บทที่ 354 กรรมตามสนอง

กุนซือหญิงยอดอัจฉริยะ

ทางหลวงเดินทางง่าย ซ่งชูอีและคณะขี่ม้าขึ้นไปยังทิศเหนือ ไม่ช้าก็มาถึงบริเวณใกล้เคียงจงตูแล้ว

ผู้อารักขาลับที่ล่วงหน้าไปสำรวจเส้นทางกลับมา “ท่านขอรับ หมู่บ้านใกล้เคียงต่างถูกกวาดล้างแล้ว มีบ้านว่างหลังหนึ่งอยู่ห่างไปข้างหน้าประมาณสี่ลี้ สถานที่ใกล้เคียงประตูทิศใต้ของจงตูให้คนพักแรมได้ชั่วคราว คืนนี้สามารถพักที่นั่นได้”

สิ่งที่เรียกว่ากวาดล้างไม่เพียงแต่ขับไล่ราษฎร แต่ตามตามจุดพักม้าหรือหมู่บ้านต่างๆ ระหว่างทางที่สามารถติดต่อสื่อสารกับกองทัพศัตรูได้ก็จะถูกทำลายทั้งหมด

ยิ่งเข้าใกล้จงตู การกวาดล้างก็จะยิ่งสะอาดขึ้น

บ้านทั้งหมดในสถานที่โดยรอบจุดพักม้าต่างถูกทำลายจนย่อยยับ มีเพียงบ้านสองหลังที่ตั้งอยู่อย่างโดดเดี่ยวในถิ่นทุรกันดาร สามารถมองเห็นกำแพงเมืองดินของจงตูได้จากระยะไกล

ผู้อารักขาลับที่ตามมาด้วยเห็นว่าซ่งชูอีสีหน้าซีดขาวก็รีบเช็ดทางเดินจนสะอาด “ท่านพักก่อนเถิด”

ซ่งชูอีนั่งขัดสมาธิตามอัธยาศัย

นางพบว่าร่างกายของตัวเองแย่กว่าเดิมมาก การเดินทางตลอดทางไม่นับว่ารีบร้อน ทว่ากลับทนไม่ค่อยไหว หากเป็นเมื่อก่อนระยะทางไม่ถึงยี่สิบลี้ แม้แต่ให้เดินยังเดินไหว การเดินขบวนครั้งนี้ทำให้นางรู้สึกเหมือนกำลังเสี่ยงชีวิต

แสงแดดกำลังดี ซ่งชูอีพิงเสาหลับตาพักผ่อน “ได้ยินข่าวจากฝ่าบาทไหม?”

ผู้อารักขาลับที่อยู่ข้างกายนิ่งไปครู่หนึ่งเอ่ยว่า “ไม่ขอรับ”

นี่คือสิ่งที่อยู่ในความคาดหมาย อิ๋งซื่อป่วยหนัก ต่อให้มีข่าวเล็ดลอดออกมาก็คงจะมาไม่ถึงตรงนี้

ผู้อารักขาลับล่าหมูป่ามาได้จากในป่าใกล้เคียง เมื่อล้างทำความสะอาดเรียบร้อยแล้วก็นำไปยังจวนที่พัก

กู่หานหากระป๋องเหล็กมาวางบนกองไฟ หั่นหมูป่าเป็นชิ้นๆ แล้วย่างบนกระป๋อง พร้อมย่างเซาปิ่งที่พกติดตัวไปด้วยกัน

กลิ่นหอมลอยอบอวลทั่วทุกที่ ชวนให้คนน้ำลายสอ

ซ่งชูอีพักไปสองเค่อ อดที่จะเขยิบเข้ามาไม่ได้ “ฝีมือเจ้าไม่เลวเลยนะ!”

“กั๋วเว่ยชมเกินไปแล้ว” กู่หานกล่าวเรียบๆ

กู่จิงชอบกินเนื้อ เขาฝึกฝนมาหลายปีแล้วย่อมทำได้ดีโดยธรรมชาติ

ชีวิตของกู่หานน่าเบื่อมาก ดังนั้นความทรงจำที่สนุกส่วนใหญ่ล้วนเกี่ยวข้องกับกู่จิง ซ่งชูอีตระหนักในข้อนี้ดีจึงเงียบงันไม่พูดอะไรอีก

เมื่อเนื้อสุกแล้ว ซ่งชูอีห่อมันด้วยเซาปิ่งสองชิ้น ชิ้นหนึ่งป้อนให้ไป๋เริ่น อีกชิ้นหนึ่งไว้กินเอง

หมูป่าตัวหนึ่งเพียงพอที่จะเลี้ยงคนได้มากกว่าสิบชีวิต ไป๋เริ่นอยู่ด้วยกันกับจินเกอมานานก็ค่อยๆ ชอบกินสิ่งมีชีวิต มันกินจากตรงนี้ไปเพียงหน่อยเดียวก็ออกไปล่าสัตว์ในป่าด้วยตัวเอง

ซ่งชูอีหยิบหนังสือผ้าไหมออกมาจากแขนเสื้อแล้วส่งให้ผู้อารักขาลับคนหนึ่ง “ผูกสิ่งนี้เข้ากับหน้าไม้ แล้วยิงเข้าไปในกระโจมของแม่ทัพหลี่ว์จี้!”

“ข้าน้อยขอเป็นคนทำเรื่องนี้เอง!” กู่หานพูดขึ้นกะทันหัน

ผู้อารักขาที่กำลังจะรับหนังสือไหมหยุดชะงัก หันไปมองกู่หานอย่างงุนงง

เข้าไปในค่ายศัตรูเพียงลำพัง เท่ากับไปตายเสียเก้าส่วนแล้ว

ซ่งชูอีเม้มปากเล็กน้อย พยักหน้าแล้วส่งหนังสือไหมนั้นไปให้

กู่หานรับหนังสือไหมมาด้วยสองมือ ยัดเข้าไปในอก สะพายหน้าไม้หมุนตัวจากไป

ซ่งชูอีมองแผ่นหลังของเขาที่หายเข้าไปในป่าทึบด้วยความรวดเร็ว แล้วพาคนไปสำรวจภูมิประเทศใกล้เคียงทันที

ซ่งชูอีไม่เคยรู้สึกผิดที่กู่หานนั้นเงียบขึ้นเรื่อยๆ นางไม่ใคร่มอบความรู้สึกให้แก่ใครนัก ความเห็นอกเห็นใจยิ่งไม่ควรค่าแก่การเอ่ยถึง ยิ่งไปกว่านั้นคนที่มีชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ ผู้ที่สนับสนุนอย่างแท้จริงก็คือตัวเอง ไม่มีใครสามารถแทนที่ได้ ผู้คนส่วนใหญ่จะต้องพบกับการจากลาไม่ว่าเป็นหรือตายซึ่งล้วนมีความเจ็บปวดและสิ้นหวัง บางคนอาจรู้สึกถึงความเจ็บปวด บางคนก็จมอยู่ในความรู้สึกนั้น ความรู้สึกเป็นเพียงข้ออ้างที่ซ่อนเร้นความอ่อนแอภายในใจก็เท่านั้น

นิสัยของนางกับกู่หานเข้ากันไม่ได้ตั้งแต่แรกอยู่แล้ว บวกกับมีการตายของกู่จิงมากั้นกลาง พวกเขาสองคนไม่สามารถรวมหัวใจของพวกเขาไว้ด้วยกันได้ ตราบใดที่กู่หานยังคงจงรักภักดีต่อรัฐฉินเป็นพอ นางจะไม่เสียเวลาพยายามทำสิ่งที่ไม่จำเป็น

แสงอาทิตย์เจิดจ้า ซ่งชูอีพาคนขี่ม้าไปยังรอบนอกของจงตูซึ่งห่างออกไปเจ็ดถึงแปดลี้

โดยทั่วไปการสำรวจภูมิประเทศมักกระทำโดยสายสืบ ทว่าซ่งชูอีมีจิตใจมุ่งมั่นที่ไม่อาจพ่ายแพ้ การออกโรงด้วยตัวเองต่างหากจึงจะสามารถรับประกันได้ว่าจะไม่เกิดข้อผิดพลาดขณะที่วางแผน

กองทัพฉินโอบล้อมจงตูและใช้เวลากวาดล้างครึ่งเดือน ในระหว่างนี้ ซ่งชูอีได้สำรวจภูมิประเทศของจงตูในรัศมียี่สิบลี้โดยคร่าวๆ แล้ว

จงตูมีที่ราบสามด้านและอีกด้านหนึ่งเป็นทะเลสาบ จากประตูทิศเหนือไปยังทะเลสาบชุ่ยหูมีระยะทางห้าถึงหกลี้โดยประมาณ

ภูมิประเทศของทะเลสาบชุ่ยหูนั้นสูงกว่านครจงตู ในขณะที่จงตูถูกสร้างขึ้นนั้นก็คล้ายกับได้พิจารณาข้อนี้ไว้แล้ว คูน้ำรอบกำแพงเมืองที่กว้างสามจั้งนั้นดึงน้ำมาจากทะเลสาบชุ่ยหู จากนั้นก็มีการขุดแม่น้ำสิบกว่าสายเพื่อให้น้ำไหลเข้าไปยังแม่น้ำเฝินและทำคูเมืองน้ำให้มีชีวิต นอกจากนี้ยังมีคูระบายน้ำหลายแห่งในนคร ไม่ว่าน้ำจะถูกระบายออกจากต้นน้ำมากแค่ไหนก็สามารถไหลเข้าสู่แม่น้ำเฝินได้

การวางยาพิษจากต้นน้ำนั้นไม่อาจทำได้จริง ประการแรกคนและสัตว์ในเมืองไม่อาจกินน้ำในแม่น้ำได้ ประการที่สองคือต้องใส่ยาพิษลงไปในน้ำปริมาณมหาศาลจึงจะสามารถมีผลเพียงน้อยนิด!

ซ่งชูอียืนอยู่ใกล้แม่น้ำระบายน้ำเพื่อสำรวจภูมิประเทศโดยรอบ

แม่น้ำระบายนี้เป็นแม่น้ำที่กว้างที่สุดในนคร เป็นช่องทางระบายน้ำหลัก เนื่องจากขุดไว้กว้าง ดินที่ขุดขึ้นในปีนั้นจึงรวมตัวกันเป็นเนินเล็กๆ ทั้งสองฝั่งของแม่น้ำ ด้านบนปกคลุมไปด้วยวัชพืช

“ท่าน!” ผู้อารักขาลับคนหนึ่งยืนอยู่ใต้เนินดิน

ซ่งชูอีพยักหน้าเล็กน้อย

“กู่หานทำงานสำเร็จแล้ว ทว่าตอนที่ออกมาจากนครถูกกองทัพเว่ยพบเข้า…จึงฆ่าตัวตาย” จุดจบของพวกเขาส่วนใหญ่ก็เพราะความจงรักภักดีต่อฉิน ทว่าเมื่อได้ข่าวการเสียชีวิตของเพื่อนร่วมงาน ในใจก็อดที่จะเศร้าโศกมิได้

เดิมทีก็เป็นเรื่องที่เสี่ยงอันตรายอยู่แล้วจึงไม่ใช่เรื่องน่าแปลกใจ แต่ข่าวมาอย่างรวดเร็วเกินไปจนไม่สามารถตอบสนองได้ไปชั่วขณะ

ผ่านไปครู่หนึ่ง ซ่งชูอีจึงเอ่ยว่า “ศพล่ะ?”

ลมแม่น้ำค่อนข้างแรง ทำให้น้ำเสียงของนางแตกซ่าน

ผู้อารักขาลับรู้สึกจุกอยู่ในลำคอ “ถูกแขวนอยู่ที่ประตูทิศใต้ขอรับ”

ซ่งชูอีเบือนหน้าหนีแล้วหลับตาลงเพื่อข่มความเจ็บปวดในใจเอาไว้ เอ่ยขึ้นเชื่องช้า “กลับค่าย ส่งข้อความของข้าไปยังทหารทุกคน ศพที่แขวนอยู่บนกำแพงเมืองคือวีรบุรุษแห่งต้าฉินผู้จงรักภักดีต่อบ้านเมือง!”

กองทัพเว่ยแขวนศพประจาน การตั้งใจป่าวประกาศของซ่งชูอีเช่นนี้ก็ได้กลายเป็นการยั่วยุอย่างรุนแรงต่อกองทัพฉินและชาวฉินทันที

รู้จักกันมาเจ็ดปี กู่หานตายแล้ว นางไม่ปล่อยแม้แต่โอกาสในการใช้ศพของเขาให้เป็นประโยชน์

ซ่งชูอียกมือขึ้นลูบคิ้วที่รู้สึกเจ็บแปลบ เมื่อนิ้วแตะที่แผลตรงกลางคิ้วก็อดไม่ได้ที่จะหยุดลง เพราะนางเย็นชาเยี่ยงนี้ ดังนั้นจึงได้รับกรรมตามสนองและไม่มีวาสนาพอที่จะมีลูกคนนั้นกระมัง!

และก็เป็นเพราะนักวางแผนกลยุทธ์ยากที่จะพบรักแท้ ดังนั้นนางจึงเสียใจมากที่หมิ่นฉือทรยศ!

“กลับค่าย” ซ่งชูอีเดินลงไปยังเนินดิน

“ขอรับ!”

ไป๋เริ่นราวกับรู้สึกได้ว่าบรรยากาศไม่ดี ยื่นหัวไปถูๆ กับมือของซ่งชูอี ก้มตัวแล้วแบกนางไว้บนหลัง

ซ่งชูอีลูบๆ หัวของมัน

ไป๋เริ่นสลัดเหล่าผู้อารักขาลับและพุ่งทะยานไปในป่าราวกับลูกศร ผ่านทางลัดไปไม่ถึงสองเค่อก็กลับไปถึงค่ายแล้ว การเคลื่อนไหวของไป๋เริ่นดุจสายลม ก้าวย่างแผ่วเบา ซ่งชูอีนั่งอยู่บนหลังของมันรู้สึกสบายกว่าขี่ม้าเป็นร้อยเท่า ยกเว้นแต่ใบหน้าที่ถูกลมพัดจนเจ็บปวด

เมื่อกองทัพฉินที่กำลังเฝ้าระวังเห็นซ่งชูอีก็ผ่อนคลายลง

ในขณะที่ซ่งชูอีก้าวเข้าในค่าย ซือหม่าชั่วกำลังประชุมทุกคนเพื่อวางกลยุทธ์การต่อสู้

ซือหม่าชั่วหยุดไปครู่หนึ่ง ทุกคนต่างยกมือคำนับโดยพร้อมเพรียง “คารวะกั๋วเว่ย!”

ซ่งชูอียกมือขึ้นเล็กน้อย นั่งลงตรงที่ว่างข้างๆ ซือหม่าชั่ว

ซือหม่าชั่วยังคงจัดสรรกำลังพลต่อไป

หลังจากจัดสรรกำลังพลเสร็จสิ้น ซือหม่าชั่วก็หันไปหาซ่งชูอี “กั๋วเว่ยมีความเห็นต่างหรือไม่?”

ซ่งชูอีเอ่ยว่า “ไม่มี ทว่ามีข้อเสนอแนะหนึ่ง”

สายตาของทุกคนต่างจับจ้องไปที่ซ่งชูอี นางเอ่ยว่า “พวกเราสามารถท่วมจงตูได้”

ทันใดนั้นก็มีนายพลพูดขึ้น “ก่อนหน้านี้พวกเราได้สำรวจความเป็นไปได้ที่จะใช้น้ำโจมตีแล้ว คิดว่าไม่เหมาะสม หากกระแสน้ำปริมาณมากไหลลงมา ค่ายทหารของพวกเราก็ยากที่จะรอด”

ซ่งชูอีส่ายหน้า “ฤดูน้ำหลากได้ผ่านไปแล้ว คิดว่าจะทำให้มีน้ำปริมาณมหาศาลนั้นไม่ง่าย แต่ถ้าเราปิดกั้นทางระบายน้ำทางปลายน้ำก่อน ทั้งนครก็จะถูกแช่อยู่ในนั้น ปริมาณน้ำไม่อาจฆ่าคนได้แต่มันสามารถทำให้กำแพงเมืองดินที่อุ้มน้ำอ่อนลง เมื่อเราโจมตีก็จะได้ผลลัพธ์เป็นสองเท่า ข้าไปสำรวจด้วยตัวเองแล้ว ทั้งสองฝั่งของแม่น้ำสูงจากพื้นดินประมาณหนึ่งจั้ง หากควบคุมเวลาให้ดี น้ำจะไม่ทะลักออกมาและกองทัพของเราก็จะปลอดภัย”

“ฮ่า เป็นวิธีที่ยอดเยี่ยม!” นายพลผู้นั้นอุทาน “กำแพงเมืองนั้นถูกสร้างขึ้นด้วยดิน ได้รับการเสริมสร้างมาหลายชั่วอายุคน หากจะขุดนั้นช้ามาก เบื้องล่างถูกแช่อยู่ในน้ำจนอ่อนตัวก็จะเร็วขึ้นเยอะ!”

“พวกเราสามารถใช้วิธีอี่ฟู่!” ซ่งชูอีเอ่ย

ซือหม่าชั่วดวงตาเป็นประกาย

มีคนถามขึ้น “อี่ฟู่คืออะไร?”

“ตอนนั้นที่ฉีหลี่ว์ทำสงคราม รัฐหลี่ว์ก็ใช้วิธีนี้ สิ่งที่เรียกว่าอี่ฟู่ก็คือการติดตั้งช่องใต้บันไดที่ใช้โจมตีข้าศึกโดยซ่อนคนไว้ข้างใน รอจนกระทั่งบันไดเข้าใกล้กำแพงเมืองก็สามารถใช้ช่องนี้เพื่อป้องกันฝนลูกศรและคนที่อยู่ข้างในสามารถเจาะรูได้อย่างสบายใจ” ซือหม่าชั่วมองซ่งชูอี “กั๋วเว่ยรู้วิธีการสร้างอี่ฟู่หรือ?”

อี่ฟู่ จะว่าง่ายก็ง่ายแต่สิ่งที่ยากก็คือการสร้างช่องด้านล่าง ไม่สามารถมีน้ำหนักมากจนไม่สะดวกในการพกพา แต่ต้องสามารถป้องกันลูกศรหรือแม้แต่ก้อนหินได้

“ข้าไม่เข้าใจ” ซ่งชูอียกมุมปากยิ้ม “เหตุใดจะต้องสร้างช่องด้วย? พวกเราก็ไม่ใช่โล่เสียหน่อย! แม้ข้าไม่รู้วิธีสร้างอี่ฟู่แต่ว่ารู้รูปแบบกองทัพของรัฐเว่ย หากพวกเราสามารถหยิบยืมรูปแบบกองทัพการป้องกันจากกองทัพเว่ยได้ ใช้สิบกว่าคนเกาะกลุ่มเป็นรูปแบบกองทัพขนาดเล็กเพื่อสร้างช่อง ไม่ยืดหยุ่นกว่าหรือ?”

รูปแบบการป้องกันของกองทัพเว่ยก็สามารถใช้ในการโต้กลับได้เช่นกัน แต่ว่าพวกเขาต้องการเพียงเปลือกที่คงที่! แค่สามวันก็เพียงพอสำหรับการฝึกรูปแบบกองทัพเล็กๆ นี้แล้ว!

“ยอดเยี่ยม!” ซือหม่าชั่วสนับสนุน รีบดำเนินการปรับการกระจายกำลังทหารทันที ปลดปล่อยคนสองหมื่นคนเพื่อปิดกั้นทางระบายน้ำในเวลากลางคืน ทหารม้าคนอื่นก็เป็นโล่กำบังเพื่อป้องกันไม่ให้ทหารรักษาการณ์จงตูฉวยโอกาสออกจากนครและซุ่มโจมตี

ซ่งชูอีลุกขึ้นเดินไปยังหน้าแผนที่ขนาดใหญ่ หยิบไม้ไผ่ขึ้นมาแล้วชี้ไปยังสองสามตำแหน่ง “หลังจากการสอบสวนของข้า ตำแหน่งเหล่านี้เหมาะแก่การสกัดกั้นที่สุด”

“ถงซานรับคำสั่ง พาหกพันคนไปที่ทางน้ำหลัก!” ซือหม่าชั่วหยิบก้านไม้ไผ่หนึ่งขึ้นมาแล้วชี้ไปยังตำแหน่งบนแผนที่

“รับทราบขอรับ!”

“ซือถูม่อรับคำสั่ง พาสองพันคนไปที่ทางน้ำที่สองทางตะวันตกเฉียงใต้”

“รับทราบขอรับ!”

……

คำสั่งเป็นชุดถูกถ่ายทอดออกไป นายพลทุกคนรับคำสั่งแล้วออกไป

ซือหม่าชั่วเอ่ยด้วยความดีใจ “ต้องขอบคุณแผนการที่ดีของกั๋วเว่ย ทำให้ข้าไม่ต้องสละชีวิตผู้คนมากมายไปโดยเปล่าประโยชน์!”

“ดูเหมือนว่าพวกเรากลับไปคราวนี้จะต้องอบรมกลุ่มลาดระเวนอย่างดี” ซ่งชูอีเอ่ย

ซือหม่าชั่วเก่งกาจด้านสงคราม หากเขารู้รายละเอียดมากมาย แน่นอนว่าย่อมคิดถึงกลยุทธ์ที่ซ่งชูอีคิดได้ แต่ในฐานะแม่ทัพใหญ่เขาสามารถนั่งอยู่ในกองทัพได้เท่านั้น ไม่มีเวลาหรือโอกาสที่จะสำรวจด้วยตนเอง หน่วยลาดตระเวนเหล่านั้นก็คือตาและหูของเขา ถ้าไม่มีหูและตาเพียงพอ ไม่ว่าจะฉลาดแค่ไหนก็อาจจะละเลยต่อสิ่งต่างๆ ได้มากมาย

ซือหม่าชั่วเข้าใจในความหมายของนาง จึงพยักหน้า “เรื่องการฝึกรูปแบบอี่ฟู่ก็ยกให้ท่านแล้ว”

“ขอรับ!” ซ่งชูอีประสานมือรับคำสั่ง

ซือหม่าชั่วเอ่ย “เรื่องลับไปถึงไหนแล้ว?”

“เสียผู้อารักขาลับฝีมือดีไปคนหนึ่ง ในที่สุดก็ทำสำเร็จ แต่ผลจะเป็นอย่างไรนั้นต้องดูลิขิตสวรรค์” ซ่งชูอีหลุบตาลง “บัดนี้ศพยังคงแขวนอยู่ที่กำแพงเมือง”

ซือหม่าชั่วตบๆ ไหล่ของนาง “เกิดและตายเป็นเรื่องธรรมดา”