ส่วนที่ 1 ภาคเมื่อครั้งเป็นนักเรียน ตอนที่ 106 ข้ามผ่านทางเดิน

ท้าลิขิตพลิกโชคชะตา

เพราะว่านัยน์ตาที่ร้อนแรงของบรรดานักเรียนสตรี เป็นธรรมดาที่ถังซานสือลิ่วจะยังคงรักษาท่าทางเยือกเย็นถือดีต่อไป เวลานี้พลันได้ยินประโยคนั้น สีหน้ายิ่งเยือกเย็น นัยน์ตาแหลมคม จ้องมองไปยังที่มาของเสียง มั่นใจว่าคงจะเป็นนักเรียนของหอจงซื่อผู้หนึ่งตะโกนออกมา

เฉินฉางเซิงยื่นมือไปขวางเขา มองเขาแล้วส่ายศีรษะ

วันนี้เขามาพระราชวังหลี ต้องการมาพบลั่วลั่วเพื่อสนทนากับเรื่องที่สำคัญ จึงไม่อยากเสียเวลา

เขาไม่อาจถ่มน้ำลายรดหน้าผู้ใดแล้วเช็ดออก ทว่าก็ไม่เป็นเพราะประโยคนั้นของคนข้างกายทำให้เต้นแร้งเต้นกาได้ ความโกรธแค้น อิจฉาริษยา ไม่ได้รับความเป็นธรรม เศร้าโศกเสียใจ ทุกข์ระทม…ความรู้สึกที่ไม่ดีเหล่านี้ไม่ดีต่อสุขภาพ อีกทั้งยังสิ้นเปลืองเวลา ไม่มีความหมายใดๆ

ถังซานสือลิ่วมองกลุ่มผู้คนของหอจงซื่อด้วยสายตาเยือกเย็นแวบหนึ่ง หลังจากนั้นจึงตามเขาไป

กลุ่มผู้คนของหอจงซื่อมีเสียงถอนหายใจโล่งอกออกมา มีสายตาตักเตือนที่เต็มไปด้วยความไม่พึงพอใจต่อเขา คนผู้นั้นตะโกนลั่น “เดิมทีก็เป็นเช่นนี้ มิน่าเล่าไม่สามารถพูดได้ สำนักฝึกหลวงเพิ่งจะรับสมัครนักเรียนใหม่ปีนี้มิใช่หรือ อยากมีอำนาจดังเช่นสำนักเทียนเต้ารึ”

ถังซานสือลิ่วคิดไปถึงความคิดของเฉินฉางเซิง สูดลมหายใจเข้าลึกๆ ในใจครุ่นคิดวันนี้ให้ตนเองเป็นคนหูหนวกสักวันหนึ่ง รอเพียงชั่วครู่หลังจากทำธุระเสร็จเรียบร้อยแล้ว เมื่อออกมาจากพระราชวังหลี ถ้าหากยังมีคนกล้ายุแหย่ตน เช่นนั้นก็ค่อยคุยอีกที

กลุ่มตำหนักที่อยู่ด้านหน้าคือหอจงซื่อ สำนักจวนราชวังหลีและกระทรวงสิบสามชิงเหย้ามีกำแพงสำนักเชื่อมต่อกัน ได้ยินเสียงระฆัง เดินผ่านหอจงซื่อได้ไม่ไกล ก็มาถึงประตูด้านหน้าของสำนักจวนราชวังหลี ริมทางเดินของที่นี่ปลูกต้นไหวเขียว ถึงแม้จะเป็นช่วงท้ายของฤดูใบไม้ร่วงใบไม้ก็มิได้ร่วงหล่น ยังคงเขียวขจี สอดคล้องกับฐานะของสำนักจวนราชวังหลียิ่งนัก

ข่าวคราวการมาเยี่ยมเยือนของสำนักฝึกหลวง ได้แพร่สะพัดไปยังสำนักทั้งสาม ยิ่งนานยิ่งมีคนรีบออกมาจากสำนัก มาถึงยังริมทางเดิน จ้องมองเฉินฉางเซิงและพวกด้วยความแปลกประหลาด ด้านข้างทั้งสองของทางเดิน โดยเฉพาะอย่างยิ่งทิศตะวันตก มีผู้คนยืนมืดฟ้ามัวดิน เป็นภาพที่ยิ่งใหญ่อย่างยิ่ง

ใต้ต้นไหวเขียวของสำนักจวนราชวังหลีมีบรรดานักเรียนจำนวนมาก จ้องมองนักเรียนของสำนักฝึกหลวงที่เดินด้วยท่าทางสงบบนทางเดิน มีบางคนอยู่ๆ รู้สึกว่าน่าเลื่อมใส หากเปลี่ยนเป็นพวกเขาเป็นตนเอง มีสายตามากมายเพ่งมองเช่นนี้ แล้วยังจะสามารถเดินได้สงบนิ่งเช่นนี้หรือไม่

“ศิษย์พี่ซูมาแล้ว!”

กลุ่มผู้คนของสำนักจวนราชวังหลีเกิดความวุ่นวายเล็กน้อย บรรดานักเรียนคนหนุ่มเปิดทางเป็นสองข้าง เปิดทางเดินเส้นหนึ่ง

นักบวชหนุ่มน้อยผู้เงียบนิ่งสง่างาม เดินตามทางเส้นนั้นมาถึงด้านหน้าของทางเดิน

นักบวชหนุ่มผู้นี้ก็คือตัวแทนของนักเรียนสำนักจวนราชวังหลีรุ่นนี้ ซูม่ออวี๋ ฐานะของเขาเมื่ออยู่สำนักจวนราชวังหลีก็เหมือนกับจวงห้วนอวี่ของสำนักเทียนเต้า ในการประลองวิทยายุทธ์ของการชุมนุมไม้เลื้อยค่ำคืนที่สอง เขาเป็นผู้ได้อันดับแรก

การได้อันดับแรกในการประลองวิทยายุทธ์ของการชุมนุมไม้เลื้อย เดิมทีเป็นเรื่องที่เป็นเกียรติยิ่งนัก การชุมนุมไม้เลื้อยค่ำคืนแรก องค์หญิงลั่วลั่วใช้เพียงหมัดเดียวทำให้เทียนไห่หยาเอ๋อร์พิการ ค่ำคืนที่สามก็แสดงละครกันมากมาย ด้วยเหตุนี้จุดเด่นจึงถูกสำนักฝึกหลวงแย่งไป มีน้อยคนที่จะให้ความสนใจเรื่องการประลองวิทยายุทธ์

ซูม่ออวี๋ถึงแม้จะไม่ได้วิพากษ์วิจารณ์เรื่องที่เกิดแต่อย่างใด ทว่าที่จริงแล้วก็เป็นเพียงเด็กหนุ่ม คิดไปคิดมาก็คงจะไม่ค่อยยินดีนัก

“โก่วหานสือ…คิดไม่ถึงว่าจะพ่ายแพ้คนผู้นี้รึ”

เขาจ้องมองหนุ่มน้อยธรรมดาที่อยู่บนทางเดิน รู้สึกไม่เข้าใจ พลางกล่าวว่า “หรือว่า…หอความลับสวรรค์จะจัดลำดับโก่วหานสือสูงไปเสียแล้ว”

เพื่อเตรียมตัวการผ่านด่านขั้นถอดจิต เขาต้องใช้พลังปราณแท้ของตนช่วยอาจารย์ในการหลอมเม็ดยา เหตุนี้จึงพลาดการชุมนุมไม้เลื้อยค่ำคืนที่สาม จึงไม่ได้เห็นการประลองระหว่างสำนักฝึกหลวงกับหอกระบี่เขาหลีซาน จึงรู้เพียงแค่ที่อาจารย์และบรรดาศิษย์สำนักเดียวกันอธิบายให้ฟัง

ถึงแม้จะได้ยินคนจำนวนมากชี้แจงเหตุการณ์ในเวลานั้น แรกเริ่มจนถึงสุดท้ายเขาก็ไม่เข้าใจว่าสำนักฝึกหลวงอาศัยสิ่งใดสามารถเอาชนะหอกระบี่เขาหลีซานได้ โดยเฉพาะหนุ่มน้อยที่นามว่าเฉินฉางเซิง จะต่อสู้จนไม่เป็นรองกับโก่วหานสือได้อย่างไรกัน

วันนี้เขาได้เห็นเฉินฉางเซิงด้วยตาของตนเอง มองเพียงแวบเดียวก็รู้ว่าหนุ่มน้อยผู้นี้ชำระล้างกระดูกยังไม่สำเร็จ การชำระล้างกระดูกไม่สำเร็จ สติปัญญาถึงจะแตกฉาน ก็หมดหนทางที่จะนับโชคชะตาฟ้าดินได้ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงระดับจิตใจที่แข็งแกร่ง คิดไม่ถึงว่าโก่วหานสือจะเอาชนะเขาไม่ได้…

เขาจึงทำได้เพียงคิดว่าลำดับของโก่วหานสือไม่ได้สูงดังเช่นการประเมินของต้าลู่

“ศิษย์พี่ซูกล่าวมีเหตุผล ข้ามองว่าถ้าหากศิษย์พี่รอบคอบสักนิด ในการสอบใหญ่ก็คงจะเอาชนะโก่วหานสือได้ไม่ยาก”

สำนักจวนราชวังหลีมีนักเรียนที่ดีเยี่ยม ถึงอย่างไรก็เป็นคนที่มีความรู้ โก่วหานสือสามารถอยู่อันดับสองเจ็ดคำโคลงแห่งแดนเทพได้ สามารถกระโดดข้ามท้องฟ้าสีครามจากประกาศชิงอวิ๋นไปประกาศเตี่ยนจิน ไม่ธรรมดาเป็นอย่างยิ่ง ด้วยเหตุนี้จึงเป็นแรงผลักดันและบรรทัดฐานให้ซูม่ออวี๋เป็นอย่างยิ่ง

แต่สำหรับคนของสำนักฝึกหลวง ไม่จำเป็นต้องให้ความสำคัญ

“เฉินฉางเซิงผู้นั้นไม่สามารถชำระล้างกระดูกได้ เกรงว่าในการชุมนุมไม้เลื้อยเป็นเพียงแค่ต่อสู้มั่วๆ เท่านั้น”

นักเรียนของสำนักจวนราชวังหลีผู้นั้นจ้องมองเฉินฉางเซิงพยักหน้าพลางเอ่ยออกมา

รอให้เขาเห็นบรรดาศิษย์น้องของกระทรวงสิบสามชิงเหย้า จนกระทั่งเพื่อนรวมสำนักของสำนักจวนราชวังหลี เมื่อมองเห็นเสื้อผ้าที่กวัดแกว่งของนักเรียนสำนักฝึกหลวงต่างมีท่าทางเคลิบเคลิ้ม จึงกลัดกลุ้มอย่างไร้เหตุผล กล่าวด้วยความเกลียดชัง “ข้ามองแล้วถังซานสือลิ่วผู้นั้นก็คงไม่ดีสมดังคำเลื่องลือ”

ซูม่ออวี๋ขมวดคิ้วเล็กน้อย กล่าวอย่างไม่ชื่นชม “ถ้าหากคาดคะเนไม่ผิดพลาด คนทั้งสามของสำนักฝึกหลวงปีหน้าจะต้องเข้าร่วมการสอบใหญ่เป็นแน่ ล้วนแต่เป็นคู่ต่อสู้ของพวกเรา พวกเจ้าไม่ควรมีความคิดเช่นนี้ ถังถังผู้นี้เก่งกาจยิ่งนัก”

นักเรียนของสำนักจวนราชวังหลีต่างล่วงรู้ศิษย์พี่เดิมทีทำการสิ่งใดไม่กระทำสุ่มสี่สุ่มห้า รีบกล่าวว่า “เป็นจริงดังที่ศิษย์พี่สั่งสอน”

ซูม่ออวี๋เห็นท่าทางของเขา ก็รู้ว่าไม่ได้ฟังเข้าไปแต่อย่างใด ส่ายศีรษะพลางกล่าวว่า “การชุมนุมไม้เลื้อย สำนักฝึกหลวงสามารถเอาชนะหอกระบี่เขาหลีซาน ไม่มีผู้คาดคิด…เพราะเหตุใด ไม่ใช่เพราะว่าเฉินฉางเซิงเก่งกาจกว่าโก่วหานสือเป็นแน่ แต่เป็นเพราะองค์หญิงลั่วลั่วแข็งแกร่งอย่างยิ่ง และถังซานสือลิ่วก็แข็งแกร่งยิ่งนัก”

“สิ่งสำคัญก็คือ ข้าเชื่อในการจัดอันดับของประกาศชิงอวิ๋น”

เขามองถังซานสือลิ่วพลางเอ่ยว่า “หอความลับสวรรค์จัดลำดับเขาที่สามสิบหก เขาก็คู่ควรกับตำแหน่งนี้เป็นแน่”

“ถึงแม้จะแข็งแกร่งกว่านี้ก็คงไม่เกินลำดับที่สามสิบหก”

นักเรียนของสำนักจวนราชวังหลีผู้นั้นจ้องมองซูม่ออวี๋พลางกล่าวชื่นชมออกไป “ศิษย์พี่อยู่อันดับที่สามสิบสาม ไม่ว่าอย่างไรเขาก็ไม่อาจอยู่ข้างหน้าท่านได้”

ซูม่ออวี๋ยิ้มออกมา มิได้เอ่ยสิ่งใด

เฉินฉางเซิงรีบเร่งไปพบลั่วลั่ว ด้วยเหตุนี้จึงไม่อยากหยุดอยู่ ถังซานสือลิ่วจึงทำได้เพียงเสแสร้งให้ตนกลายเป็นคนหูหนวก เพื่อหลีกเลี่ยงปัญหา ทว่าเรื่องราวบนโลกมนุษย์ก็เป็นเช่นนี้มาตลอด เมื่อเจ้ายิ่งไม่อยากมีปัญหา ทว่าปัญหาก็ยิ่งจะถาโถมมาหาเจ้า

ชัดเจนยิ่งนักว่าพวกเขาเดินมาถึงสำนักจวนราชวังหลี กลุ่มฝูงชนของหอจงซื่อกลับยังคงมีประโยคดังมาอีก

“เจ้าเด็กที่ชำระล้างกระดูกไม่ได้ มีคุณสมบัติอะไรจะสมรสกับสวีโหย่วหรง!”

เสียงเพี๊ยะดังขึ้นเบาๆ ถังซานสือลิ่วจึงหยุดย่างก้าว

เฉินฉางเซิงกลับมิได้หยุดก้าวเดิน แม้แต่จังหวะการย่างก้าวก็ยังไม่วุ่นวาย เอ่ยว่า “พบเจอเสียงสุนัขเห่า แล้วเจ้ายังจะกล่าวเรื่องมีเหตุมีผลอีกกับเขาอีกหรือ”

ถังซานสือลิ่วจ้องมองภาพด้านหลังเขา เอ่ยออกมา “แน่นอนว่ามิได้กล่าวถึงเหตุผล พวกเราเก็บก้อนหินโยนออกไปเสีย”

เฉินฉางเซิงหยุดก้าวเดิน หันกายมามองเขาพลางเอ่ยว่า “ทางเดินทำความสะอาดจนสะอาดสะอ้านเหมือนดังเช่นตรอกไป่ฮวาเช่นนี้ แล้วจะไปหาก้อนหินมาจากไหน”

ถังซานสือลิ่วรู้ว่าเขากล่าวคืออะไร กำลังคิดไปถึงวันที่ต่อสู้กับผู้คนในจิงตู อดไม่ได้ที่จะยิ้มออกมา ส่ายศีรษะถอนหายใจสองสามที เดินไปข้างกายเขา กล่าวว่า “เดิมทีข้าคิดว่าหลังจากวันนั้น ก็คงจะไม่ได้ยินว่ามีใครกล้าเอ่ยเช่นนี้กับเจ้า”

“ถ้าหากนี่เป็นคำพูดที่จักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์กล่าว เจ้าจะทำอย่างไร”

เฉินฉางเซิงตบไหล่เขา เอ่ยปลอบว่า “…ทำเป็นไม่ได้ยินก็ได้แล้ว”

ถังซานสือลิ่วครุ่นคิด กล่าวว่า “เหตุใดข้าไม่ได้รู้สึกว่าการปลอบประโลมได้ผลเล่า”

เมื่อพบว่าคนของสำนักฝึกหลวงไม่มีปฏิกิริยาโต้ตอบ ถึงแม้จะเป็นถังซานสือลิ่วที่มีนิสัยหุนหันพลันแล่นก็เป็นเช่นนี้ เสียงของกลุ่มผู้คนของหอจงซื่อยิ่งนานยิ่งดังขึ้น ความรู้สึกเยาะหยันยิ่งนานยิ่งชัดเจนขึ้น “เดิมทีสำนักฝึกหลวงล้วนแต่เป็นคนใจฝ่อ”

เฉินฉางเซิงเดิมทีไม่ได้สนใจ เซวียนหยวนผ้อฟังความเห็นเขา ถังซานสือลิ่วมึนชาเสียแล้ว จินอวี้ลวี่อยู่ด้านข้างมองพวกเขาแล้วยิ้มออกมา

ถังซานสือลิ่วจ้องมองใบหน้าที่เปื้อนยิ้มของเขา ไร้หนทางที่จะเสแสร้งมึนชาต่อไปได้ กล่าวว่า “ท่านก็ไม่จัดการเสียหน่อยรึ”

จินอวี้ลวี่ยิ้มพลางกล่าวว่า “ข้าเป็นเวรยาม ประตูใหญ่ของสำนักฝึกหลวงก็มิได้อยู่ที่นี่”

นักเรียนของหอจงซื่อผู้นั้นเดินตรงออกมาจากกลุ่มฝูงชน มองไปทางด้านหลังของเฉินฉางเซิงตะโกนลั่นออกมา “เฉินฉางเซิง เจ้าเป็นคนใจฝ่อเช่นนี้กล้าต่อสู้กับข้าสักตาหรือไม่”

ถังซานสือลิ่วไม่ได้หันศีรษะกลับมา ส่ายศีรษะ ใช้เสียงที่มีแต่พวกเขาได้ยินกล่าวว่า “นี่มันเรื่องบ้าอะไรกันเล่า”

“ขออภัย ขออภัย” เฉินฉางเซิงตบไหล่ด้านหลังเขาเป็นเชิงขออภัย

พบว่าคนของสำนักฝึกหลวงตั้งแต่แรกเริ่มจนถึงสิ้นสุดไม่มีปฏิกิริยาโต้ตอบ นักเรียนผู้นั้นของหอจงซื่อหัวเราะเสียงเยือกเย็นออกมา และมิได้กล่าวสิ่งใดต่อ

ริมทางเดิน เฉินฉางเซิงและพวกได้เดินตรงไปข้างหน้าต่อ ใกล้ตำหนักทรงกลมแห่งนั้นเข้าไปทุกที สามารถเห็นขั้นบันไดหลายร้อยขั้นแห่งนั้นชัดเจนยิ่งขึ้น ต้นไม้ข้างทางเดินเป็นต้นไหวเขียว ทว่าตอนนี้ได้กลายเป็นต้นซงไป่ ยังคงเขียวขจี เพียงแค่รู้สึกว่าเย็นเล็กน้อย

กระทรวงสิบสามชิงเหย้าก็อยู่ตรงนี้ ตำแหน่งของสำนักแห่งนี้ไม่ได้สำคัญเท่าสำนักจวนราชวังหลี ทว่าเป็นเพราะนักเรียนส่วนใหญ่ของสำนักแห่งนี้เป็นสตรี ด้วยเหตุนี้จึงถูกสำนักการศึกษากลางจัดให้มาอยู่พื้นที่ตรงกลาง เพื่อหลีกเลี่ยงปัญหาที่จะเกิดขึ้น

ใต้ต้นซงไป่ บรรดานักเรียนสตรีของกระทรวงสิบสามชิงเหย้าจ้องมองพวกเขา สิ่งสำคัญก็คือมองถังซานสือลิ่ว ท่าทางตื่นเต้นอย่างยิ่ง กลับไม่กล้าแสดงออกเกินไป สนใจไปยังข้างทางทั้งสองอย่างยิ่ง ลักษณะท่าทางน่ารักจนกล่าวไม่ออก จิตใจของถังซานสือลิ่วที่ถูกนักเรียนของหอจงซื่อทำให้ย่ำแย่จนถึงขีดสุด เวลานี้สีหน้าเปลี่ยนเป็นดีเล็กน้อย

เผชิญหน้ากับกระทรวงสิบสามชิงเหย้า เป็นสถานที่สงบเงียบ ด้านในมีอาคารหลังเล็กๆ สิบกว่าหลัง ไม่เหมือนสถานที่ก่อสร้างในกลุ่มตำหนักที่สง่างามมโหฬารเหล่านั้น ทว่ากลับให้ความรู้สึกงดงามสงบ เป็นสำนักที่รับรองแขกของพระราชวังหลี คณะทูตจากทิศใต้เพื่อเข้าร่วมการสอบใหญ่ ขณะนี้ก็พักอยู่ข้างในนี้

คิดไปถึงหอกระบี่เขาหลีซานยังมีคนของเทือกเขาเทพธิดาศักดิ์สิทธิ์ ตอนนี้ก็อยู่ที่สำนักแห่งนี้ เฉินฉางเซิงหันไปมองตามจิตใต้สำนึก พบเพียงแค่หญิงสาวสิบกว่าคนยืนอยู่ข้างใต้ต้นเสวี่ยซง คงจะเป็นลูกศิษย์ของเทือกเขาเทพธิดาศักดิ์สิทธิ์ กลับไม่เห็นคนของหอกระบี่เขาหลีซาน

หอกระบี่เขาหลีซานอยู่ภายใต้ของพรรคฉางเซิง เทือกเขาเทพธิดาศักดิ์สิทธิ์ให้ความสำคัญกับสถานศึกษาหนานซี หากจะกล่าวให้ถูกต้อง สถานศึกษาหนานซีเป็นสำนักภายใน มีคุณสมบัติที่จะคัดเลือกเพื่อเข้าร่วมการสอบใหญ่ หญิงสาวเหล่านี้ส่วนใหญ่แล้วเป็นลูกศิษย์ของสถานศึกษาหนานซี ระดับขั้นสูงส่ง

คิดไปถึงหญิงสาวผู้นี้ก็คงจะเป็นศิษย์สำนักเดียวกับสวีโหย่วหรง อยู่ที่เทือกเขาเทพธิดาศักดิ์สิทธิ์ก็คงจะอยู่ด้วยกันทุกวัน เฉินฉางเซิงไม่รู้ควรจะจัดการอย่างไร เป็นว่าที่สามีของสวีโหย่วหรง หรือว่าควรจะเป็นฝ่ายทักทายฝ่ายตรงข้ามก่อน ถึงจะนับว่ามีมารยาท

เมื่อเขาจ้องมองบรรดาลูกศิษย์ของเทือกเขาเทพธิดาศักดิ์สิทธิ์ สตรีเหล่านั้นก็กำลังจ้องมองเขาอยู่

เป็นนักเรียนร่วมสำนักกับสวีโหย่วหรง แน่นอนว่าพวกนางรู้สึกแปลกประหลาดกับหนุ่มน้อยผู้นี้เป็นอย่างมาก