ภาค 3 ตอนที่ 178 ให้ข้ารักษาโรคให้เจ้า

Jun Jiu Ling หวนชะตารัก

า 

 

 

เขาที่ว่านี่คือใคร คุณหนูจวินเข้าใจทันที 

 

 

ความรู้สึกของผู้ใหญ่ยังควบคุมได้ แต่เด็กยากจะเสแสร้งเหมือนไม่มีอะไรได้ อย่างไรก็เป็นบิดากับบุตรสาว 

 

 

“เขาหน้าตาหล่อเหลามาก” นางยิ้มเอ่ยพลางยื่นมือวาด “รูปร่างสูงเท่านี้ ผอมอยู่บ้างแต่แข็งแรงนัก เดินถนนชอบส่ายไปมา” 

 

 

นางพูดพลางเดินเลียนแบบท่าทางของอาจารย์หลายก้าว หยุดยืนตรงหน้าจ้าวฮั่นชิง 

 

 

จ้าวฮั่นชิงเดิมทีตั้งใจมองดูอยู่ ฉับพลันเห็นนางยืนอยู่ตรงหน้าแววตาก็หลุกหลิกนิดๆ ถอยหลังก้าวหนึ่ง ยกมือบังหน้าโดยไม่รู้ตัว 

 

 

“ดวงตาเขาเหมือนดวงตาเจ้า” คุณหนูจวินเอ่ยต่อ ไม่ถอยหลบเพราะการหลีกหลบของนาง มองดูดวงตาทั้งสองข้างที่เผยออกมาภายนอกของนาง 

 

 

จ้าวฮั่นชิงมองนางทีหนึ่ง 

 

 

“เขายังวาดภาพเจ้าเอาไว้ด้วย” คุณหนูจวินเอ่ยเสียงอ่อนโยน “วาดภาพเจ้าตั้งแต่ยังเล็กจนถึงตอนนี้” 

 

 

ในดวงตาจ้าวฮั่นชิงประหนึ่งจุดประกายไฟขึ้นมา ความสงสัย ความตื่นตะลึง ความดีใจ ความหวาดหวั่นวิตกผสมปนเป 

 

 

“เจ้าอยากลองดูไหม” คุณหนูจวินเอ่ยอ่อนโยนขึ้นอีก กลัวเสียงดังเกินไปจะทำนางตกใจวิ่งหนีไป ไม่รอนางตอบตนก็หมุนตัวเดินกลับไปนั่งลงบนหินภูเขาด้านข้าง เปิด**บยาเอาจดหมายออกมา “แม่ของเจ้าไม่เห็นด้วย ข้าก็จะไม่สร้างความลำบากให้เจ้า ไม่ให้เจ้าดูอย่างอื่น แค่ดูภาพวาดของเจ้าหนหนึ่งเท่านั้น เจ้าลองดูเหมือนหรือไม่” 

 

 

นางเอ่ยของนางคนเดียวพลางพลิกเปิดจดหมายพรึบ พลิกจนกระทั่งถึงหน้าสุดท้ายจึงหยุด 

 

 

เสียงแสกสากค่อยๆ เข้ามาใกล้ ข้างกายพลันมีเงาบางส่วนทอดมา 

 

 

คุณหนูจวินไม่ได้เงยหน้า มือลูบภาพวาดเด็กผู้หญิงอายุสี่ห้าขวบบนกระดาษ 

 

 

“นี่ คือเจ้าตอนยังเล็กหรือ” นางเอ่ยถาม 

 

 

“นี่ไม่ใช่ข้า” จ้าวฮั่นชิงเอ่ย คนก็จะถอยไปข้างหลัง 

 

 

คุณหนูจวินจับแขนนางไว้แล้ว เงยหน้ามองนาง 

 

 

“นี่คือเจ้า” นางเอ่ย มือพลิกอีกครั้ง พลิกมาถึงภาพวาดอายุสิบสี่สิบห้าแผ่นท้ายสุด “นี่ก็คือเจ้า” 

 

 

สีหน้าของจ้าวฮั่นชิงตื่นเต้น 

 

 

“นี่จะเป็นข้าได้อย่างไร? ข้าอัปลักษณ์เช่นนี้” นางตะโกน ชี้ภาพวาดบนจดหมาย “นางน่ามองปานนั้น ข้าอัปลัษณ์ปานนี้ ข้าอัปลักษณ์ปานนี้” 

 

 

คุณหนูจวินกำแขนของนางไม่ปล่อย 

 

 

“เจ้าไม่อัปลักษณ์ เจ้าเป็นเพราะป่วย อาการป่วยของเจ้ารักษาหายก็จะเป็นเช่นนี้” นางเอ่ยเสียงเคร่ง “พ่อเจ้าวาดภาพเจ้ายามรักษาหายดีแล้ว” 

 

 

จ้าวฮั่นชิงมองนางแล้วมองภาพวาดอีกครั้ง หน้าอกพองยุบอย่างรุนแรง ร่างกายสั่นไม่หยุด 

 

 

“พ่อของเจ้าเพื่อรักษาโรคให้เจ้าถึงจากไป เขาเดินทางไปยังสถานที่มากมายก็เพื่อตามหายารักษาโรคให้เจ้า” คุณหนูจวินเอ่ยต่อ ออกแรงกำแขนนางไว้แน่น 

 

 

จ้าวฮั่นชิงนิ่งอึ้งมองภาพวาดอยู่ครู่หนึ่ง สายตาหันมาทางคุณหนูจวิน 

 

 

“ถ้าอย่างนั้นเขาเล่า? ทำไมไม่กลับมา?” นางเอ่ยถาม แม้เป็นคำถามแต่แววตากลับซ่อนความคาดหวังไว้ไม่อยู่ 

 

 

เพราะเขาตายแล้ว ลำคอของคุณหนูจวินแสบร้อน 

 

 

“เพราะยังมีสมุนไพรอีกอย่างหนึ่งยังหาไม่พบ” สีหน้านางจริงจังเอ่ยขึ้น “แต่สูตรยาที่หาพบแล้ว ข้าจะรักษาให้เจ้าก่อน รอพ่อของเจ้าเอายาตัวสุดท้ายกลับมา โรคของเจ้าก็รักษาหายขาดแล้ว” 

 

 

จ้าวฮั่นชิงมองนางเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง 

 

 

“เจ้าน่าจะรู้ว่าพ่อของเจ้าร้ายกาจมากกระมัง” คุณหนูจวินมองนางแล้วเอ่ยขึ้น 

 

 

จ้าวฮั่นชิงหลุบตา 

 

 

ผู้ชายคนนั้นร้ายกาจเพียงไร ทุกคนที่นี่ล้วนรู้ เรื่องเล่าของเขาถูกเล่าทุกวัน กระทั่งเด็กน้อยอายุไม่กี่ขวบก็ท่องได้คล่องปาก 

 

 

“เขาร้ายกาจมาก ร้ายกาจอย่างยิ่ง” เสียงของคุณหนูจวินดังขึ้นในหูต่อ “ในเมื่อเขาวาดเจ้าน่ามองเช่นนี้ เจ้าก็ต้องกลายเป็นน่ามองปานนี้แน่นอน เจ้าไม่เชื่อข้า ไม่เชื่อเขาด้วยหรือ? ฮั่นชิง เจ้าให้ข้ารักษาโรคของเจ้าเถอะ” 

 

 

นางเอ่ยจบประโยคนี้ ระหว่างคนทั้งสองก็ตกสู่ความเงียบงัน 

 

 

ความเงียบครั้งนี้สั้นเพียงชั่วครู่ ครู่ต่อมาจ้าวฮั่นชิงก็ยื่นมือดึงผ้าปิดหน้าลง 

 

 

“ข้าไม่เชื่อเขา” นางเอ่ยพลางมองคุณหนูจวิน “ข้าเชื่อเจ้า” 

 

 

………………………………………. 

 

 

ค่ำคืนดึกดื่น แสงโคมไฟในห้องยังคงสว่างไสว เสียงเบาๆ เสียงหนึ่งดังมาจากอีกด้าน 

 

 

คุณหนูจวินหันหน้ามองไป เห็นหลิ่วเอ๋อร์ที่หลับอยู่ข้างนอกกวาดหมอนลงมา 

 

 

คุณหนูจวินยิ้มลุกขึ้นเดินไปวางให้นางดีๆ หลิ่วเอ๋อร์ยังไม่ตื่น ละเมองึมงำหลายประโยคพลิกกายก็ห่มผ้าห่มไว้แน่น 

 

 

คุณหนูจวินยืนตรงหน้าโต๊ะอีกครั้ง นวดดวงตาที่ขัดเคือง 

 

 

ในที่สุดนางก็เข้าใจแล้วว่าถ้อยคำขาดๆ หายๆ เหล่านั้นรวมถึงอาการของโรคที่สับสนเหล่านั้นที่บันทึกอยู่ในจดหมายของอาจารย์หมายความอย่างอย่างไร มากน้อยล้วนเกี่ยวพันถึงแผลดอกเบญจมาศนี่ของจ้าวฮั่นชิง 

 

 

แผลดอกเบญจมาศคำนี้ก็เป็นคำที่ถูกเอ่ยไว้ในจดหมายเช่นกัน 

 

 

ตอนเกิดมาไม่ชัดเจน ยิ่งอายุมากขึ้นยิ่งใหญ่ขึ้น สำหรับเด็กผู้หญิงคนหนึ่งแล้ว งอกบนใบหน้าก็เท่ากับทำลายทั้งชีวิต ยิ่งไม่ต้องพูดถึงยังจะเลวร้ายขึ้นได้อีก ไม่แน่ว่าเวลาใดจะเอาชีวิตไป 

 

 

สำหรับอาจารย์คนที่ฉลาดและยโสคนนี้แล้ว โรคเช่นนี้เกิดกับลูกสาวของเขาและเขายังรักษาไม่ได้อีก เป็นเรื่องที่ทำร้ายจิตใจอย่างยิ่งจริงๆ 

 

 

ดังนั้นถึงออกจากบ้าน ตามหายารักษาโรค ไม่พบไม่กลับมาเด็ดขาดหรือ? 

 

 

คุณหนูจวินถอนหายใจ 

 

 

ไม่ต้องสงสัยเลยว่าต้นเซียนจื่ออิงก็เพื่อโรคของจ้าวฮั่นชิง แต่ต้นสองต้นเห็นชัดว่าไม่พอ 

 

 

อาจารย์ไม่พอ นางตอนนี้ยิ่งไม่พอแล้ว 

 

 

นอกจากนี้ก็ไม่ใช่พึ่งแต่ต้นเซียนจื่ออิงก็จะรักษาหายได้ คุณหนูจวินลูบหน้า ค่อยเป็นค่อย ไป ค่อยๆ คิด ในเมื่ออาจารย์เริ่มหาสมุนไพรแล้วย่อมต้องมีวิธีแน่ ข้อมูลสับสนในจดหมายนี่ศึกษาดีๆ อีกสักหน่อย ต้องหาสูตรยาออกมาได้แน่ 

 

 

โคมในห้องถูกดับลงทีละดวง ราตรีของหมู่บ้านภูเขาจมลงสู่ความเงียบสงบ 

 

 

………………………………………. 

 

 

“เจ้าสร้างเท้าของอาเถี่ยเจี่ยวอย่างไร?” 

 

 

ได้ยินเสียง คุณหนูจวินก็เงยหน้าขึ้น มองเห็นเด็กสาวนั่งยองอยู่บนต้นไม้ 

 

 

“ซับซ้อนมากแต่ก็ง่ายดายมาก” นางยิ้มเอ่ย ระมัดระวังขุดสมุนไพรต้นหนึ่งออกมา “เอ็นวัวต้มทำเท้า ตีเหล็กเป็นโครงกระดูก” 

 

 

เสียงตุ้บดังขึ้นทีหนึ่ง จ้าวฮั่นชิงกระโดดลงมาจากบนต้นไม้ 

 

 

แรกเริ่มตอนที่มองเห็นคุณหนูจวินยังตกใจสะดุ้งโหยงอยู่ แต่หลายวันนี้เห็นนางทุกวันก็คุ้นชินแล้ว เด็กสาวคนนี้วิ่งบนเขา กระโดดระหว่างยอดไม้ได้ตามใจง่ายดายยิ่งนัก 

 

 

ภรรยาของเซี่ยหย่งบอกว่าเพราะแผลบนใบหน้าเป็นเหตุ สองแม่ลูกจึงอยู่บนเขามาตลอด จ้าวฮั่นชิงยิ่งไม่ไปมาหาสู่คนในหมู่บ้าน ตั้งแต่เล็กก็เล่นอยู่คนเดียวบนภูเขา มีหยางจิ่งพาไปล่าสัตว์ สั่งสอนวิชาบางอย่าง 

 

 

ปีนป่ายขึ้นต้นไม้สำหรับคนที่มีภูเขาเป็นของเล่นไม่ใช่เรื่องยากอะไร 

 

 

“พวกนี้ล้วนเป็นเขาสอนเจ้าหรือ?” จ้าวฮั่นชิงเอ่ยถาม 

 

 

“ใช่แล้ว” คุณหนูจวินพยักหน้าแล้วยิ้มอีกครั้ง “ที่เขาสอนข้าไม่ใช่แค่พวกนี้ สิ่งมากมายยามนั้นข้าล้วนไม่ได้สนใจ ต่อมาถึงรู้ว่าเป็นวิชาที่สำคัญมากเท่าไร” 

 

 

จ้าวฮั่นชิงก้มศีรษะมองมือของตนเอง 

 

 

“เขาชอบเจ้ามาก” นางเอ่ย “เจ้าหน้าตาน่ามองปานนี้” 

 

 

คุณหนูจวินวางพลั่วในมือลงลุกขึ้นยืน 

 

 

“ก่อนอื่นเขาไม่ได้ชอบข้านัก” นางเอ่ย “ประการต่อมาเขาไม่ได้จากเจ้าไปเพราะน่ามองหรือไม่น่ามอง สุดท้ายเจ้าหาได้ไม่น่ามอง เจ้าแค่ป่วยเท่านั้น เขาชอบเจ้าถึงจากเจ้าไป” 

 

 

จ้าวฮั่นชิงเงยสายตามองนางเร็วๆ ทีหนึ่ง 

 

 

“ไม่ชอบเจ้า ทำไมสอนเจ้ามากมายปานนี้?” นางเอ่ยถาม 

 

 

คุณหนูจวินกะพริบตา 

 

 

“เพราะข้าตื้อเขา เขาอับจนหนทางน่ะสิ” นางเอ่ยแล้วก็หัวเราะ “ที่จริงนะเขาเกลียดข้ายิ่งนัก” 

 

 

จ้าวฮั่นชิงน้อยครั้งจะสนทนากับผู้คน คำพูดเช่นนี้ฟังไม่เข้าใจอยู่บ้าง 

 

 

ชอบจึงจากไป เกลียดชังกลับรั้งอยู่ข้างกาย? 

 

 

“อย่าคิดมากปานนั้นเลย พวกเราทำงานเถอะ” คุณหนูจวินตบไหล่นาง “เจ้าก็ช่วยงานได้” 

 

 

“ข้า? ข้าช่วยอะไรได้?” จ้าวฮั่นชิงเอ่ย “ข้าเก็บสมุนไพร รักษาโรคไม่เป็นสักหน่อย” 

 

 

คุณหนูจวินโอบหัวไหล่นางชี้ต้นไม้ต้นหนึ่ง 

 

 

“เจ้าเห็นจักจั่นตัวหนึ่งบนต้นไม้ต้นนั้นไหม?” นางเอ่ย 

 

 

ป่าเขาปลายฤดูใบไม้ร่วงกิ่งใบแน่นขนัดสีสันละลานตา แสงอรุณส่องระหว่างกลางทำให้คนตาลายสับสน 

 

 

สิ้นเสียงคุณหนูจวิน จ้าวฮั่นชิงก็พยักหน้า 

 

 

“เจ้าปีนต้นไม้ไปช่วยข้าจับห้าตัว…” คุณหนูจวินเอ่ย 

 

 

คำพูดของนางยังเอ่ยไม่ทันจบก็เห็นจ้าวฮั่นชิงล้วงบางอย่างออกมาจากเอว ยกมือขึ้นโยนทีหนึ่ง พร้อมกับเสียงร้องลนลาน จักจั่นฤดูใบไม้ร่วงก็ร่วงหล่นจากบนต้นไม้ 

 

 

คุณหนูจวินตะลึง 

 

 

“ไม่ต้องปีนต้นไม้หรอก แค่นี้ก็ได้แล้ว” จ้าวฮั่นชิงเอ่ยบอก 

 

 

คุณหนูจวินได้สติกลับมา มองดูนาง 

 

 

“เจ้าร้ายกาจจริงๆ” นางสีหน้าเต็มไปด้วยความตกตะลึงเอ่ย