักครู่ใหญ่กว่าจะระงับความโกรธในใจลงได้ นางพยายามวาดรอยยิ้มที่อ่อนโยนมากที่สุดบนใบหน้าและพูดอย่างใจเย็นเท่าที่จะทำได้ว่า “แม่นมฮวา! ”

        “เพคะพระชายา! ”

        แม่นมฮวาตอบรับโดยไม่ทันสังเกตถึงน้ำเสียงอันตรายแต่อย่างใด

        “ข้าขอร้องเจ้าเรื่องหนึ่งได้หรือไม่? ”

        แม่นมฮวายังคงไม่สังเกตเห็นถึงอันตรายใดๆ นางคิดว่าซูจิ่นซีกำลังถือหางนาง จึงเจียมเนื้อเจียมตัวก้มศีรษะลงอย่างนอบน้อม  “พระชายา ท่านกล่าวเช่นนี้กำลังฆ่าข้าน้อยนะเพคะ พูดขอร้องกระไรเช่นนี้ ข้าน้อยรับผิดชอบไม่ไหว มีเรื่องอันใดเพียงท่านสั่งข้าน้อยก็พอเพคะ”

        “รับผิดชอบไหวสิ เหตุใดจึงรับผิดชอบไม่ไหวเล่า? ท่านอ๋องเองก็ถูกเจ้าเลี้ยงดูมาจนโต ความชอบของท่านนั้นใหญ่หลวงนัก! ”

        แม่นมฮวายังคงไม่สังเกตเห็นใบหน้าที่มืดมนของซูจิ่นซี นางกล่าวอย่างเขินอายและถ่อมตนมากขึ้น “พระชายา ท่านทำให้ทาสแก่อย่างข้ามีความสุขจนแทบรับไม่ไหวเสียแล้วเพคะ! ”

        ใบหน้าของซูจิ่นซีมืดมน “แม่นมฮวา ข้าไม่ได้ให้เจ้ามีความสุขจนแทบรับไม่ไหว! ข้าจะขอร้องเจ้าว่าหลังจากนี้ขอให้ไปให้ไกลจากข้าเท่าที่จะไกลได้ ไปไกลๆ อย่ามาปรากฏตัวสกปรกอยู่ต่อหน้าข้าอีก ได้หรือไม่? ”

        “หือ? ”

        เดิมทีแม่นมฮวามีรอยยิ้มประดับบนใบหน้า เมื่อได้ยินสองประโยคหลังที่ซูจิ่นซีกล่าว รอยยิ้มบนใบหน้าก็พลันชะงักลงทันที นางไม่มีปฏิกิริยาตอบสนองเป็นเวลานาน ทว่าท่าทางของซูจิ่นซีดูเหมือนจะไม่ได้ล้อเล่น “พระชายา เพราะกระไรกัน? ข้าน้อยทำเรื่องอันใดผิดหรือเพคะ? ”

        “แม่นมฮวา เจ้าไม่ได้ทำเรื่องอันใดผิดเลย เป็นข้าที่ผิด! ”

        นางรู้แล้ว นางไม่ควรข้ามภพมายังสถานที่นรกเช่นนี้ตั้งแต่แรก

        “แม่นมฮวา จากนี้ไปเจ้าจะอาศัยอยู่นอกเรือนชิงโยว ไม่ได้รับอนุญาตให้ก้าวเข้ามาในเรือนชิงโยวแม้แต่ก้าวเดียว มิฉะนั้นในจวนโยวอ๋องนี้ มีเจ้าก็จะไม่มีข้า มีข้าก็จะไม่มีเจ้า! ”

        น่ารังเกียจเกินไปแล้ว!

        แม่นมฮวาเชื่อว่าตนเองเป็นคนชราข้างกายเยี่ยโยวเหยา เมื่อพูดต่อหน้าซูจิ่นซีกระทั่งปากก็ไม่มีหูรูด ควรพูดหรือไม่ควรพูดล้วนเอ่ยออกมาทั้งหมด ผู้ที่อยู่ข้างกายเช่นนี้ช่างน่ารำคาญเสียจริงเชียว

        อย่าคิดให้มากจนเกินงาม เจ้าไม่มีสิทธิ์

        “ทหาร! พาแม่นมฮวาออกไป หากผู้ใดกล้าให้นางเข้ามาในเรือนชิงโยว คนผู้นั้นจะโดนรับโทษเช่นเดียวกับแม่นมฮวา! ”

        ซูจิ่นซีตะโกนออกมา ทันใดนั้นก็มีคนเดินเข้ามาพาแม่นมฮวาออกไป

        ก่อนจากไปแม่นมฮวายังตะโกนว่าตนไม่ผิด ไม่รู้ว่าตนผิดที่ใด

        “ซูจิ่นซี เจ้าจะต่อต้านข้าอย่างจริงจังใช่หรือไม่? ”

        ทันใดนั้น เสียงของเยี่ยโยวเหยาก็ดังมาจากด้านนอกประตู

        แม่นมฮวาหันศีรษะไปมองในทันที เห็นแผ่นหลังของเยี่ยโยวเหยาก้าวขึ้นบันไดเรือนอวิ๋นไคทีละก้าวๆ ดวงตาคู่นั้นของนางราวกับได้เห็นฝนทันเวลา [3] อย่างไรอย่างนั้น

……