ตอนที่ 836 ช่วยคนที่เขาไม่มีกำลังคงไม่มีปัญหาอะไรนะ

แผนรักสยบใจบอสสาวตัวร้าย

เสี่ยวเชี่ยนไม่ได้ตั้งใจแกล้งเจิ้งซวี่จริงๆ

 

 

เธอเสียงแหบอัดเสียงสะกดจิตไม่ได้ เดิมจะให้ต้าอีลอง แต่นึกได้ว่าจังหวะการพูดของต้าอีไม่เหมาะกับเจิ้งซวี่ เสี่ยวเชี่ยนจึงให้อาข่าอัดเสียง ถึงอาข่าจะเรียนวิชาเอกได้เละเทะขนาดไหน แต่น้ำเสียงของเธอเวลาพูดถ้อยคำสะกดจิตก็ใกล้เคียงกับเสี่ยวเชี่ยนที่สุด เสี่ยวเชี่ยนจึงเขียนข้อความพร้อมแบ่งวรรคแล้วให้อาข่าอ่าน

 

 

เจิ้งซวี่ทนฟังไม่ได้ พอได้ยินเสียงอาข่าเขาก็จะนึกถึงริดสีดวง คุณริดสีดวงหอม

 

 

เช้าวันต่อมาต้าอีได้มาหาเสี่ยวเชี่ยน ทั้งสองคนนัดไปโรงพยาบาลกลางด้วยกัน ตอนที่ขับรถออกจากหมู่บ้านเสี่ยวเชี่ยนก็จงใจดับรถแล้วมองซ้ายมองขวาสักพัก

 

 

“ประธานเชี่ยนรอคนเหรอ?”

 

 

“เปล่า” เสี่ยวเชี่ยนแปลกใจเล็กน้อย ทำไมวันนี้อาข่าไม่มาล่ะ?

 

 

เธอคิดว่าหลังจากที่อาข่าสารภาพกับเธอแล้วก็จะมาตามติดเธอทุกวัน แต่วันนี้ในเวลาแบบนี้อาข่ากลับไม่มา มันน่าแปลก

 

 

วันนี้ภายในห้องบรรยายของโรงพยาบาลกลางไม่มีที่นั่งว่าง การบรรยายของบุคคลผู้มีชื่อเสียงระดับโลกต่อให้เชิญแค่ผู้ป่วยโรคร้ายแรงของโรงพยาบาลใหญ่ๆในเมือง แต่ก็ยังมีผู้บริหารโรงพยาบาลกับหมอตามมาด้วยมากมาย ทำให้ที่นั่งไม่พอต้องยืนฟัง ด้านนอกห้องประชุมที่เป็นกระจกใสมีคนมารุมล้อมเต็มไปหมด ผ้าม่านถูกม้วนเก็บขึ้นเพื่อให้คนดูได้มากขึ้น เสี่ยวเชี่ยนมีเส้นสายของศาสตราจารย์หลิว ผู้อำนวยการโรงพยาบาลจึงเว้นที่นั่งเอาไว้ให้

 

 

ตอนที่เสี่ยวเชี่ยนกับต้าอีขึ้นไปบนตึกก็เห็นคนมามุงเยอะแยะแล้ว มียามของโรงพยาบาลสองคนยืนอยู่ตรงหน้าลิฟท์ตรวจดูคนที่มาฟังเพื่อความสงบเรียบร้อย เสี่ยวเชี่ยนหยิบบัตรประชาชนออกมา ยามจึงปล่อยเธอกับต้าอีเข้าไป

 

 

เนื่องจากคนที่มายืนดูล้วนเป็นคนที่มีตำแหน่งสูงจึงค่อนข้างรักษาความสงบ การบรรยายยังไม่เริ่ม เสี่ยวเชี่ยนพาต้าอีเข้าไป ผู้อำนวยการโรงพยาบาลเห็นเสี่ยวเชี่ยนก็กวักมือเรียก

 

 

“ยังไม่เริ่มเหรอคะผู้อำนวยการซุน?”

 

 

“ยังเลย อันที่จริงก็ถึงเวลาแล้วนะ…” ผู้อำนวยการซุนมองนาฬิกาข้อมือพลางคิดในใจว่าคนดังนี่เล่นตัวเหมือนกันนะ

 

 

เสี่ยวเชี่ยนยิ่งมีอคติกับศาสตราจารย์ชีเข้าไปใหญ่ อะไรกัน ปล่อยให้คนรอทั้งห้อง?

 

 

“ให้พวกเราเข้าไปนะ”

 

 

มีเสียงโวยวายดังเข้ามา ผู้อำนวยการและคนอื่นๆจึงหันไปมอง มีชายวัยกลางคนกำลังยื้อยุดกับยาม

 

 

ผู้อำนวยการหันไปส่งสายตา รองผู้อำนวยการจึงเข้าไปดูสถานการณ์ ไม่นานก็กลับมา

 

 

“มันเรื่องอะไรกัน?”

 

 

“นั่นเป็นญาติคนไข้ครับ ไม่รู้ว่าเขาไปได้ยินเรื่องงานบรรยายของศาสตราจารย์ชีจากที่ไหน เลยอยากลงชื่อให้พ่อ แต่มันเป็นไปไม่ได้ครับ ที่นั่งมีจำกัด

 

 

“พาเขาไปนั่งคุย การบรรยายแต่ละครั้งของศาสตราจารย์ชีรับได้ไม่เกินยี่สิบคน กว่าจะเชิญเขามาได้ไม่ใช่เรื่องง่ายๆ อย่าทำให้เสียงาน

 

 

เสี่ยวเชี่ยนก้มหน้าพลางแสยะยิ้ม

 

 

ดูการแต่งตัวของชายคนนั้นแล้วน่าจะไม่ใช่คนร่ำรวย เหมือนเกษตรกรทั่วไป และโอกาสดีๆแบบนี้ที่รับจำนวนจำกัดก็ย่อมต้องให้คนที่มีฐานะก่อน กับอีแค่งานบรรยายของศาสตราจารย์บ้าบอนี่ มีคนมานั่งฟังเพิ่มไม่ได้เลยหรือไง?

 

 

จรรยาบรรณแพทย์ของศาสตราจารย์คนนี้ห่างชั้นกับอาจารย์เธอเยอะ

 

 

เสี่ยวเชี่ยนยิ่งนับถืออาจารย์มากกว่าเดิม เธอสะสมความเกลียดมากขึ้นไปอีก

 

 

“รองผู้อำนวยการคะ เดี๋ยวหนูไปด้วยค่ะ”

 

 

“เสี่ยวเฉิน เดี๋ยวศาสตราจารย์ชีก็มาแล้ว อย่าไปนานล่ะ” ผู้อำนวยการมีการตกลงส่วนตัวกับศาสตราจารย์หลิวไว้ ถึงตอนนี้เสี่ยวเชี่ยนยังไม่มีตำแหน่งอย่างเป็นทางการแต่กลับถูกประเมินไว้สูง

 

 

เสี่ยวเชี่ยนพยักหน้าแล้วหันไปพูดกับต้าอี

 

 

“ต้าอีเธอรอที่นี่นะ ถ้าเดี๋ยวฉันไม่กลับมา เธอตั้งใจจดบันทึกให้ฉันอ่านด้วยนะ”

 

 

ต้าอีเหมือนมีอะไรจะพูดแต่ก็ไม่พูด เธอหันไปมองชายวัยกลางคนๆนั้นก็พอจะรู้แล้วว่าประธานเชี่ยนคิดจะทำอะไร

 

 

“ฉันไปก็ได้นะประธานเชี่ยน ฉันก็ทำได้เหมือนกัน”

 

 

“เด็กน้อย โอกาสแบบนี้หายากอย่าพลาดเลย” เสี่ยวเชี่ยนตบบ่าต้าอี จากนั้นก็เดินตรงไปหาชายวัยกลางคนอย่างไม่หันกลับไปมองข้างหลังอีก

 

 

แต่ละก้าวของเสี่ยวเชี่ยนที่เดินไปนั้นต้าอีรู้สึกว่ามุ่งมั่นมาก อันที่จริงดอกไม้บานเต็มท้องทุ่งในใจของเสี่ยวเชี่ยนแล้ว

 

 

ฮ่าๆๆๆๆ~

 

 

เธอใช้จรรยาบรรณแพทย์มาช่วยคนจนแบบนี้เนียนมากใช่ไหม? ต่อให้อาจารย์รู้เรื่องที่เธอหนีไปในภายหลังก็ไม่มีทางโกรธเธอหรอก เพราะถึงอย่างไรหากศาสตราจารย์หลิวอยู่ที่นี่ก็ต้องทำแบบนี้เหมือนกัน

 

 

สะใจกว่านี้ไม่มีอีกแล้ว

 

 

ประธานเชี่ยนเดินเข้าไปหาผู้ชายคนนั้น เขาถูกยามกันตัวไว้เลยนั่งลงกับพื้นเอามือปิดหน้า เห็นได้ชัดว่ารู้สึกหมดหวังแล้ว

 

 

พ่อของเขาเป็นมะเร็งระยะสุดท้าย ด้วยความที่เป็นลูกกตัญญู พอได้ยินว่าจะมีจิตแพทย์คนดังมาบรรยายเขาจึงอยากให้พ่อได้ฟัง สำหรับญาติคนไข้ที่เป็นมะเร็งระยะสุดท้ายแล้ว ไม่ว่าจะวิธีไหนก็อยากลองให้หมด ต่อให้เป็นโอกาสสุดท้ายก็ตาม ไม่ว่าจะได้ไม่ได้ก็ไม่อยากยอมแพ้ทั้งนั้น

 

 

แต่ห้องประชุมอยู่ห่างจากเขาไปไม่ถึงยี่สิบเมตร กลุ่มคนมีตำแหน่งสูงที่ออกันอยู่ตรงทางเดินได้กั้นเขาเอาไว้ ทำให้รู้สึกไกลยิ่งกว่าเดิม

 

 

“ฉันเป็นจิตแพทย์ชื่อเฉินเสี่ยวเชี่ยนค่ะ” เสี่ยวเชี่ยนยืนตรงหน้าผู้ชายคนนั้น เขาเงยหน้ามองแล้วก็เห็นสาวน้อยคนหนึ่ง จากที่คิดว่ามีความหวังก็กลายเป็นผิดหวัง

 

 

“ฉันไปเยี่ยมพ่อคุณได้นะคะ”

 

 

“เด็กขนาดนี้เลยเหรอ…เห้อ ทางโรงพยาบาลคิดจะไล่ผมออกไปจากตรงนี้เหรอ?” เขาเกลียดที่ตัวเองไร้ประโยชน์ แย่งโอกาสมาให้พ่อไม่ได้

 

 

“อายุน้อยไม่ได้หมายความว่าไม่มีความสามารถ ฉันมีประสบการณ์แพทย์คลินิกเยอะค่ะ เชื่อเถอะค่ะว่าฉันช่วยคุณได้ ต่อให้พ่อคุณมาฟังในห้องประชุม แต่ตรงนี้ก็มีคนเป็นสิบแล้วคนแก่อายุเยอะหูตาก็ใช่ว่าจะดี คงฟังไม่เห็นผลอะไรหรอกค่ะ เดี๋ยวฉันจะไปคุยกับเขาเป็นการส่วนตัวให้เอง”

 

 

ผู้ชายคนนั้นหันไปมองทางห้องประชุม รู้ว่าตัวเองเข้าไปไม่ได้แล้ว น้ำเสียงที่มั่นใจของเสี่ยวเชี่ยนทำให้เขาลังเล อีกอย่างตอนนี้เขาก็ไม่มีทางเลือกอื่นแล้ว จึงทำได้แค่เชื่อเสี่ยวเชี่ยน ตามเธอเข้าไปในลิฟท์

 

 

ผู้อำนวยการพอเห็นเสี่ยวเชี่ยนเข้าไปแล้วก็ร้อนใจ ศาสตราจารย์หลิวกำชับเขามาอย่างเป็นมั่นเป็นเหมาะว่าต้องให้เสี่ยวเชี่ยนอยู่ฟังให้ได้ เขามองไปทางจิตแพทย์ที่มาฝึกงานอยู่ที่นี่ ทุกคนพากันหลบตาผู้อำนวยการหมด

 

 

โอกาสที่จะได้ฟังคนดังระดับโลกมาบรรยายแบบนี้หาได้ยากมาก ใครก็ไม่อยากไปแทนเสี่ยวเชี่ยน ต่างเห็นแก่ตัวด้วยกันทั้งนั้น

 

 

มีแค่ต้าอีกที่อยากไปเปลี่ยน แต่ประธานเชี่ยนไม่ให้เธอไปนี่นา เธอรู้จักนิสัยของประธานเชี่ยนดีพูดคำไหนคำนั้น ถ้าประธานเชี่ยนไม่อยากอยู่เสียอย่างใครก็รั้งไว้ไม่ได้ เธอจึงต้องอยู่นั่งฟังแล้วจดบันทึกให้เสี่ยวเชี่ยน

 

 

ต่อไปเธอจะต้องเป็นเหมือนประธานเชี่ยนที่มีจรรยาบรรณแพทย์อันสูงส่งให้ได้ ต้าอีแอบสาบานในใจ

 

 

เสี่ยวเชี่ยนตามญาติคนไข้ลงลิฟท์ไป ระหว่างลงเธอก็ถามถึงครอบครัวของเขา ครอบครัวนี้เป็นครอบครัวเกษตรกร อาศัยการปลูกข้าวโพดเลี้ยงชีวิต ปีนี้พ่อเขาอายุเจ็ดสิบสองปี เป็นโรคมะเร็งระยะสุดท้าย เกษตรกรส่วนใหญ่ถ้าเจอเรื่องแบบนี้ก็มักจะให้คนแก่กลับไปตายที่บ้าน แต่ลูกชายบ้านนี้เป็นทหารปลดประจำการ เขามีความกตัญญูมากไม่อยากให้พ่อจากไปทั้งแบบนี้ จึงพยายามหาเงินเพื่อต่ออายุให้พ่อ

 

 

ตอนนี้คนแก่ยังมีความปรารถนาหนึ่งที่ยังไม่สำเร็จ หลานของเขาใกล้จะสอบเข้ามหาวิทยาลัยแล้ว เขาอยากให้ตัวเองอดทนได้จนถึงวันที่ได้เป็นพยานส่งหลานเข้ามหาวิทยาลัย

 

 

สำหรับชาวบ้านที่ยากจนแล้ว การเรียนหนังสือเป็นเพียงทางออกเดียว ถึงแม้ในสายตาเสี่ยวเชี่ยนจะมองว่าเรียนจบมหาวิทยาลัยก็ใช่ว่าจะมีงานดีๆเสมอไป แต่อย่างไรเสียนี่ก็เป็นความหวังของทั้งครอบครัว ถ้าไม่เรียนก็ไม่มีทางรอดอื่นแล้ว ทุกครั้งที่เสี่ยวเชี่ยนเห็นคนปรารถนาอยากเปลี่ยนชะตากรรมของครอบครัว เธอก็อยากให้น้องชายที่ไม่เอาไหนมาเห็นจริงๆ ยามที่น้องชายเธอคิดว่าเรียนไปก็เท่านั้น ยังมีคนแบบนี้ที่ไม่ยอมแพ้และต่อสู้เพื่ออนาคตอยู่อีก