เสียโฉมหรือ

ปลายมีดอันแวววาวกดอยู่บนใบหน้าของท่านชายหวังสิบเจ็ด ขณะที่เฉิงเจียวเหนียงมองดูด้วยความประหลาดใจ ราวกับว่าไม่เข้าใจในสิ่งที่เขาพูด

“ข้าไม่ได้ล้อเล่นนะ! ” ท่านชายหวังสิบเจ็ดตะโกน

คล้ายจะแสดงความมุ่งมั่นออกมาให้เห็น เขากัดฟันจนมือสั่น จุดสีแดงปรากฎขึ้นบนผิวหนังที่สะกิดเพียงนิดก็เกิดแผลได้

เฉิงเจียวเหนียงมองเขาที่กำลังแหงนหน้าหัวเราะลั่น เสียงดังฟังชัดพรั่งพรูออกมาจนกลบเสียงพิณอันไพเราะจากด้านนอก

หากปั้นฉินอยู่ที่นี่ด้วยคงแปลกใจยิ่งนัก แต่หากท่านชายโจวหกอยู่ที่นี่ ก็จะได้คำตอบของคำถามที่เคยสงสัยก่อนหน้านี้

นี่น่าจะเป็นครั้งแรกที่เฉิงเจียวเหนียงหัวเราะออกมา

ท่านชายหวังสิบเจ็ดที่ถือกริชด้วยใบหน้ายิ้มแย้มดูตกตะลึงเล็กน้อย เสียงก็เพราะ รูปก็งาม…

“เอาล่ะ เรื่องใหญ่ขนาดไหนกันถึงควรค่าที่ท่านทำเช่นนี้” เฉิงเจียวเหนียงหุบยิ้มแล้วเอ่ยขึ้น “ได้ ข้าตกลง หากเจ้าไม่อยากแต่งงาน ก็ยกเลิกเสีย”

แค่นี้หรือ

ท่านชายหวังสิบเจ็ดมองนางอย่างสงสัย

หญิงผู้นี้พูดง่ายเช่นนี้เลยหรือ

“จริงหรือ” เขาถาม

เฉิงเจียวเหนียงยิ้มเล็กน้อย

“เจ้าไม่จำเป็นต้องหลบซ่อนตัวอีกต่อไป กลับไปบอกกับตระกูลของเจ้าว่าข้าพูดเช่นนี้เอง หากพวกเขาไม่เชื่อ ให้มาหาข้า” นางพูด

หลังจากพูดจบ ก็หันหลังแล้วเดินจากไป

“นี่!” ท่านชายหวังสิบเจ็ดตะโกนเรียก

เฉิงเจียวเหนียงหยุดเดินแล้วเหลียวกลับมามองเขา

“ท่านชายมีเรื่องอะไรอีกหรือ” นางถาม

ท่านชายหวังสิบเจ็ดยังคงมองนางอย่างไม่เชื่อสายตา

“เจ้าตกลงจริงๆ หรือ ไม่ใช่ว่าจะฆ่าข้าด้วยความโกรธแค้นหรอกนะ” เขาถาม

เฉิงเจียวเหนียงยิ้ม

“ไม่ใช่ว่าให้ข้าเชื่อฟังเจ้าหรอกหรือ” นางเอ่ย

ท่านชายหวังสิบเจ็ดตกตะลึงเมื่อได้ยินคำพูดนั้น เขาเคยพูดเช่นนี้ด้วยหรือ

“เหตุใดถึงพูดจาไม่น่าฟังเช่นนี้เล่า”

‘น่าเสียดายจริงๆ แต่ช่างเถอะ หญิงงามดั่งภาพวาดควรมีไว้เพื่อชื่นชมเท่านั้น เช่นนั้น ต่อจากนี้ไป เจ้าต้องพูดให้น้อยลง’

‘ไม่เลว ไม่เลว เชื่อฟังก็ดีแล้ว ต่อจากนี้ไป เชื่อฟังข้า ข้ารับรองว่าเจ้าจะมีชีวิตที่ดีอย่างแน่นอน’

หญิงสาวตรงหน้ายิ้มเล็กน้อย

‘ได้’ นางพยักหน้าเอ่ย

ท่านชายหวังสิบเจ็ดได้สติกลับมาในทันที่ ขณะที่หญิงสาวตรงหน้ายังคงยิ้มเหมือนเช่นเคย

“เช่นนั้นแล้ว ข้าก็จะเชื่อฟังเจ้า” เฉิงเจียวเหนียงพยักหน้าเอ่ย กำหมัดโค้งคำนับให้กับท่านชายหวังสิบเจ็ด แล้วหันหลังเดินจากไป

“เฮ้…”

ท่านชายหวังสิบเจ็ดตะโกนขึ้นอีกครั้งอย่างอดไม่ได้ ก่อนจะก้าวไปข้างหน้า เพียงแต่คราวนี้หญิงสาวผู้นั้นกลับเดินออกจากห้องไป ก่อนจะลับตาไปในที่สุด

นึกไม่ถึงเลยจริงๆ…

ท่านชายหวังสิบเจ็ดทั้งตกตะลึง ทั้งรู้สึกผิดหวังอย่างแปลกประหลาด ทั้งยังเสียดายไม่น้อย

อันที่จริงก็น่ารักดีนะ…

แต่ก็ช่างเถิด หญิงงามผู้นี้…

เขาก้าวเท้าเดินออกจากห้องแยก ก็เห็นหญิงสาวผู้นั้นสะบัดชุดคลุมนั่งลง โดยมีผู้ติดตามยืนอยู่ข้างกายอย่างนอบน้อม ภายใต้แสงอาทิตย์สาดส่อง เสื้อผ้าสีเรียบท่ามกลางวิวทิวทัศน์ของภูเขาและหิมะนั้น ประดุจดั่งธนูที่ส่องประกายแวววาวในยามค่ำคืนอันเหน็บหนาว

ฆ่าคน…

ท่านชายหวังสิบเจ็ดสงบจิตสงบใจ ก่อนจะเดินกระทืบเท้าลงไปด้านล่างอย่างเร่งรีบ

ผู้ติดตามรออยู่ด้านล่างอย่างเป็นกังวล สาวใช้ทั้งหลายแทบจะร้องไห้ออกมา เมื่อเห็นเขาเดินลงมาจึงรีบเข้าไปห้อมล้อมอย่างตื่นตระหนก ถามไถ่เสียงจอแจ

นี่คือท่าทางและความรู้สึกที่หญิงสาวทั้งหลายพึงมีต่างหาก

ท่านชายหวังสิบเจ็ดถอนหายใจด้วยความโล่งอก เอื้อมมือไปกอดสาวใช้คนงามทั้งสอง

“ไป ไป เรากลับกันเถอะ” เขาเอ่ยหัวเราะลั่น

สาวใช้สุดแสนดีใจ รีบวิ่งกรูเข้าไปหาทีละคน ส่งเสียงจ้อกแจ้ก บ้างก็บอกว่าตนนั้นกลัว บ้างก็บอกว่าตนนั้นทรมานใจและเป็นห่วงเพียงใด จนเสียงดังเจื้อยแจ้วไปหมด

“ท่านชาย แม่นางผู้นั้นตกลงว่าจะไม่ยุ่งกับท่านอีกจริงๆ หรือเจ้าคะ”

ท่านชายหวังสิบเจ็ดเชิดหน้าด้วยความภูมิใจ

“ใช่แล้ว ข้าเป็นใคร ข้าคือท่านชายหวังสิบเจ็ดนะ…” เขาเอ่ย แต่พูดเพียงครึ่งเดียวก็หยุดพูดโดยไม่รู้ตัวก่อนจะมองขึ้นไปยังชั้นสอง เสียงเพลงยังคงบรรเลงต่อไป

“ไป ไป พวกเราขึ้นรถแล้วค่อยว่ากันต่อ” เขาหดคอ พูดเสียงเบาพร้อมกับโอบกอดสองสาวใช้ขึ้นรถไป

“ท่านชาย ครั้งนี้กลับเข้าเมืองหรือกลับบ้านขอรับ” บ่าวถามจากด้านนอก

“กลับบ้านสิ เจ้าโง่! ”

เสียงด่าทอและเสียงหัวเราะของท่านชายหวังสิบเจ็ดดังออกมาจากในรถ

บ่าวรีบตอบรับ คนขับรถม้าสะบัดแส้เร่งม้า

“…รีบบอกข้าเถิดเจ้าค่ะ ท่านชายรีบบอกเถิดเจ้าค่ะว่าเกลี้ยกล่อมนางอย่างไร…”

“ง่ายมาก ข้า ท่านชายของพวกเจ้ามีอะไรที่จัดการไม่ได้บ้าง…แน่นอนว่านางไม่ยินยอม…ร้องไห้ต่อหน้าข้า…แต่ข้าใช้แค่เอ่ยคำหวานเกลี้ยกล่อม…ใช้ใจแลกใจและพูดด้วยเหตุผล…จนในที่สุดนางยอมใจอ่อน…”

สาวใช้มองไปที่ท่านชายหวังสิบเจ็ดด้วยความนับถือไม่น้อย

“ช่างน่าสงสารเสียจริงที่ท่านชายไม่ชื่นชอบนาง…”

ท่านชายหวังสิบเจ็ดหัวเราะลั่น ถูกต้อง มันเป็นเช่นนี้จริงๆ นางไม่ได้อยู่ในสายตาของตน

“พูดได้เพียงว่ามีบุพเพ แต่ไร้วาสนาต่อกัน” เขาเอ่ย “ข้าเกลี้ยกล่อมนางว่ามีคนดีๆ อยู่บนโลกใบนี้อีกมากมาย อย่ามาเป็นทุกข์เพราะข้าเลย”

“ท่านชายช่างเป็นคนดีเสียจริง ท่านเป็นเช่นนี้ใครจะยอมปล่อยให้ท่านหลุดมือเล่า” สาวใช้ทั้งหลายพูดขึ้น

จู่ๆ สาวใช้นั่งอยู่บนตักของท่านชายหวังสิบเจ็ดก็ร้องอุทานออกมาอย่างตกใจ พลางยื่นปลายนิ้วสัมผัสใบหน้าของท่านชายหวังสิบเจ็ดในทันที

“ท่านชาย นี่อะไรหรือเจ้าคะ ใช่เครื่องสำอางหรือไม่” นางพูดพร้อมยื่นมือออกมาจับ

ท่านชายหวังสิบเจ็ดเจ็บจนร้องออกมา

สาวใช้ตกใจกลัวจนส่งเสียงร้องตกใจออกมาเช่นกัน

“เลือด เลือดเจ้าค่ะ” นางตะโกน

ทันใดนั้นในรถม้าวุ่นวายขึ้นมาในทันใด มีทั้งเสียงร้องไห้ทั้งเสียงกรีดร้อง จนท่านชายหวังสิบหายใจไม่ออก กว่าจะปลอบประโลมเหล่าสาวใช้ผู้บอบบางได้ก็ใช้เวลานานอยู่เหมือนกัน

“ไม่เป็นไร ไม่เป็นไร เป็นรอยแค่นิดเดียว” เขาเอ่ย

สาวใช้ทั้งหลายมองเขาด้วยน้ำตาคลอเบ้า

“ท่านชาย เหตุใด…เหตุใดถึงเป็นรอยเช่นนี้”

ร่างกายของท่านชายหวังสิบเจ็ดแข็งทื่อในทันใด

“ผู้หญิงคนนั้นทำร้ายท่านหรือ”

คำพูดของสาวใช้ทำให้เขาถอนหายใจด้วยความโล่งอก

“ใช่ ถูกต้อง” เขาส่ายหน้า จับหน้าผากแล้วถอนหายใจ “นางโวยวาย ร้องไห้ แล้วก็…ถือมีดจะฆ่าตัวตาย…”

สาวใช้ทั้งหลายตกใจกลัวจนเอามือป้องปาก

“นางก็ถือมีดด้วยหรือ” หนึ่งในนั้นถามขึ้นทันที

ท่านชายหวังสิบเจ็ดมุมปากกระตุก

“ของ…ของข้า เดิมทีข้าถือกริชเพื่อจะตัดความสัมพันธ์กับนาง…” เขาคิดไปพลางพูดไปพลาง “สุดท้ายถูกนางแย่งไป จึงถูกบาดระหว่างแย่งกริชกัน”

สาวใช้พยักหน้าเข้าใจในทันที

“โธ่ ท่านชายของข้าช่างกล้าหาญเหลือเกิน…”

“อันตรายเหลือเกินเจ้าค่ะท่านชาย คราวหน้าอย่าทำแบบนี้อีกเลย…”

เสียงเจื้อยแจ้วดังขึ้นในรถม้าตลอดทาง จนคนที่เดินผ่านไปมาถึงกลับหันมามอง ไม่นานกลุ่มคนเหล่านั้นก็ไกลออกไป

หญิงทั้งสองรู้สึกว่าตนกำลังนอนอยู่บนกองขนแกะที่แสนนุ่มและอบอุ่น

ช่างสบายเหลือเกิน นี่นางกำลังฝันอยู่หรือ

ความคิดนี้ผุดขึ้นและหญิงผู้นั้นลืมตาขึ้นในทันที ม่านสีเขียวปรากฏในดวงตาคู่นั้น

ข้าอยู่ที่ไหนกัน

ผ้าม่านถูกเปิดออก แสงแดดจ้าส่องเข้ามาภายในห้องจนนางต้องหลับตา

“แม่นางซี่ เจ้านอนเก่งเสียจริง คิดว่าตนออกมาเป็นฮูหยินจริงๆ รึ! ” หญิงอีกนางยิ้มเอ่ย นั่งคุกเข่าหน้าเตียง พลางค้ำเตียงไว้แล้วถอนหายใจ

แม่นางซี่ปรับสายตาให้เข้ากับแสงอยู่ครู่หนึ่งจึงลืมตา ทว่านางกลับเวียนหัวหัวระหว่างที่จะลุกขึ้น

“แม่นางซี่ เหตุใดข้าถึงปวดขนาดนี้” นางเอ่ย

แม่นางสามหัวเราะ

“เมื่อวานเจ้าดื่มเหล้าเยอะเสียขนาดนั้น ไม่ปวดหัวสิถึงจะแปลก” นางตอบ

แม่นางซี่นึกถึงเรื่องเมื่อวาน ตบศีรษะแล้วนั่งลง

“โธ่ ข้ากินจนเมาจริงๆ ด้วย” นางพูดพลางรีบลุกขึ้น “ทำแบบนี้ได้ที่ไหนกัน มาปรนนิบัติผู้อื่นแท้ๆ แต่ตัวเองกลับกินจนเมา แล้วยังจะมานอนตายเช่นนี้อีก…”

พูดยังไม่ทันจะจบประโยค เสียงเคาะประตูก็ดังขึ้นจากด้านนอก

“…อาหารเช้ามาแล้ว เชิญแม่นางทั้งสองกินให้อร่อย”

แม่นางซี่ชี้นิ้วออกไปด้านนอก

“ดูสิ ดูสิ มีคนมาปรนนิบัติทั้งกินทั้งดื่มครบถ้วนเชียวล่ะ!” นางเอ่ย

แม่นางสามยิ้มและลุกขึ้น

“ถ้าอย่างนั้น กินให้เร็วๆ แล้วค่อยไปรับใช้นาง เมื่อครู่ข้าไปดูมาแล้ว นายหญิงพาคนขึ้นเขาไปแล้ว” นางเอ่ย

ณ ลานบ้านของตระกูลเฉิง แม่นมนางหนึ่งวิ่งเข้าประตูมาอย่างรีบร้อนจนเกือบจะลื่นล้มเพราะเหยียบกองหิมะ

“นี่ทำอะไรกันอยู่ ตาบอดไปกันหมดแล้วหรือ” นางขมวดคิ้วเอ็ด

สาวใช้ทั้งสองที่อยู่ด้านข้างรีบหยิบไม้กวาดเข้ามาทำปัดกวาด

“หากกล้าขี้เกียจอีกล่ะก็ จะถลกหนังของเจ้าให้ดู! ” แม่นมตะโกนแล้วใช้มือจิ้มหน้าผากของสาวใช้อย่างแรง

สาวใช้ไม่กล้าตอบโต้ ก้มหน้าก่อนจะรีบทำความสะอาดให้เสร็จ นางมองดูแม่นมผู้นั้นเดินไปที่ห้องโถงอย่างเร่งรีบ

ยากลิ่นฉุนฟุ้งกระจายไปทั่วห้อง ฮูหยินใหญ่เฉิงยื่นผ้าเช็ดหน้าให้กับนายใหญ่เฉิงที่เพิ่งกินยาเสร็จ ก่อนจะเช็ดปาก แล้วจัดหมอนและช่วยพยุงนายใหญ่เฉิงเอนตัวลงนอน

สีหน้าของนายใหญ่เฉิงดูซีดเซียวนัก ราวกับว่าตนต้องใช้แรงมหาศาลเพื่อเอนตัวลงนอน ก่อนจะถอนหายใจยาวออกมา

แม่นมยืนอยู่ในห้อง อยากจะเอ่ยปากพูดแต่ก็ไม่กล้า

“มีอะไรหรือ” นายใหญ่เฉิงถามพร้อมกับหลับตาลง

แม่นมก้มศีรษะลง

“ก็ไม่มีอะไรเจ้าค่ะ…” นางพูดตะกุกตะกัก แต่กลับถูกนายใหญ่เฉิงขัดจังหวะก่อนที่นางจะพูดจบ

“พูดมา! ” เขาตะโกน “วันนั้นยังไม่โมโหจนอกแตกตายเลย ตอนนี้ก็ไม่มีอะไรมาทำให้ข้าโมโหจนตัวตายได้อีกแล้ว! ข้าไม่กลัว พวกเจ้าจะกลัวอะไร! ”

ฮูหยินใหญ่เฉิงรีบยกมือออกไปลูบหน้าอกของเขา

“ไม่ได้พูดว่าท่านกลัว แต่กลัวว่าท่านจะเป็นกังวล หมอบอกแล้วว่าอาการของท่านต้องนอนพักฟื้นให้ดี” นางเกลี้ยกล่อม

“หากตอนนี้ไม่คิดมาก เกรงว่าวันข้างหน้าจะยิ่งยุ่งยาก มีปัญหาใดก็แก้ไขกันไป พูดมา” นายใหญ่เฉิงเอ่ย

แม่นมรีบตอบรับ

“มีขุนนางมาเจ้าค่ะ บอกให้ท่านไปให้การที่ศาลาว่าการ…” นางตอบ “และจะตรวจดูบัญชีด้วยเจ้าค่ะ”

ฮูหยินใหญ่เฉิงลุกขึ้นยืนด้วยสีหน้าที่เปลี่ยนไป

“พวกมันกล้ารึ! ” นางตะโกน

แม่นมก้มศีรษะ ไม่กล้าพูดต่อ

“ร้านทั้งสองแห่งถูกพวกเขาบีบบังคับและสั่งปิด พวกเขายังกล้าเข้ามายุ่งเรื่องในบ้านเราอีก! ” ฮูหยินใหญ่เฉิงโมโหจนตัวสั่น “พวกเขารู้หรือไม่ว่าร้านปิดวันหนึ่งต้องเสียเงินไปเท่าไหร่”

“แน่นอนว่าพวกเขารู้” นายใหญ่เฉิงพูดขณะอยู่บนเตียง ก่อนจะพยายามลุกขึ้นนั่ง

“นายใหญ่ ใช่ว่าพวกเราจะไม่มีเส้นสายกับเบื้องบนเสียหน่อย เหตุใดพวกเขาถึงกล้าดีเช่นนี้” ฮูหยินใหญ่เฉิงหันหลังกลับช่วยพยุงเขานั่งลง พลางเอ่ยทั้งน้ำตา

“แน่นอนว่าพวกเขากล้า…” นายใหญ่เฉิงพูดพลางหายใจอย่างแรง “เจ้าเคยเห็นสุนัขหิวโหยที่กัดชิ้นเนื้อแล้วปล่อยไปง่ายๆ ทั้งที่ตกใจหรือไม่ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงว่าพวกเขามีหลักฐาน…”

เขาชี้ไปทางฝั่งใต้

“…คนฝั่งนั้นยังตามไล่ล่าและเตรียมร้องเรียน”

หลังจากพูดจบเขาก็ชะงักไป ฝั่งนั้นอย่างนั้นหรือ

เหตุใดเขาต้องเอ่ยถึงฝั่งนั่นด้วย แม่นางคนนั้นเป็นคนของฝั่งพวกเขาชัดๆ

นายใหญ่เฉิงนอนลงพร้อมกับถอนหายใจอย่างแรง

“รีบไปเชิญนางกลับมาเร็ว! ตอนนี้มีเพียงภายในสงบถึงจะสยบภัยร้ายจากภายนอกได้… มิฉะนั้นคนเหล่านั้นคงกล้าถลกหนังของตระกูลเฉิงเราจริงๆ! ”

“พวกมันกล้ารึ! ” ฮูหยินใหญ่เฉิงกล่าวด้วยความหวาดกลัว

นายใหญ่เฉิงหลับตา นิ่งเงียบ ราวกับกำลังจะหมดแรง

“เหตุใดข้าถึงจะไม่กล้า! ”

ณ จวนเจ้าเมือง เจ้าเมืองซ่งในชุดคลุมแสนเรียบง่ายเอ่ยขึ้นพร้อมกับรินน้ำชาให้ตัวเอง

“เมื่อมีคนมาร้องเรียนเราก็ต้องสอบสวน หากไม่สนใจ ก็ถือว่าละเลยต่อหน้าที่”

ชิงเค่อที่อยู่ตรงข้ามพยักหน้า

บ่าวสองคนวิ่งกรูเข้ามาอย่างรีบร้อนที่พวกเขากำลังพูดคุยกันอยู่

“ใต้เท้า คนของตระกูลเฉิงบอกว่านายใหญ่เฉิงล้มป่วย จึงยังไม่สามารถมาให้ปากคำที่ศาลาว่าการได้” พวกเขาพูด

เป็นไปตามที่เจ้าเมืองคาดคะเนไว้ไม่มีผิด ก่อนจะยิ้มออกมาเพียงเท่านั้น

“เห็นไหม” เขาพยักหน้าให้กับชิงเค่อ “พวกเขาตอบว่าอย่างไร ไม่ได้ด่าทอหรือไล่คนของเรา แต่กลับอ้างว่าล้มป่วยแทน นี่มันบ่งบอกถึงอะไร”

ชิงเค่อพยักหน้าด้วยรอยยิ้ม

“บ่งบอกว่าพวกเขากลัว” เขาตอบ

“ไม่มีใครไม่กลัวหรอก” เจ้าเมืองซ่งยกถ้วยน้ำชาขึ้นแล้วยิ้ม มองดูถ้วยน้ำชาลายครามสีขาววิจิตร “โลกนี้ไม่มีผู้บริสุทธิ์หรอก หากให้สืบสวน ก็ย่อมเจอเรื่องให้เปิดโปง ใครจะไม่กลัว ยิ่งไม่ต้องพูดถึง…”

เขาจิบชาในมือก่อนที่จะมองไปยังชิงเค่อแล้วพูดต่อ

“คนของตระกูลฉินยังพักที่โรงเตี๊ยมนั่นหรือไม่”

ชิงเค่อพยักหน้า

“ส่วนใหญ่ไม่ได้ออกไปไหน แค่ออกมากินข้าวเป็นครั้งคราว ทั้งยังไม่ได้พูดคุยกับใครเลย” เขาตอบ

เจ้าเมืองซ่งยกมือลูบกราม

“แปลกนัก พวกเขามาที่นี่ทำไมกัน” เขาพึมพำกับตัวเอง

แม่นมสองนางเดินเข้ามายังฝั่งเฉิงใต้ ก็เห็นว่าครั้งนี้ประตูเรือนของเฉิงเจียวเหนียงเปิดอยู่ จึงอดไม่ได้ที่จะมองเข้าไปด้านในด้วยความหวัง

เงาคนพุ่งเข้ามาในสายตาของพวกนาง พวกนางรู้สึกดีใจอย่างอดไม่ได้ ก่อนจะเอ่ยเรียกแม่นางเฉิงขึ้น

“เจียวเหนียงของข้าไม่อยู่”

ฮูหยินรองเฉิงโบกมือเอ่ยอย่างลำพองใจ

ของนางอย่างนั้นหรือ…

บัดนี้กลายเป็นคนของตระกูลนางไปแล้วหรือ…

แม่นมทั้งสองก้มหน้าพึมพำในใจ ก่อนจะเงยหน้าขึ้นแต่กลับไม่กล้าพูด

“แล้วแม่นางเจียวเหนียงจะกลับเมื่อใดหรือเจ้าคะ” พวกนางยิ้มตามแล้วถาม

“ถึงเวลากลับ ก็กลับเอง” ฮูหยินรองเฉิงพูดอย่างไม่พอใจ

แม่นมทั้งสองคนไม่ได้คำตอบ จึงหันหลังเดินออกไป ก็พบกับสาวใช้สองคนของบ้านนายรองเฉิงกำลังก้มหน้ารีบวิ่งเข้ามา

ทุกวันนี้บ้านของนายใหญ่และบ้านของนายรองดูไม่ลงรอยกันนัก บ่าวรับใช้ของทั้งสองฝั่งพบหน้ากันก็ไม่กล่าวทักทาย ทั้งยังเดินผ่านไปกันเสียอย่างนั้น

“…ให้ข้ากลับไปหรือ ให้กลับไปทำอะไร ไล่ข้าออกมาเช่นนี้แล้วยังจะให้ข้ากลับไปอีก ไม่มีทาง! ”

เสียงของฮูหยินรองเฉิงดังมาจากด้านหลัง แม่นมทั้งสองเดินหันเข้าตรอกไปโดยไม่ได้หันหลังกลับ ทั้งยังไม่ได้ยินเสียงพูดนั้น