ในเมื่อเย่หมิงเป่ยตกปากรับคำแล้ว โจวหมิ่นย่อมเริ่มพูดให้เขาฟังถึงสิ่งที่ต้องทำในทุกทุกวัน

พูดอย่างง่าย ๆ ก็คือรับคำสั่งซื้อ หลังจากลูกค้าจ่ายเงินมัดจำแล้ว ก็สั่งให้พวกคุณป้าที่โรงงานขนาดเล็กผลิตตามจำนวนที่ใบสั่งซื้อต้องการ หลังจากทำเสร็จก็ส่งให้ลูกค้าและเก็บเงินส่วนที่ค้างชำระ

นอกจากนี้ก็ยังมีเก็บกวาดทำความสะอาด ตรวจสอบความปลอดภัยตอนเข้างานและเลิกงานอะไรทำนองนั้น

เรื่องพวกนี้ฟังดูแล้วเหมือนจะง่าย แต่ในนี้ก็ยังมีรายละเอียดอีกเยอะ ยกตัวอย่างเช่นการสื่อสารกับลูกค้า รวมถึงเงินที่ต้องจ่ายครึ่งหลัง การบริการหลังการขายและอื่น ๆ ซึ่งยุ่งยากเป็นอย่างมาก

ระหว่างที่คุยกันก็มีลูกค้าสองคนโทรเข้ามา หลังจากโจวหมิ่นรับสาย เย่หมิงเป่ยจึงตั้งใจฟังอยู่ข้าง ๆ

ตอนเที่ยงเสี่ยวหวังที่เป็นฝ่ายบัญชีก็เดินทางมาที่นี่

ถึงจะเรียกว่าเสี่ยวหวัง แต่ความจริงแล้วเขาเป็นผู้ชายร่างผอมอายุสามสิบกว่าปี หน้าตาดูอ่อนโยน ดู ๆ ไปแล้วคล้ายกับเด็กมหาวิทยาลัยคนหนึ่ง

โจวหมิ่นหาพนักงานที่เป็นผู้ชายก็เพื่อให้สะดวกในการทำงานกับเย่หมิงเป่ย

ทั้งสามคนออกไปรับประทานอาหารที่ร้านอาหารเล็ก ๆ ข้างนอก จากนั้นก็ทำความรู้จักกันและกัน

ตอนบ่ายก็มีลูกค้าโทรเข้ามาอีก โจวหมิ่นจึงให้เย่หมิงเป่ยกดรับสายเพื่อคุย

เย่หมิงเป่ยเริ่มเกิดอาการประหม่าขึ้นมา ถึงอย่างไรนี่ก็เป็นครั้งแรกที่เขาคุยธุระกับคนอื่นผ่านโทรศัพท์

โจวหมิ่นให้กำลังใจ ท่าทางให้กำลังใจของหล่อนทำให้เย่หมิงเป่ยถึงกับหลุดหัวเราะออกมา

วันรุ่งขึ้นเขาก็รับโทรศัพท์อีกแต่ผ่อนคลายมากขึ้น

ช่วงค่ำหลังจากพวกป้า ๆ เลิกงาน โจวหมิ่นก็พาเขามาตรวจสอบหนึ่งรอบ จากนั้นจึงดึงประตูม้วนลงและกลับบ้าน

เมื่อถึงวันจันทร์โจวหมิ่นก็ไปเรียนแล้ว

เย่หมิงเป่ยขี่จักรยานมือสองที่เพิ่งซื้อมาที่โรงงานขนาดเล็กเพียงคนเดียว จากนั้นก็เริ่มใช้ชีวิตและทำงานในมหานครปักกิ่ง

แต่เมื่อมาถึงที่ทำงาน จู่ ๆ เขาก็นึกขึ้นได้ว่านัดโทรศัพท์กับจ้าวเหวินเทาไว้ เมื่อดูเวลาก็พบว่าเป็นวันนี้พอดี คาดว่าน้องเขยของเขาก็คงรอสายจากเขาอยู่ จึงกดโทรไปหา

เพียงไม่นานพี่สาวใหญ่ที่อยู่ในห้องจดหมายก็ตะโกนเรียกจ้าวเหวินเทา

“พี่สาม พี่อยู่ที่นั่นเป็นไงบ้าง? พี่สะใภ้สามสบายดีใช่ไหม?” เสียงของจ้าวเหวินเทาดังขึ้นจากทางฝั่งนั้น

“สบายดี นายล่ะ ตอนนี้ค้าขายเป็นไงบ้าง?” เย่หมิงเป่ยถาม

“เมล็ดพันธุ์ก็ยังดีนะ แต่ปุ๋ยเคมีขายไม่ค่อยดีเลย ยุคนี้คนยังไม่ยอมรับของชนิดนี้น่ะครับ” จ้าวเหวินเทาพูดถึงเรื่องที่เกิดขึ้นภายในบ้านอย่างง่าย ๆ จากนั้นก็ถามถึงสถานการณ์ทางฝั่งเมืองหลวง

เย่หมิงเป่ยเล่าให้ฟังถึงสิ่งที่เขาได้เห็นภายในเมืองหลวงสองสามวันนี้ รวมถึงโรงงานขนาดเล็กของโจวหมิ่นด้วย

ที่สำคัญคือเขาเห็นเสื้อผ้าที่น้องสาวออกแบบแขวนอยู่ในห้างสรรพสินค้าขนาดใหญ่แล้ว

จ้าวเหวินเทาได้ยินก็แอบชะงัก “พี่สาม พี่ไม่ได้ล้อเล่นใช่ไหม? เสื้อผ้าที่ภรรยาผมวาดแบบพวกนั้น พี่สะใภ้สามทำออกไปวางขายที่ห้างสรรพสินค้าจริง ๆ เหรอ?”

“ฉันเห็นกับตาตัวเองเลย พี่สะใภ้สามของนายก็ชี้ให้ฉันดูด้วย ยังจะโกหกอีกเหรอ?” เย่หมิงเป่ยยิ้ม “ได้ยินมาว่าขายดีเป็นเทน้ำเทท่าเลยนะ แต่เป็นงานสั่งตัด ก็ต้องรออยู่สามสี่วันกว่าจะได้”

จ้าวเหวินเทาตะลึงงัน “ภรรยาผมเข้าอำเภอแค่ไม่กี่ครั้งเอง แต่เสื้อที่หล่อนวาดออกมากลับขายดีในสถานที่ที่เป็นเมืองหลวงแบบนั้นเนี่ยนะ?”

แม้ว่าเย่หมิงเป่ยจะคิดแบบนี้ แต่เขาก็ไม่ได้เห็นด้วยกับความคิดเช่นนี้ของน้องเขย “นี่นายดูถูกน้องสาวฉันสินะ?”

จ้าวเหวินเทายิ้ม “ไม่ได้ดูถูกหรอก ผมก็แค่รู้สึกเหนือความคาดหมาย เอาเถอะ กลับไปผมจะไปบอกภรรยา ให้หล่อนได้ดีใจสักหน่อย”

หลังจากวางสาย เย่หมิงเป่ยก็เริ่มทำงานอย่างจริงจัง

ความสามารถของเย่หมิงเป่ยย่อมไม่ได้เลวร้ายอยู่แล้ว เพียงแต่ก่อนหน้านี้เขาอยู่แต่บ้านเกิดแบบนั้นมาโดยตลอด แต่หลังจากออกไปนำเข้าและขายสินค้ากับจ้าวเหวินเทาข้างนอก เขาเองก็เรียนรู้งานมาไม่น้อย

แต่ก่อนหน้านี้ก็มีแค่ประสบการณ์ในการขายไข่ไก่เท่านั้น

และด้วยความอดทนของโจวหมิ่น หลังจากผ่านไปหนึ่งอาทิตย์ก็ได้รับคำสั่งซื้อขนาดใหญ่หนึ่งคำสั่งซื้อ หลังจากเซ็นสัญญาและจ่ายเงินมัดจำแล้ว ก็เข้าสู่กระบวนการผลิตอย่างเป็นทางการ

สิ่งนี้ทำให้เย่หมิงเป่ยยิ่งมั่นใจมากขึ้น ส่วนโจวหมิ่นก็สามารถวางมือได้อย่างสมบูรณ์แล้ว

หล่อนไม่กลัวว่าเย่หมิงเป่ยจะทำงานพลาด เพราะการทำงานพลาดถึงจะทำให้เติบโตขึ้นได้

ตอนที่เย่หมิงเป่ยต้องเผชิญกับการทำงานแบบคนเดียวจริง ๆ ความเป็นมืออาชีพและความรับผิดชอบของผู้ชาย รวมถึงความสามารถในการบริหารจัดการของเขาจึงถูกเปิดเผยออกมา การดำเนินการของโรงงานขนาดเล็กก็ดีขึ้นเรื่อย ๆ

สิ่งนี้ทำให้เขาที่เดินอยู่ภายในตลาดที่เร่งรีบและคึกคัก ไม่ได้รู้สึกหวาดกลัวเหมือนกับตอนที่เพิ่งมาถึงแล้ว ในทางกลับกันกลับมีความรู้สึกกระฉับกระเฉงและมีชีวิตชีวาด้วย

เขากำลังคิดว่า เมืองใหญ่แบบนี้ดู ๆ ไปแล้วก็ไม่เลวเลย!

ช่วงเวลาแห่งความหนาวเหน็บผ่านพ้นไป ความอบอุ่นและความมีชีวิตชีวาได้มาเยือนโลกอีกครั้ง ต้นไม้ใบหญ้ากลับคืนเป็นสีเขียวขจี ต้นหลิวเริ่มผลิใบ แสงฤดูใบไม้ผลิในชนบทสว่างสดใสไร้จุดสิ้นสุด ความรู้สึกของผู้คนก็สดใสขึ้นมาเช่นกัน

โดยเฉพาะการได้เห็นทุ่งนาที่มีต้นกล้าผืนแล้วผืนเล่า สิ่งเหล่านั้นล้วนเป็นความหวัง

ตอนเช้าตรู่ คุณพ่อจ้าววัดความสูงของต้นกล้าภายในทุ่งนาของจ้าวเหวินเทาด้วยมือของเขาแล้วลุกขึ้นยืนด้วยความพึงพอใจ เดินเอามือไพล่หลังไปนั่งยอง ๆ บนที่ดินของบ้านอื่นเพื่อทำการวัด ครู่หนึ่งก็ยิ้มจางออกมา

“เจ้าเด็กบ้านี่!” คุณพ่อจ้าวด่าเคล้ารอยยิ้ม ขณะส่ายหน้า

ตอนนี้เองก็มีเสียงแส้ฟาดดังมาจากด้านบนเขื่อน ฝูงแกะที่ดูราวกับก้อนเมฆขาวปุกปุยเคลื่อนตัวออกมาจากทุ่งเขียวขจี ด้านหน้าและด้านหลังมีคนเลี้ยงแกะสองคนถือกระเป๋าและฟาดแส้พร้อมกับตะโกนต้อนฝูงแกะ

คนเลี้ยงแกะชราที่อยู่ด้านหลังเห็นคุณพ่อจ้าวก็ตะโกนว่า “พืชผลเป็นยังไงบ้าง!”

คุณพ่อจ้าวขึ้นมาบนเขื่อนและเดินขนาบข้างเขา “โตขึ้นไม่เลวเลย ในที่ดินของเจ้าลูกชายคนเล็กฉันสูงกว่าบ้านอื่นระดับหนึ่งด้วย!”

น้ำเสียงของคุณพ่อจ้าวแอบซ่อนความโอ้อวดนิดหน่อย

คนต้อนแกะชรากล่าวด้วยรอยยิ้ม “ผู้เฒ่าจ้าวอย่างนาย รู้จักแต่ชื่นชมเจ้าลูกชายคนเล็กนั่น ช่างลำเอียงเกินไปแล้ว ลูกชายคนอื่น ๆ ของนายต่างหากล่ะที่ฉันว่าเป็นพวกทำการทำงาน!”

แม้ว่าคนเลี้ยงแกะชราจะเป็นคนนอกหมู่บ้าน แต่ก็คุ้นเคยกับทุกคนเป็นอย่างมาก เขาเป็นคนเลี้ยงแกะของทุกคนในตอนนี้ เมื่อถูกทำเครื่องหมายแล้วก็นำมาเลี้ยงรวมกัน

“นายคงยังไม่รู้ว่าลูกชายคนเล็กนั่นเป็นคนไม่เอาไหน ถ้าไม่ใช่เพราะฉันคอยดูให้ ที่ดินแห่งนี้ไม่รู้ว่าจะอยู่ในสภาพไหน แถมยังจะใส่ปุ๋ยเคมีให้ได้ด้วย ถ้าใส่จนดินเสียจะทำยังไง?” คุณพ่อจ้าวยิ้ม “แต่คิดไม่ถึงเลยว่าตอนนี้จะใช้ได้เลย เติบโตได้ไม่เลวด้วย”

คนเลี้ยงแกะชรากล่าว “นายนี่นะ เอาแต่เป็นห่วงเป็นใย ลูกหลานก็ต้องมีโชคเป็นของตัวเอง จะไปสนใจมากมายขนาดนั้นทำไม?”

คุณพ่อจ้าวพยักหน้า “พูดไปก็ตามเหตุผลนี้แหละ ตอนนี้ก็โตกันหมดแล้ว อยากจะดูแลก็ดูแลไม่ได้แล้ว”

ทั้งสองคนเดินไปพลางพูดคุยไปพลาง จากนั้นคนเลี้ยงแกะชราก็ต้อนแกะไป ส่วนคุณพ่อจ้าวก็เดินลงมาดูพืชผล

เมื่อถอนหญ้าเสร็จแล้ว จึงเห็นต้นกล้าที่เติบโตอย่างชัดเจน นอกจากคุณพ่อจ้าว คนอื่น ๆ ก็กำลังมองอยู่ บนใบหน้าเผยให้เห็นรอยยิ้มที่พึงพอใจ

ตอนเที่ยงคุณพ่อจ้าวกลับมาถึงบ้าน คุณแม่จ้าวกำลังเก็บกุยช่ายอยู่ เมื่อเห็นเขากลับมาจึงกล่าวด้วยรอยยิ้ม “ไปดูมาแล้วเหรอ?”

คุณพ่อจ้าวหยิบเก้าอี้ตัวเล็กมานั่ง “ข้าวโพด ข้าวเปลือกก็ไปดูมาหมดแล้ว โตสูงกว่าบ้านอื่นอีก แถมยังแข็งแรงด้วย”

“นั่นก็เป็นเพราะใส่ปุ๋ยเคมียังไงล่ะ” คุณแม่จ้าวกล่าว “เหวินเทาบอกตั้งแต่แรกแล้ว ปุ๋ยคอกน้อยเกินไป โดยพื้นฐานแล้วก็ทำอะไรไม่ได้ ถ้าไม่ใส่ปุ๋ยเคมีลงไปจะเก็บเกี่ยวข้าวได้สักเท่าไรกันเชียว คนในหมู่บ้านก็ยังไม่ยอมเชื่อ”

คุณพ่อจ้าวกล่าว “ตอนนี้ได้เท่าไรก็เท่านั้น รอดูช่วงฤดูใบไม้ร่วงเถอะ ที่ดินหนึ่งหมู่สามารถเก็บได้เท่าไร ปุ๋ยเคมีมีประโยชน์ไหมเดี๋ยวก็รู้แล้ว”

คุณแม่จ้าวถามอีกว่า “เหวินเทาล่ะ ทำนาเสร็จแล้ว ทำไมยังยุ่งขนาดนี้อีก?”

นางเห็นลูกชายคนอื่น ๆ ภายในบ้านทุกวัน มีแค่ลูกชายคนเล็กอย่างจ้าวเหวินเทานี่แหละ ที่หลังจากทำงานในนาเสร็จก็วิ่งออกไปข้างนอกทุกวี่ทุกวัน

ก่อนหน้านี้เทียวไปเทียวกลับซื้อเมล็ดพันธุ์และปุ๋ยเคมี ตอนนี้ล่ะ ต้นกล้างอกเงยขึ้นมาแล้ว ก็ไม่จำเป็นต้องใช้สิ่งเหล่านี้แล้ว ยังจะเทียวไปเทียวกลับทำไมอีก?

“เขาไปบ้านพ่อตาแล้ว” คุณพ่อจ้าวกล่าว “พี่ภรรยาคนโตของเขาจะสร้างบ้าน วันนี้ขึ้นคานแล้ว ก็เลยไปช่วย” วันนี้ลูกสะใภ้เล็กยกเนื้อหมูผัดน้ำแดงมาให้หนึ่งจาน เขาจึงถาม ๆ ดู และได้ทราบจากลูกสะใภ้เล็ก

“สร้างบ้านเหรอ” คุณแม่จ้าวชะงัก ท่ามกลางเสียงถอนหายใจแอบแฝงด้วยความอิจฉาเล็ก ๆ “ฐานะของตระกูลเย่นี่ดีจริง ๆ ช่วงเวลาที่พืชผลยังไม่สุกงอมแบบนี้คิดไม่ถึงเลยว่าจะสร้างบ้านแล้ว”

…………………………………………………………………………………………………………………………

สารจากผู้แปล

ปุ๋ยแต่ละชนิดมันก็มีข้อดีข้อเสีย จะเน้นใส่อย่างใดอย่างหนึ่งมันก็ไม่ได้ ใส่ปุ๋ยคอกอย่างเดียวทำให้โครงสร้างดินดีก็จริงแต่ก็เก็บเกี่ยวผลผลิตได้ไม่มากนัก ใส่ปุ๋ยเคมีอย่างเดียวพืชผลเติบโตดีก็จริงแต่ก็เสี่ยงโครงสร้างดินเสีย ทางที่ดีควรใส่ทั้งสองอย่างเพื่อปรับสมดุลกันและกัน

ไหหม่า(海馬)